กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 867
นางไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บวกกับสำนักศึกษาต้องการจัดงานงานชุมนุมมอบรางวัล มันคือรางวัลสำหรับผู้ที่ทำสัญญาข้อตกลงอสุรกายที่หุบเขาอสุรกายได้มากที่สุดและได้รับของล้ำค่ามากที่สุด นางเลยจะต้องไปร่วมงานด้วย เพื่อดูว่าจะได้รับประโยชน์อะไรหรือไม่
งานชุมนุมมอบรางวัลจัดขึ้นบนลานกิจกรรมด้านนอกของสำนักศึกษาอี้เหอ ดังนั้นงานชุมนุมมอบรางวัลนี้เลยจะครึกครื้นกว่าปีที่ผ่านๆมา
เพราะแต่ละสำนักใหญ่ และราชนิกุลตระกูลสูงศักดิ์ล้วนมาร่วมงานได้
การปรากฏตัวของกู้ชูหน่วนยิ่งก่อความวุ่นวายโกลาหล ทุกคนได้ทยอยล้อมรอบ เปลี่ยนจากการดูถูกหยามเหยียดในอดีต มาเป็นท่าทางที่ยินดีปรีดา พร้อมกับพยายามทำให้กู้ชูหน่วนพึงพอใจ
กู้ชูหน่วนกวาดสายตามอง ไม่เห็นเซี่ยวอวี่เซวียนเลย
นางเห็นเพียงหนิงเทียนโย่วกับหลินซือหย่วน
พวกเขากำลังยืนต่อแถว ไม่ได้มาร่วมวงครึกครื้น เห็นว่านางมา เพียงแค่พยักหน้าและยิ้มให้นางเพียงเล็กน้อย
ไป๋หลี่จวนพาสหายจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วนอย่างไร้มารยาท จากนั้นกล่าวขึ้นว่า“เพียงแค่เข้าใจการควบคุมสัตว์ร้ายบางอย่างก็เย่อหยิ่งจองหองเช่นนี้ ต่อให้เจ้าเก่งอย่างไร เช่นนั้นแล้วสามารถสู้ตระกูลไป๋หลี่ของข้าได้หรือไม่?”
“อ้อ…..ในเมื่อตระกูลไป๋หลี่ของเจ้าเก่งขนาดนั้น เช่นนั้นไม่กี่วันก่อนหน้าเหตุใดยังได้มาดึงข้าเป็นพวกล่ะ?”
“เจ้า……”
“วันนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน หากเจ้ายังไม่เคารพข้าอีก หากผู้นำตระกูลไป๋หลี่ของพวกเจ้ารู้เข้า ไม่แน่อาจจะตัดชื่อพวกเจ้าออกจากตระกูลไป๋หลี่?”
ไป๋หลี่จวนหน้าเขียวอึมครึม กล่าวขึ้นด้วยความเดือดดาลว่า“มู่หน่วน เจ้าอย่าจองหองนัก หากพวกข้าตรวจสอบพบว่าการตายของไป๋หลี่หมิงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้า ตระกูลไป๋หลี่ของพวกข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน”
“แล้วแต่”
ไป๋หลี่จวนออกไปด้วยความโมโห หยางโม่กับหยางมั่นเดินเคียงกันมา แล้วยิ้มทักทายนาง
“แม่นางมู่ ยินดีด้วย ผลงานชั้นยอดของงานชุมนุมมอบรางวัลครั้งนี้จะต้องเป็นท่านอย่างแน่นอน”
“อันนี้ก็ไม่รู้ ตอนนี้คนที่อิงด้านความสัมพันธ์มีมากมาย”กู้ชูหน่วนกล่าวแล้วมองไปทางไป๋หลี่จวน
หยางโม่ยิ้มอย่างอ่อนโยน กล่าวขึ้นว่า“แม่นางมู่พูดตลกแล้ว วันนี้เหล่าผู้นำสี่ตระกูลใหญ่ต้องมา อยากจะใช้ด้านความสัมพันธ์เกรงว่าจะไม่ง่ายหรอกนะ”
“งานชุมนุมมอบรางวัลจะเริ่มแล้ว แม่นางมู่ อีกสักครู่เจอกัน”
วันนี้หยางมั่นแต่งตัวสวยสง่างดงาม ตั้งแต่นางเข้ามา ดวงตาคู่สวยมองกวาดหาเงาของผู้นำตระกูลเหวินโดยรอบ
เห็นหยางโม่ตัดใจไม่ลงที่จะไป เลยอดไม่ได้ที่จะเร่งและดึงจูงหยางโม่ไป
หยางโม่รู้สึกประหลาดใจพิลึกกึกกือ
น้องสาวของเขาไม่เคยเสียมารยาทมาก่อน วันนี้เป็นอะไรไป
ส่วนกู้ชูหน่วนนั้นรู้ดี
หญิงผู้นี้เกรงว่าจะมีความรู้สึกผูกพันกับผู้นำตระกูลเหวินแล้ว
นางผลักและยังเอาใจคนของนาง มาถึงข้างกายของหลินเทียนโย่วกับหลินซือหย่วน ได้ใช้ข้อศอกกระทุ้งพวกเขา
“พวกเจ้าสองคนก็ไม่จงรักภักดีเสียเลย เห็นข้ามาแล้วก็ไม่ต้อนรับ”
“มีคนตั้งมากมายต้อนรับท่าน พวกข้ายังต้องไปครึกครื้นอะไรด้วย คุณชายเซี่ยวล่ะ?เขาไม่ได้มากับเจ้าหรือ?”
กู้ชูหน่วนชะงักยิ้มค้างไปเล็กน้อย
“ช่วงนี้เซี่ยวอวี่เซวียนไม่ได้มาที่สำนักศึกษาหรือ?”
“ไม่นะ เขาบาดเจ็บอยู่ที่หุบเขาอสุรกายหนักขนาดนั้น ข้านึกว่าเขารักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่จวนมู่ของพวกเจ้า วันนี้การชุมนุมมอบรางวัล จนเวลานี้แล้ว เหตุใดเขาถึงยังไม่มา คงไม่ใช่ว่าเกิดอุบัติเหตุอะไรที่ไม่คาดคิดหรอกนะ”
กู้ชูหน่วนลังเลไม่แน่ใจ
ไม่รู้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนเจอเรื่องราวที่วุ่นวายไหม
หรือเพราะสารภาพความในใจกับนางแล้วไม่ได้รับคำตอบ ดังนั้นเลยไม่มาร่วมงานชุมนุมมอบรางวัล
แม้วันนี้ทุกคนจะใช้สายตาที่อิจฉาชื่นชมมองนาง เอาใจประจบประแจงนางไม่ขาดสาย
แต่นางมีความรู้สึกที่เป็นลางสังหรณ์ไม่เป็นมงคล มักรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่ งานชุมนุมมอบรางวัลเริ่มขึ้นแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด คุณชายเซี่ยววรยุทธ์เก่งกาจเยี่ยงนั้น คนปกติทำสิ่งใดเขาไม่ได้หรอก”
“ได้…..”
กู้ชูหน่วนตามพวกเขามาที่ลานกิจกรรม แล้วหาที่นั่งว่าง จากนั้นได้นั่งลง
บังเอิญหรือไม่ ที่นั่งนั่นอยู่ด้านข้างซั่งกวนหมิงหลางด้วย
ด้านข้างหูมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอีกครั้ง
“เห็นหรือยัง มู่หน่วนจงใจนั่งข้างซั่งกวนอวิ๋นหลาง ใจของนางยังโหยหาซั่งกวนอวิ๋นหลางอยู่”
“ไม่โหยหาได้หรือ?ก็ไม่ดูเลยนะว่าซั่งกวนอวิ๋นหลางช่างเป็นชายรูปงามเสียเหลือเกิน”
กู้ชูหน่วนกวาดสายตามองซั่งกวนอวิ๋นหลางที่อยู่ด้านข้าง แทบอยากตบหน้าผากเชียวล่ะ
อะไรนี่
หาที่นั่งแบบอย่างไรก็ได้ ก็ยังได้มานั่งข้างเขาหรือ?
“หนิงเทียนโย่ว พวกเราเปลี่ยนที่นั่งกัน”
“เจ้าเปลี่ยนตอนนี้ไม่ใช่ทำตัวมีพิรุธหรือ?”หลินซือหย่วนอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้น
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น แต่ทว่ากลับได้เห็นทุกคนกำลังมองนางอยู่
นางเลยจำใจต้องนั่งลง ปล่อยให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์กันไป
หยางโม่มีฐานะเป็นองค์ชาย ฐานะสูงส่ง ไม่ดีที่นั่งด้านหลัง ไม่อย่างนั้นนะเขาก็อยากจะย้ายเปลี่ยนที่นั่งกับคน แล้วมานั่งข้างกายกู้ชูหน่วนแล้วล่ะ
คนจำนวนมากทยอยล้อมกู้ชูหน่วน แนะนำตนเองกับกู้ชูหน่วนกันไม่ขาดสาย
“แม่นางกู้ ข้าคือบุตรชายของหัวหน้าสำนักจู้เตาซาป้าเทียน ข้ากับท่านพ่อของข้าชื่นชอบท่านมาก ข้าสามารถเชิญท่านไปเป็นแขกที่สำนักจู้เตาได้หรือไม่?”
“หนีๆๆๆๆ สำนักจู้เตานับว่าอะไรกัน แม่นางมู่ ข้าคือหัวหน้าของสำนักฉางซา ท่านจำข้าได้หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนเหลือบมอง แล้วส่ายหน้า
“ตอนอยู่ที่หุบเขาอสุรกาย ข้าเคยพูดคุยกับท่าน ข้ายังพูด…..”
“พอได้แล้วๆๆๆ นางไม่รู้จักท่าน ว่าท่านมีไมตรีจิตอะไรอยู่ที่นั่น แม่นางมู่ ข้าคือหัวหน้าสำนักไฮ่เทียน ตอนที่อยู่หุบเขาอสุรกายข้าเคยสู่ขอท่าน ท่านคุ้นหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม
คนอื่นเลยกล่าวขึ้นว่า“สำนักไฮ่เทียนอะไร นางไม่รู้จักท่าน”
“วันนั้นที่หุบเขาอสุรกายมีผู้คนมากมาย พวกเราเพียงเจอกันแค่แวบเดียว นางลืมก็ถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรข้าก็มีบุพเพสันนิวาสกับนาง อย่างไรก็ดีกว่าพวกท่านที่ไม่รู้จักนาง”
บุญชายของข้าเป็นสหายสำนักศึกษาเดียวกันกับนาง
“บุตรสาวของข้าก็เป็นสหายสำนักศึกษาเดียวกับนาง”
“……”
หนิงเทียนโย่วกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจว่า“เดินทางหุบเขาอสุรกายด้วยกัน เจ้านี่เป็นที่น่าสนใจของชาวบ้านเสียจริง ชื่อเสียงเลื่องลือ ธรณีประตูเล่ห์เหลี่ยมของจวนมู่ต้องถูกทายถูกแล้วไหม มิน่าเล่าแม้แต่ตระกูลใหญ่สี่ตระกูลสู่ขอล้วนเมินใส่”
“คำพูดนี้ฟังแล้วทำไมมันแปลบๆนะ เสี่ยวโย่วจือ เจ้าพูดเรื่องการสู่ขอของสี่ตระกูลใหญ่ ไม่ใช่ว่ารวมตระกูลหนิง รวมเจ้าด้วยหรอกนะ”
“ถุย ข้าจะสู่ขอแต่งงานกับใครล้วนแล้วไม่แต่งกับเจ้าหรอก”
“อย่างนั้นก็ดี ยังนับว่าเจ้ามีญาณทัศนะที่รู้ข้อบกพร่องของตัวเองดี”
“เจ้า…ผู้หญิงคนนี้นี่ โด่งดังแล้วก็คิดว่ายอดเยี่ยมเลย?”
“ยอดเยี่ยมอะไรกัน คนเหล่านี้กระทำสิ่งที่ไม่จำเป็นเท่านั้นเอง เจ้าเชื่อหรือไม่ หากว่าข้าไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายได้ หรือตระกูลใหญ่สี่ตระกูลหันกลับมาลงรอยข้า คนเหล่านี้ต้องอยู่อีกด้านเป็นแน่”
หากไม่เป็นเพราะหนิงเทียนโย่วรำคาญ เลยทำให้พวกเอาอกเอาใจเหล่านั้นทยอยออกไป เกรงว่าคำที่กู้ชูหน่วนพูดไม่รู้จะทำให้คนไม่พอใจตั้งเท่าไหร่
หนิงเทียนโย่วกับหลินซือหย่วนแทบจะปิดปากนางไว้
“วันนี้วันอะไรกัน สำนักทั่วทั้งดินแดนวิญญาณเยือกแข็งล้วนอยู่ที่แห่งนี้ เจ้าพูดคำเหล่านี้ ต้องการทำให้คนทั่วพื้นพิภพไม่พอใจ?”
“ไม่พอใจก็ไม่พอใจสิ พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกับข้าสักหน่อย”
“เจ้านี่นะ ไม่รู้เลยจริงๆว่าควรจะพูดอะไรกับเจ้าดี”
หลินซือหย่วนพยักหน้า เห็นด้วยกับความคิดของหลินเทียนโย่ว
“แม่นางมู่ ข้าว่าพวกเราจะต้องเงียบสักหน่อย”
“ข้ายังเงียบไม่พอหรือ?ข้าอยู่ท่ามกลางฝูงชน พวกเขาทำอย่างกับข้าเป็นขนมหวาน แล้วข้าทำอะไรได้ล่ะ”
คนอื่นไม่ได้ยิน แต่ซั่งกวนหมิงหลางได้ยินอย่างแจ่มแจ้ง
ทุกครั้งที่มู่หน่วนทำอะไรล้วนอึกทึกครึกโครม นางยังเงียบหรือนี่?
“ผู้นำสี่ตระกูลถึงแล้ว….”
ตามด้วยเสียงที่ดังขึ้น ทุกคนเลยมุ่งความสนใจไปที่นั่งด้านบน
ผู้นำสี่ตระกูลใหญ่นำโดยผู้นำตระกูลไป๋หลี่ พวกเขาต่างทยอยพากันนั่งลง
ผู้นำตระกูลเหวินยังคงเจียมตัวและเงียบเช่นเคย โดยนั่งในที่นั่งที่สองทางขวา
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กับผู้นำตระกูลซั่งกวนพากันนั่งเก้าอี้หลักซ้ายขวา
ท่านผู้เฒ่าหนิงนั่งเก้าอี้ที่สองด้านซ้าย
บนลานจัดกิจกรรมมีเสียงเปล่งออกมามากมาย
ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย ทุกคนล้วนถูกชายหนุ่มที่อบอุ่นนั่งอยู่เก้าอี้ที่สองฝั่งขวาดึงดูดความสนใจไป
“เขาคือใคร?หล่อเช่นนี้ หรือว่าคือผู้นำตระกูลเหวินที่เล่าลือกัน?อายุน้อยเกินไปแล้วไหม”
“ใช่ มีตั๋วเงิน มีอำนาจ หล่อเหลา เป็นเจ้าชายในใจข้าเลย ไม่รู้ว่าเขาแต่งงานหรือยังนะ”