กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ – บทที่ 686

บทที่ 686

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 686
“หากว่าอี้เฉินเฟยกับแม่นางไป๋จิ่นรู้ว่าการเสียสละพวกเขาทั้งสองคนแล้วสามารถช่วยผู้คนนับพันนับหมื่นคนในเผ่า พวกเขาก็เต็มใจที่จะกระโดลงไปในเตากลั่นยา ขอให้ท่านหัวหน้าเผ่าเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลักด้วย”

กู้ชูหน่วนถอยหลังก้าวหนึ่งและจับโครงหน้าต่างอย่างไร้เรี่ยวแรงถึงสามารถทนฝืนบังคับร่างกายให้ยืนนิ่งอยู่ได้

“ดังนั้นพวกท่านก็เลยบีบบังคับให้ข้าไปสังหารคนหรือ?”

“ไม่ได้บีบบังคับให้ท่านไปสังหารคนแต่ว่าข้าน้อยไปขอร้องพวกเขาด้วยตนเอง หลังจากนั้น……ข้าน้อยก็จะชดใช้ให้พวกเขาด้วยการปลิดชีพที่หน้าเตาหลอมเอง ขอร้องนายท่านให้เห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลักด้วย”

ผู้อาวุโสรองกล่าวอยู่ก็โขกหน้าผากอย่างแรงจน เกิดเลือดตรงหน้าผากของตนออกมาโดยตรง

เขาเป็นชายสูงอายุที่มีหนวดเคราสีขาวและผมอันขาวโพลนผู้หนึ่ง ในขณะที่กู้ชูหน่วนเป็นเพียงแม่นางน้อยในวัยไม่ถึงยี่สิบซึ่งเป็นช่วงอันวัยเยาว์สดใส

ท่านผู้เฒ่าคุกเข่าอ้อนวอนหญิงสาวดูเช่นไรก็ช่างน่าอึดอัดใจเช่นนั้น

แต่ผู้อาวุโสรองดูเสมือนราวกับว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายโดยที่ขอร้องอ้อนวอนไม่หยุด

ผู้อาวุโสสูงโมโหมากจนเป่าหนวดเคราพร้อมกับจ้องมองตาเขม็ง “ผู้เฒ่ารองให้ข้าลุกขึ้นมานะ ไม่ว่าจะหลอมไข่มุกมังกรหรือไม่ท่านหัวหน้าเผ่าตัดสินใจเช่นไรก็ทำเช่นนั้น ไม่อนุญาตให้พวกเจ้าก้าวก่ายท่านหัวหน้าเผ่า”

“ผู้อาวุโสสูงพวกเราทุ่มเทกันสุดชีวิตก็เพื่อคลายคำสาปโลหิต ในตอนนี้ความหวังก็ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว เหตุใดถึงสามารถ……”

“ข้าเคยบอกแล้วว่าห้ามไม่ให้พวกเจ้าก้าวก่ายการตัดสินใจของท่านหัวหน้าเผ่า หากว่ายังคงดื้อดึงต่อไปข้าจะไล่เจ้าออกจากเผ่าหยกไปซะ”

“ท่านผู้อาวุโสสูง……”

กู้ชูหน่วนหัวเราะหึๆออกมาและมองดูพวกเขาผู้หนึ่งหน้าตาหมองคล้ำอีกคนหนึ่งหน้าตาขาว

“ข้าก็ยังประโยคเดิมหากพวกท่านกล้าแพร่งพรายเรื่องนี้โดยเฉพาะแพร่งพรายกับท่านพี่อี้เฉินเฟยและไป๋จิ่นอย่าโทษข้าที่แตกหักไม่นับผู้ใด อย่าลืมว่านอกจากข้าที่สามารถหลอมไข่มุกมังกรได้ผู้อื่นนั้นไม่สามารถหลอมรวมได้เลย บีบบังคับพวกเขาให้ตายผู้ใดก็อย่าได้อยู่เป็นสุขได้”

“ท่านหัวหน้าเผ่า เสียสละคนสองคนเพื่อช่วยผู้คนทั้งเผ่าซึ่งพวกเขาตายอย่างภาคภูมิใจนัก”

“ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพรากชีวิตของพวกเขาไปได้”

กู้ชูหน่วนเตือนอย่างเย็นชาและออกจากประตูไป ทิ้งให้ผู้อาวุโสสูงและผู้อาวุโสรองทั้งวิตกกังวลและเจ็บปวดรวดร้าว

หลังจากที่พวกเขาทะเลาะโต้เถียงกัน บรรยากาศของเผ่าหยกก็ค่อนข้างไม่ดีนัก และแม้แต่ผู้คนทั้งหลายก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติ

ผู้อาวุโสไป๋เฉ่าและคนอื่นๆก็ยิ่งอธิบายไม่ถูก

หลังจากออกจากประตูไปแล้วกู้ชูหน่วนก็กวาดตามองไปทางซ้ายและขวารอบหนึ่งแต่ไม่เห็นจอมมารเจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นั้นดังนั้นตนจึงได้เดินเข้าไปในเรือนเล็กเลย

เยี่ยจิ่งหานถูกจัดให้อยู่ในเรือนของนางโดยที่ถูกกักบริเวณไว้โดยที่มีภายในสามชั้นและภายนอกสามชั้น

ที่คาดไม่ถึงคือไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี้ถูกคลายออกจากเครื่องลงทัณฑ์ตั้งแต่เมื่อใดและถูกกักบริเวณอยู่ข้างๆเรือนเล็กของนางด้วย

เขาถูกตรวนไว้ด้วยโซ่ตรวนน้ำแข็งหมื่นปี ปลายข้างหนึ่งยึดติดขาขวาของเขาและปลายอีกข้างหนึ่งยึดติดอยู่กับหินมังกรทลายในเขตหวงห้ามข้างเรือนเล็ก

ด้านข้างเรือนหลังเล็กเป็นเขตหวงห้ามของนางนับแต่โบราณมามีเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้นที่สามารถเข้ามาได้และไม่มีผู้ใดรู้ว่าในเขตหวงห้ามมีสิ่งใดกันแน่ รู้เพียงว่าหินมังกรทลายนอกเขตหวงห้ามนั้นไม่สามารถทำลายได้และแรงภายนอกนั้นไม่สามารถสั่นสะเทือนได้เลย

แต่ว่าเช่นไรทุกๆคนก็สามารถคาดเดาได้ว่าเขตหวงห้ามก็น่าจะเป็นเส้นทางลับเส้นหนึ่งเช่นเดียวกัน หากว่ามีศัตรูอันแข็งแกร่งบุกเข้ามาจากนั้นวางหินมังกรทลายลงก็สามารถหลบหนีจากด้านในได้ นี่เป็นเขตหวงห้ามที่ใช้คุ้มกันหัวหน้าเผ่า

ก่อนหน้านี้กู้ชูหน่วนก็คิดเช่นนั้นและยังเข้าไปสำรวจดูโดยรอบ ต่อมาพบว่าด้านในเป็นสถานที่สำหรับฝึกวรยุทธ์ซึ่งไม่มีทางเข้าออกที่เป็นความลับใดอยู่เลย

อาจเป็นไปได้ว่าบรรพบุรุษไม่ต้องการให้คนมารบกวนการฝึกวรยุทธ์ดังนั้นจึงได้จัดหินมังกรทลายเอาไว้

เหวินเส่าอี๋พิงอยู่ตรงมุมอย่างไร้เรี่ยวแรง เลือดบนร่างกายของเขาไหลซึมออกมาจากเสื้อผ้าสีขาวที่ถูกย้อมเป็นสีแดงไม่หยุด

ในร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลมากมายจนแทบจะไม่มีตำแหน่งใดที่ดีอยู่เลย แม้แต่ใบหน้าอมตะราวผู้ถูกเนรเทศที่สวมหน้ากากนั้นก็เผยหางตาซึ่งถูกกรีดเป็นหลายแผลออกมา

แผลมีดแทงลึกยิ่งนักโดยที่เลือดสดๆยังไหลรินอยู่ และก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือเปล่า

เหตุใดเหวินเส่าอี๋ถึงได้มาอยู่ที่นี่?

เป็นผู้อาวุโสสูงให้คนนำตัวมาที่นี่หรือ?

นี่ถือว่าไว้หน้านางหรือว่ากระทำการเพื่อเอาใจนางหรือ?

กู้ชูหน่วนเดินไปยังตรงหน้าเหวินเส่าอี๋ทีละก้าวๆ

มีชามอยู่ข้างกายเขาชามหนึ่งซึ่งในชามมีข้าวต้มอยู่ครึ่งชาม อยู่ห่างไกลอยู่บ้างก็ยังได้กลิ่นเหม็นที่ลอยออกมาจากชาม

ข้าวต้มนี้เช่นไรก็ได้ทิ้งเอาไว้สามวันแล้วซึ่งรสชาตินั้นได้แปรเปลี่ยนไปตั้งนานแล้ว

กู้ชูหน่วนใช้เท้าเตะชามออกไปเลยโดยตรงโดยปล่อยให้ข้างต้มในชามกระจัดกระจายไปทั่วพื้น

นั่งย่อเข่าลงกู้ชูหน่วนกวาดตามองเหวินเส่าอี๋ผู้น่าสลดตรงหน้า

นางไม่เคยเห็นเหวินเส่าอี๋เช่นนี้มาก่อน เขาเป็นผู้ที่งดงามล่องลอยจากเหล่ามวลมนุษย์โลกและสูงส่งอย่างไม่เคยถูกละเมิดเสมอมา

“เกลียดชังข้าหรือไม่?” กู้ชูหน่วนกระซิบเสียงเบา

เหวินเส่าอี๋พิงตรงมุมอย่างไร้เรี่ยวแรงซึ่งแม้แต่ขยับสักเล็กน้อยก็รู้สึกว่าใช้เรี่ยวแรงมากมาย

เมื่อได้ยินคำพูดของนางเขาก็หัวเราะเยาะและไม่ได้กล่าวสิ่งใด

เกลียดชัง……

เขาควรเกลียดชังสิ่งใด?

เกลียดชังที่นางไร้ซึ่งความปรานี?

หรือว่าเกลียดชังที่นางได้จับตัวเขา?

หากว่านางตกไปอยู่ในมือของเผ่าเพลิงฟ้าชะตากรรมก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่าเขามากนัก

นี่คือความเครียดแค้นชิงชังนับพันปีของทั้งสองเผ่าไม่ใช่สิ่งที่คนผู้เดียวจะสามารถควบคุมได้

“นี่พี่หน่วนเหตุใดท่านถึงมาหล่ะ?” ตรงประตูเด็กสาวถักผมเปียสองข้างได้เดินเข้ามา

เด็กสาวอายุอ่อนเยาว์นักอายุเพียงแค่สิบสามปีสิบสี่ปีเท่านั้น มีดวงตาสดใสฟันขาวสะอาดและมีไร้เดียงสาชีวิตชีวาพร้อมดวงตาคู่โตเปล่งประกายรอยยิ้มขึ้น

“อินเอ๋อร์เจ้ามาทำอันใดที่นี่?”

“ท่านปู่ไป๋เฉ่าบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสให้ข้าจับตาดูไว้อย่าให้เขาตายได้”

อินเอ๋อร์เดินส่ายไปส่ายมาเข้ามาจากนั้นนั่งย่อเข่าลงบนพื้นพร้อมกับยันคางแล้วมองไปยังกู้ชูหน่วนอย่างไร้เดียงสา

“ท่านพี่หน่วนได้ยินมาว่าพวกเราได้รวบรวมไข่มุกมังกรครบทั้งเจ็ดลูกแล้ว อีกไม่นานก็จะสามารถหลอมรวมไข่มุกมังกรเพื่อคลายคำสาปโลหิตได้ใช่หรือไม่?”

“เจ้าได้ยินผู้ใดกล่าว?”

“คนทั้งเผ่ากล่าวกันทั้งนั้น ข้าคิดว่าจะไปหาท่านพี่หน่วนแต่ท่านปู่ไป๋เฉ่าไม่เห็นด้วยบอกว่าช่วงนี้ท่านพี่อารมณ์ไม่ค่อยดีให้ข้าอย่าได้รบกวนท่าน เป็นเพราะการหลอมไข่มุกมังกรเกิดปัญหาใช่หรือไม่?”

เมื่อมองไปที่ดวงตาคาดหวังของอินเอ๋อร์กู้ชูหน่วนก็เงียบไม่กล่าวสิ่งใด

“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก ความยากลำบากมากมายเช่นนั้นพวกเราก็ผ่านมาได้ไม่ว่าไข่มุกมังกรจะหลอมรวมได้ยากเย็นเท่าใดก็ไม่เป็นไร อินเอ๋อร์จะอยู่กับท่านพี่เสมอจนกว่าจะหลอมรวมไข่มุกมังกรได้ หากท่านพี่หน่วนเหนื่อยอินเอ๋อร์จะพาท่านไปจับกระต่ายเล่นกัน”

“ช่วยสิ่งใดข้าสักอย่างได้ไหม?”

“ท่านพี่กล่าวน่าขบขันอีกแล้ว เพียงแค่ท่านสั่งมาให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น”

“ไปเอาน้ำสะอาดมา ข้าจะช่วยเขาล้างแผล”

“ได้ อินเอ๋อร์จะไปเดี๋ยวนี้”

“เจ้าไม่กลัวผู้อาวุโสสูงจะดุเจ้าหรือ?”

“ไม่กลัวหรอก อย่างมากข้าก็จะบอกผู้อาวุโสว่าข้าไปตักน้ำตามคำสั่งของท่าน เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจะลงโทษข้าให้ได้หรือ? และชายผู้นี้ก็ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ข้าเห็นบาดเจ็บของเขาแล้ว จุ๊ๆๆ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก……ข้าอยากช่วยเขาห้ามเลือดแต่ข้าไม่มีตำรับยานั้น”

อินเอ๋อร์กล่างจ้อแจ้ตลอดทางและในไม่ช้าก็ตักน้ำเข้ามาและยังตักมาติดต่อกันหลายถังด้วย ราวกับว่ารู้อาการบาดเจ็บของเหวินเส่าอี๋เพียงน้ำสะอาดถึงหนึ่งนั้นไม่เพียงพอใช้ทำความสะอาดได้

“ทุกคนนั้นต้องการสังหารเขากันที้งนั้นแต่ข้ากลับเห็นว่าเจ้าไม่คิดสิ่งใดเลย ไม่โกรธแค้นเลยสักนิด”

“ข้าก็เกลียดชังคนของเผ่าเพลิงฟ้าด้วยแต่ว่าชายผู้นี้ดูไม่เหมือนคนชั่วช้าโหดเหี้ยมอันใด”

เสื้อผ้าสีขาวของเหวินเส่าอี๋เปรอะเปื้อนเลือดจนเป็นเสื้อผ้าโหิตและติดเข้ากับเนื้อของเขา กู้ชูหน่วนพยายามแก้เสื้อผ้าของเขาแต่แกะไม่ออกกลับทำให้เหวินเส่าอี๋ส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวด

“บาดแผลของท่านน่าเปื่อยแล้วและติดเข้ากับเสื้อผ้าแล้ว ข้าจะใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าออกจะเจ็บปวดเล็กน้อยท่านอดทนไว้”

เหวินเส่าอี๋พยักหน้าบีบริมฝีปากบางไว้แน่น ฝืนทนต่อความเจ็บปวดและให้กู้ชูหน่วนตัดหรือฉีกเสื้อผ้าของเขาโดยไม่ได้ส่งเสียงใดๆเลย

หลังจากถอดเสื้อตัวบนออกได้กู้ชูหน่วนก็ยังสูดลมหายใจอันเย็นเข้า

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท