แววตาของลู่เจียวหม่นหมองลง นางหันหลังเดินออกมาทันที ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่นางควรพูดสิ่งใด สู้นิ่งเงียบไปก่อนดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น เช้านี้ทุกคนต่างไม่มีอะไรตกถึงท้อง นางเดินไปดูในห้องครัว ทำอะไรกินหน่อยดีกว่า
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของลู่เจียว นางก็สาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ห้องครัวทันที
ในครัวกลับมีของไม่น้อย นอกจากข้าวกล้องหนึ่งร้อยจินและแป้งข้าวโพดห้าสิบจินที่ได้ตอนแยกครอบครัวกัน ยังมีข้าวสารสามจิน ไข่ไก่และน้ำตาลที่บ้านเดิมของลู่เจียวส่งมา สำหรับข้าวเหนียว ถั่วเหลืองและผักกาดขาว ล้วนมาจากคนในหมู่บ้าน
อ้อ ตรงมุมกำแพงยังมีไก่อีกหนึ่งตัว นี่เป็นไก่ที่ร่างเดิมแย่งมาจากเล้าไก่ของตระกูลเซี่ยตอนแยกเรือนในวันนั้น
ตอนนั้นสะใภ้ใหญ่นามว่าเฉินหลิ่ววิ่งมาเพื่อแย่งไก่ตัวนี้กลับไป ทว่ากลับถูกเซี่ยเหล่าเกินขัดขวางไว้
ลู่เจียวกวาดตามองข้าวของในครัวหนึ่งรอบ กำลังคิดว่าจะทำอาหารอะไรดี สุดท้ายจึงใช้ข้าวสารต้มข้าวต้มครึ่งหม้อ ใช้ไข่ไก่สามฟองผสมแป้งข้าวโพดเพื่อทำขนมไข่
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จก็เหนื่อยจนเหงื่อท่วมตัว แทบอยากทรุดตัวลงไปนั่งบนพื้นไม่ขยับไปไหน
ทว่าก็นึกถึงแฝดสี่และเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่นอนบนเตียงไม่มีอะไรตกถึงท้อง นางจึงเช็ดเหงื่อบนใบหน้าอย่างฝืนทน หันหลังเดินไปที่เรือนตะวันออก
เพียงแต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปตรงประตู ก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนส่งมาจากในเรือน
“พี่สาม ท่านหิวหรือยัง ข้าให้คนต้มข้าวต้มให้ท่านโดยเฉพาะ ท่านรีบกินเถอะ ไม่เช่นนั้นร่างกายจะยิ่งแย่ลงอีก”
เมื่อลู่เจียวได้ยินเสียงอ่อนหวานเช่นนี้ ก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูมองคนในรือน
เวลานี้ ในเรือนนอกจากจะมีเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยเอ้อร์จู้ และแฝดทั้งสี่แล้ว ยังมีแม่นางร่างบางคนหนึ่งสวมชุดกระโปรงผูกเอวสีขาว ขับเน้นเอวคอดเพรียวบางดั่งใบหลิวพลิ้วไหว เพียงมองจากด้านหลังก็ทำให้อดเคลิบเคลิ้มไม่ได้
ลู่เจียวมองแผ่นหลังแม่นางผู้นี้ ก็รีบย้อนความทรงจำในร่างเดิม แม่นางผู้นี้ก็คือเสิ่นซิ่ว หนึ่งในชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย
ทุกคนต่างลือกันว่าเสิ่นซิ่วและเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคู่ครองที่หมายปองกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้งสองต่างมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน หากลู่เจียวไม่เข้ามาแย่งชิงไปก่อน เสิ่นซิ่วเป็นคนที่น่าจะออกเรือนกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมากที่สุด
ร่างเดิมเคยมีปากเสียงกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างรุนแรงเพราะเรื่องนี้ จนเมื่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นแสดงท่าทีว่าเขาไม่ได้คิดจะสู่ขอเสิ่นซิ่ว นางถึงยอมหยุดโวยวาย
เสิ่นซิ่วเห็นว่าตนคงไม่มีทางได้ออกเรือนเป็นภรรยาของเซี่ยอวิ๋นจิ่น จึงถูกทางบ้านสั่งให้ออกเรือนกับบุรุษอื่น แต่นางเพิ่งจะออกเรือนไปได้สี่ปี สามีก็ตายจากไปแล้ว นางจึงกลายเป็นแม่หม้ายที่เลี้ยงดูบุตรีหนึ่งคนตั้งแต่ยังสาว
คนของสกุลซูเห็นว่าพวกนางสองแม่ลูกรังแกง่าย จึงขับไล่พวกนางออกจากสกุลซู ฉะนั้นเสิ่นซิ่วเลยกลับไปอาศัยที่เรือนของสกุลเดิม ซึ่งเรือนของนางอยู่ไม่ไกลจากที่นี่
ลู่เจียวกำลังครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ ในเรือนก็มีเสียงเรียบเฉยอ่อนแรงของเซี่ยอวิ๋นจิ่นดังขึ้น “ข้าไม่ต้องการของพวกนี้ เจ้าเอากลับไปเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งจะพูดจบ เสิ่นซิ่วก็เอ่ยขึ้นอย่างใจร้อนทันที “พี่สาม ท่านจะไม่กินอะไรเลยไม่ได้นะ”
เซี่ยเอ้อร์จู้ที่กำลังทายาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นจึงขมวดคิ้วมองเสิ่นซิ่วแวบหนึ่งแล้วพูดว่า
“ประเดี๋ยวข้ากลับไปเอาอาหารมาให้น้องสามกิน เจ้าเอาของพวกนี้กลับไปก่อนเถอะ”
เสิ่นซิ่วเป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง นางมาคอยประจบประแจงบุรุษอื่นถึงในเรือนเช่นนี้ แล้วคนนอกจะมองอย่างไร น้องสามเป็นบุรุษเลื่องชื่อ คงไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมาทำลายชื่อเสียงที่สั่งสมมาได้กระมัง
เสิ่นซิ่วกำลังจะพูดอะไรอีก ลู่เจียวก็เดินเข้ามา แล้วจ้องมองเสิ่นซิ่วด้วยความเดือดดาล “เจ้ามาทำอะไรในเรือนข้า”
ทีแรกเจียวลู่ไม่อยากเข้าไป ทว่าเที่ยงวันนี้ทุกคนไม่ได้กินอะไรเลย ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่น ลำพังตัวนางเองก็หิวจนหมดเรี่ยวแรงแล้ว คิดว่าเจ้าแฝดสี่คงหิวจนท้องแบนราบหมดแล้ว
เพื่อที่ลู่เจียวจะไม่ทำลายความโด่งดังด้านนิสัยเสียของร่างเดิม ทันทีที่เดินเข้าไปก็ใส่อารมณ์กับเสิ่นซิ่วทันที เช่นนี้ถึงจะสมกับนิสัยของร่างเดิมหน่อย
เสิ่นซิ่วได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็เอ่ยด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร “ข้ามาส่งของกินให้พี่สาม เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ จะไม่ให้กินอะไรเลยได้อย่างไร”
ลู่เจียวได้ยินก็ถลึงตามองเสิ่นซิ่วอย่างดุร้าย แล้วตวาดอย่างโมโห
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า เจ้าที่เป็นแม่หม้าย มาทำอะไรในเรือนของบุรุษอื่น เจ้าคงไม่ใช่ว่าจะมายั่วยวนสามีของข้าหรอกนะ”
เสิ่นซิ่วได้ยินคำพูดของลู่เจียว พลันนัยน์ตาก็แดงระเรื่อ นางหันหน้าไปทางเซี่ยอวิ๋นจิ่น พร้อมร้องไห้ออกมาทันที
“พี่สาม เหตุใดนางถึงต่อว่าข้าเช่นนี้ ข้าแค่ทนดูพี่สามหิวไม่ได้ก็เท่านั้น”
นางพูดด้วยเสียงสะอื้น ท่าทางน่าเห็นอกเห็นใจนัก
ท่าทางเช่นนี้ หากเป็นบุรุษคนอื่นคงจะใจอ่อนไปแล้ว น่าเสียดายที่บุรุษตรงหน้ากลับเป็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เลือดเย็นไร้หัวใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้แสดงสีหน้าใด เพียงเอ่ยเสียงเรียบ “เอาของกินของเจ้ากลับไปเถอะ”
เสิ่นซิ่วยังอยากพูดอะไรต่อ ลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังก็พูดเสียงเหี้ยมเกรียม “อยากให้ข้าลากตัวเจ้าออกไปหรือ ถ้าไม่กลัวอับอายขายขี้หน้า ข้าก็ยินดีลากเจ้าออกไปอยู่นะ”
ลู่เจียวพูดจบก็ถกแขนเสื้อขึ้น เสิ่นซิ่วสีหน้าซีดเซียว แม้ว่านางจะเป็นแม่หม้าย ทว่าก็ยังรักศักดิ์ศรี ฉะนั้นไม่รอให้ลู่เจียวลงมือ ก็หิ้วตะกร้าออกไปด้านนอกทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจเสิ่นซิ่วที่เดินจากไป กลับมองลู่เจียวด้วยความเกลียดชัง “ออกไป”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของเขาก็รู้สึกขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ทว่านึกถึงกรรมที่ร่างเดิมก่อไว้ จึงพยายามอดกลั้น แล้วมองซูอวิ๋นจิ่นพลางเอ่ย
“ข้าต้มข้าวต้มและทำขนมไข่ไว้ จะให้เอาเข้ามาให้พวกเจ้ากินหรือไม่”
ลู่เจียวเพิ่งจะพูดจบ ทุกคนในเรือนต่างมองมาที่นาง หนึ่งในนั้นคือซูอวิ๋นจิ่นที่ปั้นหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง
“เจ้าจะมาไม้ไหนอีก”
พูดจบ แววตาทอประกายอาฆาต โศกนาฏกรรมที่สุดในชีวิตนี้ของเขาคือได้มาพบกับแม่นางผู้นี้ นางราวกับภูตผีวิญญาณที่คอยวนเวียนอยู่รอบกายเขา
ตั้งแต่สู่ขอนางมา นางก็วนเวียนอยู่รอบกาย แถมยังคอยสร้างความวุ่นวายให้เขาไม่หยุด เดิมทีเขาคิดว่านางมีบุตรสี่คน ก็คงจะเอาใส่ใจบุตร วันข้างหน้าจะได้ใช้ชีวิตคู่กันอย่างสงบสุข
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากแม่นางคนนี้คลอดบุตร ไม่เพียงแต่เฆี่ยนตีและว่ากล่าวตำหนิบุตรคนอื่น แม้กระทั่งบุตรตัวเองยังไม่เว้น
สามวันก่อน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็เพราะกลัวว่านางจะถือโอกาสตอนเขาไม่อยู่กระทำไม่ดีกับบุตรทั้งสี่ ตกเย็นจึงรีบกลับมา สุดท้ายกลับถูกรถม้าชนอย่างสาหัส
หากไม่ใช่เพราะเป็นห่วงเด็กๆ เขาจะบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลุกขึ้นยืนตลอดชีวิตได้อย่างไร
พอคิดเช่นนี้ แววตาดำสนิทของเขาก็ทอประกายอาฆาตขึ้นมา
ลู่เจียวที่เกิดเป็นหมอทหาร สัมผัสถึงความอาฆาตที่แผ่ซ่านออกจากร่างของเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ในเสี้ยววินาที นางกุมมือตัวเองไว้หลวมๆ ถ้าชายคนนี้ไม่พิการ คงไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน
ลู่เจียวครุ่นคิดพลางคงนิสัยย่ำแย่ของร่างเดิมไว้ ตวาดใส่เขาอย่างโมโห “เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าอุตส่าห์ทำอาหารให้เจ้ากิน เจ้ากลับหวาดระแวงในตัวข้า?”
ลู่เจียวที่มีร่างอ้วนท้วนเตรียมทิ้งตัวนอนลงกับพื้น ยังคงใช้วิธีเดิมของร่างเดิม สบถหยาบคายและกลิ้งบนพื้นอย่างเอาแต่ใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงเห็นนางกำลังจะนอนลงบนพื้น ก็รู้สึกปวดขมับขึ้นมาทันที เขาปั้นหน้าบูดบึ้งน่ากลัว แล้วกัดฟันกรอด “ไปยกอาหารมา”
ลู่เจียวหยุดการกระทำของตน หันหลังกลอกตามองบน เจ้าก็กลัวเป็นด้วยหรือ
นางสาวเท้าก้าวใหญ่ไปในห้องครัว ตักข้าวต้มวางบนโต๊ะเล็กเก่าชำรุดห้าชาม เอาขนมไข่ในกระทะใส่จาน จากนั้นค่อยยกโต๊ะเล็กนี้ไปเรือนตะวันออก
ลู่เจียวผู้ชาญฉลาด ไม่ได้คิดจะอยู่ดูพวกเขากินอาหารอยู่แล้ว นางวางโต๊ะเล็กลงแล้วเชิดหน้าจากไปอย่างคนเจ้าอารมณ์