ลู่เจียวเดินไปส่งถึงหน้าประตู “ท่านแม่ กินข้าวก่อนค่อยกลับเถอะ”
เถียนซื่อไม่หยุดเท้า กลัวว่าลู่เจียวจะตามนางไป
ลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังน้ำตาคลอ หัวใจที่รักและเป็นห่วงลูกของเถียนซื่อเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
ลู่เจียวรู้ว่าเถียนซื่อโกหกเรื่องที่บ้านยังมีธุระ ต่อให้มีธุระก็แค่กินข้าวมื้อเดียวเท่านั้น แต่ที่นางไม่อยู่กินข้าว เพราะไม่อยากให้พวกเขาต้องสิ้นเปลือง อยากให้พวกเขาเก็บข้าวไว้กินเอง
ลู่เจียวยิ่งครุ่นคิดยิ่งเสียใจ น้ำตาไหลรินลงมาโดยไม่รู้ตัว
นอกรั้ว แฝดสี่เห็นนางน้ำตาไหลก็ตกใจมาก ที่แท้แม่นางมารร้ายนี้ก็ร้องไห้เป็นด้วยหรือ
ในบรรดาแฝดสี่ ซื่อเป่าที่เด็กที่สุดเดินเข้าไปสัมผัสมือของลู่เจียวก่อนเป็นคนแรก
ลู่เจียวก้มหน้าลงมองเด็กน้อยซูบผอม ตอนที่เขาเงยหน้ามองตนดูน่าเอ็นดูและไร้เดียงสาเกินบรรยาย แต่พอนางมองตอบ เขากลับดึงมือกลับไปทันที พอเห็นลู่เจียวเงยหน้าขึ้น เขาก็ยื่นมือออกมาสัมผัสมือนางอีกครั้ง
ลู่เจียวได้รับการปลอบโยนจากเด็กน้อยด้วยวิธีเช่นนี้ก็ไม่ได้เสียใจเหมือนตอนแรก เถียนซื่อดีกับนาง วันข้างหน้าค่อยตอบแทนแล้วกัน ไม่สิ นางต้องรีบหาเงินห้าตำลึงมาคืนให้โดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเถียนซื่อคงจะลำบากใจ
ลู่เจียวนึกถึงสมุนไพรในห้วงอากาศ โสมและเห็ดหลิงจือเป็นตัวเลือกที่ดี โสมต้นหนึ่งมีอายุนับร้อยปี อีกต้นมีอายุห้าสิบปี ส่วนเห็ดหลิงจือ ดอกที่นานที่สุดก็ประมาณห้าสิบปี
พรุ่งนี้นางจะขึ้นเขา แกล้งทำเป็นไปหาสมุนไพรล้ำค่าในป่า ได้หลิงจือมาสักสองดอก ดอกหนึ่งเอาไปขายในหอยาเป่าเหอ ส่วนอีกดอกให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นกิน ยาที่เขากินอยู่ตอนนี้ยังขาดสมุนไพรสำหรับบำรุงร่างกาย
ยาของเขาเป็นต้องมีสรรพคุณบำรุงชี่และละลายเลือดคั่งเท่านั้น หากจะซื้อยาพวกนี้ ชุดหนึ่งก็ต้องเตรียมเงินอย่างต่ำห้าตำลึง
นี่ยังไม่นับว่าเป็นยาจากสมุนไพรหายากเหมือนยาจากโสมและเห็ดหลิงจือ
ยาที่เซี่ยเอ้อร์จู้ซื้อมาก่อนหน้าน้เป็นเพียงยาทั่วไปเท่านั้น จะให้เห็นผลต้องให้ซี่ยอวิ๋นจิ่นกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ลู่เจียวคิดพลางอุ้มซื่อเป่าขึ้น ร่างซูบผอมของเจ้าสี่เกร็งไปทันที
ต้าเป่า เอ้อร์เป่าและซานเป่าที่อยู่ด้านหลังจ้องมองนางด้วยความหวาดระแวง กลัวว่านางจะตีซื่อเป่า
แต่ลู่เจียวไม่สนใจพวกเขา หันหลังเดินเข้าไปด้านใน
ทีแรกนางคิดว่าจะซักผ้า แต่พอเห็นว่าสายแล้วจึงทำมื้อเที่ยงก่อน กินข้าวเสร็จค่อยไปซักผ้า
ตอนเที่ยงกินข้าวสวย ต้นหอมผัดไข่และผักกาดผัดเห็ด
ข้าวสวยนี้เป็นข้าวที่เถียนซื่อเอามาให้เมื่อครั้งที่แล้ว แต่เดิมก็มีไม่มาก กินไปสองครั้งก็เหลือแค่นิดเดียว ลู่เจียวเลยเอาข้าวที่เหลือมาหุงจนหมด
ครั้งหน้าที่นางไปซื้อยาในเมือง ค่อยซื้อข้าวสารและแป้งกลับมาเยอะหน่อย เด็กๆ กินแต่ข้าวกล้อง ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
เพราะข้าวกล้องไม่สีเปลือกเลยค่อนข้างแข็ง ต้องแช่น้ำสองสามชั่วโมงถึงจะหุงได้ ถ้าไม่แช่น้ำ ตอนกินจะแข็งเกินไป
ลู่เจียวหุงข้าวและทำกับข้าวจนเสร็จ ก็ยังไม่เห็นเซี่ยเอ้อร์จู้มา
นางดูเวลา คิดว่าเซี่ยเอ้อร์จู้คงไม่มาแล้ว ฉะนั้นวันนี้นางคงต้องป้อนอาหารเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอง
ลู่เจียวคิดดูแล้วไม่เห็นว่าจะเป็นอะไร ก็แค่ป้อนอาหาร นางเคยเป็นหมอทหาร เป็นธรรมดาที่จะต้องดูแลผู้ป่วยอยู่แล้ว
ลู่เจียวมองไปที่เรือนตะวันออก เห็นว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นหลับไปแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ตอนนี้ยังโดนทำร้ายจิตใจ สีหน้าจึงไม่ค่อยดี ดูซีดเซียวเป็นอย่างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะนางใช้น้ำจากน้ำพุจิตวิญญาณมาปรับสมดุลร่างกายของเขา ตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาจะฟื้นได้หรือไม่
ไม่มีเงินกินยาดีก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผล ทั้งๆ ที่ได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้ ยังต้องกินแต่ยาราคาถูกคุณภาพต่ำ ถึงได้ทำให้แผลไม่ยอมหายเสียที
แต่ยาคุณภาพต่ำขนาดนี้ กลับยังต้องจ่ายถึงชุดละหนึ่งตำลึงกว่า เห็นได้ชัดว่ายาในยุคโบราณล้ำค่ามาก
ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นหลับไปแล้วก็เดินออกไปข้างนอก พอถึงตรงประตูก็เห็นแฝดสี่ไม่ขยับไปไหน ก็เรียกพวกเขาไปกินข้าว “พ่อเจ้าหลับไปแล้ว พวกเราไปกินอะไรกันก่อนเถอะ รอให้เขาตื่น ข้าค่อยมาป้อนอาหารให้เขา”
แฝดสี่ไม่ขยับสักนิด เอาแต่มองลู่เจียวอย่างไม่เชื่อถือ ลู่เจียวเลิกคิ้วพร้อมข่มขู่
“ข้าบอกพวกเจ้าไว้ก่อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านย่าของพวกเจ้าจะไม่ให้ท่านลุงรองมาดูแลพ่อเจ้าอีก ตอนนี้ก็เหลือแต่ข้าที่คอยดูแลพ่อเจ้าแล้ว หากพวกเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้า ข้าจะไม่ดูแลเขา”
แฝดสี่แลกเปลี่ยนสายตากัน เห็นวันนี้เที่ยงแล้วลุงรองยังไม่มา ก็คิดว่าลุงรองของพวกเขาคงไม่มาแล้วจริงๆ
ต้าเป่าเดินขึ้นหน้าเป็นคนแรก เขาจ้องมองนาง “พวกเราจะฟังคำสั่งท่าน ท่านจะตีหรือจะต่อว่าพวกเราก็เชิญเลย พวกเราจะไม่หลบ ขอแค่ท่านดูแลท่านพ่อให้ดี”
แฝดสามที่อยู่ด้านหลังเดินมาด้วยความเชื่อฟัง “พวกเราเชื่อฟังท่านก็ได้ ได้โปรดช่วยดูแลท่านพ่อเถอะ”
ลู่เจียวพยักหน้าด้วยความพอใจ นานๆ ทีแม่และลูกจะเห็นตรงกัน
ถึงแม้ที่แฝดสี่จะยอมไปกินมื้อเที่ยงกับลู่เจียวเพราะวิธีการบีบบังคับ ทว่าตอนที่วกเขาได้กินข้าวสวยและไข่ผัดต้นหอมก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที
เดิมทีข้าวและไข่ก็เป็นของแพงที่ไม่ค่อยได้กินอยู่แล้ว ยิ่งรวมกับฝีมือการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของลู่เจียว ก็ยิ่งทำให้มื้อนี้อร่อยขึ้นกว่าเดิม
แฝดสี่กินอย่างเอร็ดอร่อย น่าเกลียดน่าชังราวกับสุนัขน้อยสี่ตัว ลู่เจียวนั่งมองพวกเขา ก็อดเสียใจที่จะต้องยกเจ้าแฝดสี่ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลี้ยงไม่ได้
แต่พอคิดดูแล้ว อย่างไรพวกเขาก็ไม่ค่อยชอบนาง นางเลยไม่คิดมากอีก
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ลู่เจียวก็ไปซักผ้า ปล่อยให้แฝดสี่นอนกลางวัน ทว่าพวกเขากลับดื้อดึงจะเฝ้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นตื่น เอ้อร์เป่าก็เข้ามาเรียกลู่เจียว “ท่านพ่อตื่นแล้ว ท่านพ่อตื่นแล้ว”
ลู่เจียวตากเสื้อตัวสุดท้ายแล้วเดินไปที่เรือนตะวันออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตื่นแล้ว กำลังพูดคุยกับแฝดสี่ ลู่เจียวเดินเข้าไป เขาชะงักไปนิดก็เอ่ยต่อ
“นอนเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
ต้าเป่าตีหน้าขรึมทันที “ท่านพ่อยังไม่ได้กินอะไรเลย ไม่กินอะไรเช่นนี้จะหายได้อย่างไร”
เขาพูดจบก็เงยหน้ามองลู่เจียวที่อยู่ข้างเตียง ลู่เจียวรีบเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปตักข้าวและอาหารมาป้อนเจ้า”
วันนี้นางคอนข้างยุ่ง ยังไม่ทันได้ตุ๋นไก่ให้เขากิน
ลู่เจียวกล่าวจบก็เตรียมออกไปตักข้าว ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่นางหันหลังไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เอ่ยขึ้น “ไม่ต้อง ข้าไม่หิว”
ลู่เจียวหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามอง เห็นว่าบุรุษบนเตียงไม่ได้มองนาง ท่าทางของเขาเหมือนอยากจะพักผ่อนต่อ
ลู่เจียวเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็นึกว่าเขายังนอนไม่อิ่ม จึงพูดว่า “ได้ เช่นนั้นเจ้าก็นอนพักต่ออีกหน่อยเถอะ”
นางพูดจบก็ให้แฝดสี่นอนเป็นเพื่อนเขา
แฝดสี่อยากพูดอะไรต่อ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มองพวกเขา แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “นอนเถอะ ตอนนี้พ่อยังไม่หิว เดี๋ยวพ่อหิวแล้วค่อยกิน”
แฝดสี่พยักหน้า หลับตาลงสักพักก็หลับใหล ลู่เจียวจึงพูดกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ฝากดูพวกเขาก่อน ในบ้านไม่มีฟืนแล้ว ข้าจะขึ้นเขาไปตัดฟืนเสียหน่อย แล้วจะไปดูด้วยว่าบนเขามีอะไรพอจะกินหรือไม่”
อย่างไรในบ้านก็ไม่มีธุระอะไร ถือโอกาสเอาโสมและเห็ดหลินจือออกจากห้วงอากาศแล้วอ้างว่าเก็บมาจากภูเขาดีกว่า อีกทั้งฟืนในบ้านก็ใกล้หมดแล้วจริงๆ
ฟืนที่ร่างเดิมใช้ ล้วนทำมาจากโต๊ะเก้าอี้เก่าชำรุดที่ติดมาพร้อมบ้าน นางเอามาตัดเป็นท่อนๆ ทำเป็นฟืน ตอนนี้ก็ใกล้หมดแล้ว