กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 877
ตอนจบของเพลง ทุกอย่างกลับว่างเปล่าและไม่มีอะไรเลย
เยี่ยจิ่งหานไม่ยอมแพ้ เขาเป่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป่าตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และตั้งแต่พลบค่ำจนถึงรุ่งเช้า
ตลอดทั้งวันทั้งคืน ทุกอย่างก็ยังคงว่างเปล่าและไม่มีอะไร
เดิมทีที่เยี่ยจิ่งหานเต็มไปด้วยความหวัง แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นความผิดหวัง
เมื่อได้ฟังเพลงบรรเลงของเขา กู้ชูหน่วนเปลี่ยนจากความสุขเป็นความเศร้า จากนั้นก็สิ้นหวัง นางอดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “พอแล้ว หยุดเป่าได้แล้ว หากนางสามารถปรากฏตัวออกมาได้ก็คงจะออกมานานแล้ว บางทีวิญญาณเมื่อครู่อาจจะอยู่ใกล้ ๆ จึงถูกเสียงขลุ่ยของเจ้าดึงดูดมา”
ใบหน้าของเยี่ยจิ่งหานไม่น่ามองมากนักและถอดใจ และความโศกเศร้าก็ทำให้กู้ชูหน่วนทนไม่ไหว
“บางทีวิญญาณที่เหลืออาจจะอยู่ไกลจากที่นี่ เจ้าพบวิญญาณตั้งสามดวงแล้วไม่ใช่หรือ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานจะต้องพบวิญญาณที่เหลือ”
“ทำไมต้องเป็นเจ้า?”
“อะไรนะ?”
“ทำไมวิญญาณของนางถึงไม่ไปหาคนอื่น แล้วมาหาแต่เจ้า?”
“คำถามของเจ้าลึกลับเกินไป ข้าไม่สามารถตอบได้ ไว้รอให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมา แล้วเจ้าค่อยถามนางด้วยตนเองเถอะ อย่าลืมให้นางชดเชยความเสียหายทางจิตใจให้ข้าด้วย จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมา ข้าตกใจแทบแย่”
น้ำเสียงนี้ ท่าทางนี้ แทบจะเหมือนกันกับอาหน่วนทุกประการ
หากไม่ใช่เพราะรู้เหตุผลอยู่แล้ว เยี่ยจิ่งหานคงเข้าใจผิดว่านางเป็นอาหน่วนนับครั้งไม่ถ้วน
“อาการบาดเจ็บของข้าดีขึ้นมากแล้ว ควรจากไปได้แล้ว”
กู้ชูหน่วนต้องการที่จะจากไปตั้งนานแล้ว
นางอยู่ที่นี่มานานเกินไป ในระหว่างนั้นนางก็เรียกเจ้าเสือน้อยและเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หลายครั้ง แต่พวกมันก็ไม่มา นางกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกมัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการก้าวออกไปจากที่นี่หมายความว่าอย่างไร?”
“รู้สิ แต่ข้าไม่สามารถหลบซ่อนอยู่ที่นี่ไปได้ตลอด”
กู้ชูหน่วนคิดว่าเยี่ยจิ่งหานจะขัดขวาง
แต่ไม่คิดเลยว่าเขาไม่ขัดขวาง และเป่าขลุ่ยของเขาต่อไป
นางขยับริมฝีปาก และอยากจะเกลี้ยกล่อมเขาว่าอย่าฝืนมากเกินไป แต่นางก็พูดไม่ออก
นางไม่เข้าใจความเจ็บปวดของการสูญเสียคนรัก จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะไปเกลี้ยกล่อมผู้อื่น
หลังจากอยู่ร่วมกันมาสิบวัน นางก็เข้าใจเยี่ยจิ่งหานมากขึ้น
ชายผู้นี้สีหน้าเยือกเย็น แต่จิตใจไม่ได้เยือกเย็น อีกทั้งยังน่าสงสาร
กู้ชูหน่วนตรวจสอบดูหลายครั้งแล้ว ด้านนอกมีการซุ่มโจมตีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะจากไปทางไหน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการซุ่มโจมตีจำนวนมากเช่นนั้นได้
นางหันกลับมาอีกครั้งและกล่าวอย่างมั่นใจ “เจ้าส่งข้าลงไปจากเขา ถือเสียว่าเป็นค่าเช่าที่นางมาอาศัยร่างของข้า”
“หากไม่ใช่เพราะนางมาอาศัยร่างของเจ้า เจ้าก็คงตายไปนานแล้ว”
“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าถูกพวกเขาฆ่าจริง ๆ หรือ แล้ววิญญาณของผู้หญิงที่เจ้ารักจะไปอาศัยอยู่แห่งหนใด?”
เยี่ยจิ่งหานกำขลุ่ยที่อยู่ในมือไว้แน่น และความโกรธก็แวบขึ้นในแววตาของเขา
“เจี้ยงเสวี่ย”
“ผู้น้อยอยู่นี่ขอรับ”
“ส่งนางออกไปจากที่นี่”
“ขอรับ……”
กู้ชูหน่วนยกริมฝีปากขึ้นและยิ้ม “เด็กดี เจ้าต้องเชื่อฟังหน่อย บางทีอาจจะรวบรวมจิตวิญญาณของนางได้ง่ายขึ้น”
แคร้ง……
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานทรุดลงในทันที
กู้ชูหน่วนรู้ว่าเขาจะต้องโกรธอีกครั้ง ดังนั้นนางจึงลากเจี้ยงเสวี่ยออกไป ก่อนที่เขาจะโกรธ
ชิงเฟิงกล่าวอย่างโกรธเคือง “นายท่าน พวกเราต้องถูกนางบีบบังคับเช่นนี้หรือ?ช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนัก”
“วิญญาณของอาหน่วนอาศัยอยู่ในร่างของนาง นางจะตายไม่ได้”
“แต่……”
“ส่งคนไปคุ้มกันนางอย่างลับ ๆ อย่าให้นางตายเป็นอันขาด”
“ขอรับ……” ชิงเฟิงรับคำสั่งอย่างไม่เต็มใจ
เยี่ยจิ่งหานขมวดคิ้ว
การชุมนุมมอบรางวัลทำให้นางเกือบเอาชีวิตไม่รอด นางไม่สามารถใช้มหาเวทย์ดูดพลังได้ และไม่สามารถใช้วรยุทธ์ใด ๆ ของอาหน่วนได้ เลย
นางจงใจที่จะไม่ใช้?
หรือว่าไม่รู้วิธีที่จะใช้วรยุทธ์และมหาเวทย์เหล่านั้นจริง ๆ ?
ดูเหมือนไม่ใช่ว่านางจงใจที่จะไม่ใช้มัน
แต่เป็นไปได้มากว่านางใช้ไม่ได้
แต่หากใช้ไม่เป็น วันนั้นนางจะใช้มหาเวทย์ดูดพลังได้อย่างไร?
กู้ชูหน่วนปลอมตัวเป็นหญิงชราผมขาว และลงมาจากเขาได้สำเร็จโดยการช่วยเหลือของเจี้ยงเสวี่ย
ทั่วทั้งเมืองหลวงมีประกาศจับนางตามภาพเหมือน
สำนักต่าง ๆ ส่งสาวกที่เก่งที่สุดของพวกเขาไปตามหานางจนทั่วทุกถนนหนทาง และแต่ละคนก็ประกาศว่าต้องการจะกำจัดนาง
กู้ชูหน่วนแบะปาก
เมื่อไม่นานมานี้ นางเป็นเจ้าแห่งปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายที่ผู้คนต้องการแข่งขัน
แต่ในตอนนี้ทุกคนเรียกขานนางว่านางมารปีศาจ
สถานการณ์เช่นนี้ ช่างน่าขันยิ่งนัก
ไม่มีร่องรอยของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และเจ้าเสือน้อยเลย
แม้แต่เซี่ยวอวี่เซวียนก็ยังหาไม่พบ
กู้ชูหน่วนมีลางสังหรณ์ในใจอย่างบอกไม่ถูก
นางไปที่จวนมู่กลางดึก
มีผู้คนจำนวนมากซุ่มโจมตีอยู่ที่หน้าประตูจวนมู่
นางตีสาวกคนหนึ่งของสำนักใดสำนักหนึ่งจนสลบ จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นเขา และซุ่มโจมตีท่ามกลางฝูงชน
“ทุกคนกระปรี้กระเปร่าหน่อย นางมารผู้นั้นเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว บางทีนางอาจจะลงมาจากเขา และกลับมาที่จวนมู่ หากสามารถจับตัวนางได้ นั่นจะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” ผู้นำคนหนึ่งกล่าว
กู้ชูหน่วนพึมพำอยู่ข้างสาวกคนหนึ่ง “พี่ใหญ่ ท่านกล่าวเช่นนี้ทุกวัน ผ่านไปสิบเอ็ดวันแล้ว พวกเรายังไม่เห็นแม้แต่เงา ข้าคิดว่านางยังอยู่บนเขาอย่างแน่นอน”
“ใช่ สำนักต่าง ๆ ในใต้หล้า รวมทั้งราชสำนักล้วนแต่ประกาศจับนาง หากนางไม่โง่ จะกล้าออกมาได้อย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะกลับมาที่จวนมู่เลย”
“ต่อให้นางออกมา บรรดาสาวกมากมายของสำนักต่าง ๆ ที่ซุ่มโจมตีที่เชิงเขาจะไม่โต้ตอบได้อย่างไร พวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ก็เสียเวลาเปล่า”
“ข้าว่าพวกเจ้าพูดไร้สาระมากเกินไปแล้ว ต่อให้จะเสียเวลาก็ต้องเฝ้า ใครใช้ให้หัวหน้าพรรคของพวกเราสั่งให้พวกเรามาอยู่ด้วยกันเล่า”
“เหนื่อยแทบแย่ ข้าไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาสิบเอ็ดวันแล้ว”
“ข้าอึดอัดใจยิ่งกว่า ภรรยาของข้าเพิ่งคลอดลูกเมื่อสิบเอ็ดวันก่อน จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของลูกเลย ไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเหมือนข้าหรือแม่ของเขา อยากจะกลับบ้านเสียในตอนนี้เลย”
“เฮ้ อดทนไว้ก่อน หลังจากที่ให้จับตัวนางได้แล้ว พวกเราจะทำอะไรก็ทำ”
กู้ชูหน่วนได้ยินทุกอย่างที่พวกเขาพูดคุยกัน นางสะกิดคนข้าง ๆ เอามือกุมท้องและขมวดคิ้ว “ข้าปวดท้อง ขอไปปลดทุกข์ก่อน เจ้าช่วยมาแทนข้าหน่อย”
“เจ้าเพิ่งไปปลดทุกข์มาไม่ใช่หรือ?ทำไมไปอีกแล้ว?”
“คนเรามีเรื่องเร่งด่วนสามอย่าง วันนี้อาจจะกินอะไรไม่ค่อยดีลงไป”
“รีบไป ๆ”
“ได้”
กู้ชูหน่วนหายไปในความมืด
เพราะสถานที่ที่พวกมันซุ่มโจมตีนั้นเป็นด้านในสุด เพียงแค่ปีนข้ามกำแพงเข้าไป พวกก็จะสามารถเข้าไปในจวนมู่ได้
นางไม่รู้ว่ามีคนซุ่มโจมตีอยู่ในจวนมู่หรือไม่
แต่นางก็อดเป็นห่วงท่านพ่อของนางไม่ได้
แม้ว่าจะเป็นที่เต็มไปด้วยอันตราย นางก็ต้องเข้าไปดู
นอกกำแพง
กู้ชูหน่วนได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ
นางตัวสั่นสะท้าน และลางสังหรณ์ที่เป็นลางร้ายก็มากขึ้นเรื่อย ๆ
ลมในตอนกลางคืนพัดผ่าน และกลิ่นคาวเลือดก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น
นางพลิกตัวเข้าไปในกำแพง และวิ่งไปยังทิศทางที่คุ้นเคย ร่างกายของนางเบาราวกับสายลม
แม้ว่าจวนมู่จะไม่ใหญ่โต แต่ก็มีคนรับใช้
แต่วันนี้ในจวนมู่ไม่มีคนรับใช้แม้แต่คนเดียว
และที่นี่ไม่มีคนซุ่มโจมตี
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ กลิ่นคาวเลือดก็ตลบอบอวลจนแทบอยากจะอาเจียนออกมา
ที่มุมหนึ่ง
ในที่สุดนางก็เห็นผู้คน
แต่เป็นคนที่ตายแล้ว
คนที่ตายล้วนเป็นคนรับใช้ในจวนมู่ ข้าวของที่กระจัดกระจาย แต่ละคนถูกมีดแทงที่คอ พวกเขาตายอย่างอนาถและเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทางเดิน
กู้ชูหน่วนเดินเซจนเกือบจะล้มลง ดูเหมือนว่านางจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าของนางซีดขาวในทันที และวิ่งไปหามู่ซิน
ระหว่างทางมีศพเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ศพเหล่านั้นมีบางคนที่นางรู้จักและบางคนก็ไม่รู้จัก
“ฮ้า……”