เซี่ยเอ้อร์จู้ที่ยืนตรงหน้าประตูเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดด้วยความฉงนสงสัย น้องสะใภ้สามราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย ถ้าที่ผ่านมานางเป็นเช่นนี้จะดีเพียงใด ทว่านางในเวลานี้ก็ทำให้คนหวาดผวาเหมือนกัน นางจะมาไม้ไหนอีก
เซี่ยเอ้อร์จู้ไม่กล้าพูดสิ่งใด หันหลังเดินออกไปทันที
ลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังล้างจานไปครุ่นคิดไป ตอนนี้นางควรทำอย่างไรดี ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้อีกแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นและแฝดทั้งสี่เลย ลำพังตัวนางเองก็ไม่คิดจะแย่งสามีหรือลูกใครมาครอบครอง
ฉะนั้นนางจึงไม่ควรอยู่ในเรือนนี้ต่อ เพียงแต่ว่านางควรทำอย่างไรดี
ลู่เจียวครุ่นคิด จึงนึกขึ้นได้ว่าในยุคต้าโจว ผู้หญิงขอทะเบียนบ้านได้ นางหย่าร้างกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วค่อยไปขอทะเบียนบ้านจากที่ว่าการท้องถิ่น จากนั้นค่อยกลับไปใช้ชีวิตในเรือนของร่างเดิมได้
เพียงแต่เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรหย่าร้างกัน เซี่ยอวิ๋นจิ่นพิการ แฝดสี่คนนั้นก็ผอมเหมือนลูกเจี๊ยบ นางจะหย่าร้างในเวลานี้ได้อย่างไร
ว่าที่ใต้เท้าโส่วฝู่ต้องไม่ปล่อยนางลอยนวลแน่นอน ต้องรู้ว่าเขาคือตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุดในนิยายเล่มนี้ ฉะนั้นนี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมจริงๆ
ทางที่ดีที่สุดคือต้องรักษาขาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นให้หายก่อน เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ นางก็ตาลุกวาว
ใช่แล้ว ถ้านางรักษาขาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นจนหาย ใช้ช่วงเวลานี้เลี้ยงดูแฝดสี่ให้อ้วนจ้ำม่ำ คิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นต้องเกลียดนางน้อยลง ถ้านางจากไปในเวลานั้น คนคนนี้ต้องไม่ถึงขั้นเอาชีวิตนางอยู่แล้ว
วันข้างหน้าพวกเขาแยกทางกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องไปมาหาสู่กันตลอดชีวิตจะดีที่สุด สำหรับโชคชะตาของแฝดสี่และเขา นางไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่แล้ว หากนางอยากเปลี่ยน ก็คงไม่มีใครสนใจนาง ท้ายที่สุดแม้แต่ชีวิตตัวเองยังรักษาไว้ไม่ได้
ลู่เจียวนึกถึงขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ได้ยินหมอพูดว่าโดนรถม้าทับจนกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ อยากรักษาให้หาย ก็ต้องพึ่งพาหมอทหารระดับมือพระกาฬเพื่อผ่าตัดให้เขา
เป็นเช่นนั้น หมอทหารต้าโจวที่ผ่าตัดเป็นมีอยู่ แต่มีน้อยมาก ฉะนั้นหอยาเป่าเหอเลยพูดว่ายาก
ลู่เจียวไม่ได้กังวลเรื่องผ่าตัด ลำพังนางเองก็ผ่าตัดได้อยู่แล้ว หากมีนางอยู่ การผ่าตัดครั้งนี้ต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน
ลู่เจียวเพิ่งจะนึกถึงเรื่องนี้ ก็รู้สึกแสบร้อนตรงกลางฝ่ามือ
นางมองลงมาอย่างไม่รู้ตัว ปรากฏว่าตรงกลางฝ่ามือนั้นมีไฟรูปเมฆกำลังกะพริบ นี่คือห้วงอากาศของนาง
หัวใจของลู่เจียวอดสั่นไหวไม่ได้ ห้วงอากาศของนางก็เดินทางมากับนางด้วยหรือ
ลู่เจียวรีบเปิดห้วงอากาศเพื่อตรวจสอบทันที และพบว่าห้วงอากาศนั้นตามนางมาจริงๆ และทุกสิ่งในห้วงอากาศนี้ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ห้วงอากาศของนางไม่ใหญ่มาก แต่ทรงพลังมาก มีน้ำพุจิตวิญญาณ ที่ดินหนึ่งหมู่ ริมน้ำพุจิตวิญญาณคือบ้านไม้ไผ่สามหลัง
ในบ้านไผ่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ของนางอยู่ไม่น้อย ยังมียาสามัญบางส่วน สิ่งที่เยอะที่สุดในนั้นคือชั้นวางหนังสือ บนชั้นวางมีหนังสือหลากหลายหมวดหมู่
ที่ดินนอกบ้านไผ่นั้นเป็นยาสมุนไพรที่นางปลูกเอง ในนั้นมีทั้งโสมและหวงฉี ริมสวนสมุนไพรนานาชนิดเป็นต้นผลไม้ เวลานี้ผลไม้กำลังออกผลพอดี
อีกมุมของสวนเป็นเครื่องเทศต่างๆ ที่ใช้ประจำ นางปลูกพืชเหล่านี้ เพื่อที่จะได้สะดวกในการทำอาหาร
ลู่เจียวเห็นทุกอย่างในนั้นก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที มีสิ่งเหล่านี้แล้วไยต้องคอยกังวลว่าจะรักษาขาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่หาย เรื่องเลี้ยงดูแฝดสี่ให้อ้วนท้วน และไยต้องคอยเป็นห่วงชีวิตในวันข้างหน้าของนางอีก
สวรรค์เมตตานางจริงๆ ลู่เจียวแย้มยิ้มขึ้น ความเศร้าหมองในตอนแรกก็มลายหายไปทันที
นางล้างจานเสร็จก็จับไก่ตรงมุมกำแพงไปฆ่าที่หลังเรือน
จะเลี้ยงดูแฝดสี่คนให้อ้วนจ้ำม่ำก็ต้องเริ่มจากการให้ดื่มน้ำแกงไก่ก่อน
ตอนเช้าได้กินข้าวต้มและขนมไข่ก็ทำให้เด็กๆ ตกใจมากพอแล้ว ตอนกลางวันกลับได้กินข้าวกล้องและน้ำแกงไก่ก็ยิ่งตกใจขึ้นไปอีก
แม้ว่าข้าวกล้องจะค่อนข้างแข็ง แต่พอลู่เจียผสมข้าวขาวไปครึ่งถ้วย รสสัมผัสก็ยังถือว่าไม่เลว ทั้งยังมีน้ำแกงไก่ที่สดใหม่จากในหม้อ ทำให้อาหารมื้อนี้อร่อยกว่าเดิม
แฝดสี่ได้แต่ตะลึงงัน ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ข้าวกล้องและน้ำแกงไก่? นี่ฉลองตรุษจีนอยู่หรือ ไม่ใช่สิ ตรุษจีนยังไม่ได้กินดีขนาดนี้เลย แต่นั่นมีข้าวกล้องและน้ำแกงไก่จริงๆ ในน้ำแกงก็เต็มไปด้วยเนื้อ
เด็กแฝดต่างเงยหน้ามองลู่เจียวปราดหนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงอย่างพร้อมเพรียง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ตาลง จับจ้องลู่เจียวด้วยสายตาเย็นชา หญิงผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เชื่อว่าหญิงผู้นี้เปลี่ยนมาเป็นคนดีเช่นนี้ นิสัยของคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร ฉะนั้นนางต้องเล่นลูกไม้อะไรอยู่แน่ๆ
หรือว่านางอยากใช้ของอร่อยยั่วยวนพวกเขาก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสวางยาพิษฆ่าพวกเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกเช่นนี้ ภายในใจก็นึกเกลียดชังยิ่งนัก เอาแต่จับจ้องลู่เจียวด้วยแววตาอาฆาตแค้น “เจ้าอยากทำอะไรกันแน่ จะวางยาฆ่าพวกเราแล้วหนีกระนั้นหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งจะกล่าวจบ สีหน้าแฝดสี่คนที่อยู่ด้านข้างก็เปลี่ยนไป รีบเข้าไปหลบข้างเตียงทันที
ลู่เจียวหมดเรี่ยวแรง สถานการณ์ตรงหน้ายากจะแก้ไขจริงๆ ทว่าต่อให้ยากเพียงใด นางก็ต้องพยายาม
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ทำอาหารให้เจ้ากินแล้วยังหาว่าข้าไม่ดีอีก รู้แบบนี้ ไม่ให้พวกเจ้ากินดีกว่า เอาแต่ว่าข้าวางยา วางยา วางยา ข้าอยากวางยาฆ่าพวกเจ้าให้ตายจริงๆ แต่จะไปหายาพิษจากที่ไหน”
ลู่เจียวพูดอย่างเดือดดาล พร้อมโน้มลงไปยกข้าวหนึ่งถ้วยมาตักเข้าปาก จากนั้นดื่มน้ำแกงคำใหญ่ๆ
“ข้าตายไหม”
ลู่เจียวกล่าวจบก็วิ่งออกไปด้านนอกด้วยความโมโห ตอนที่เดินถึงประตู เผอิญเจอกับเซี่ยเอ้อร์จู้ที่กำลังเดินเข้ามา ในมือของเขามีเผือกนึ่งและน้ำแกงปลา
ลู่เจียวเห็นเขามองตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก็สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไป เซี่ยเอ้อร์จู้ถอยไปด้านข้างทันที เขาไม่เคยกล้ามีปัญหากับน้องสะใภ้สามเลย เพราะนางบ้าบิ่นไร้เหตุผลเกินไป
รอจนลู่เจียวจากไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ในเรือนจึงเอ่ยกับเด็กชายสี่คนที่ข้างเตียง “ไปกินเถอะ”
หากลู่เจียวกล้าวางยาพิษฆ่าเด็กสี่คนนี้ เขาจะไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ แน่นอน เขาจะถลกหนังนาง ทรมานนางจนนางรู้สึกเสียใจที่เกิดมาในโลกใบนี้
เด็กน้อยสี่คนฟังคำสั่งของบิดา แล้วพูดอย่างรู้จักกาลเทศะ “ท่านพ่อ ท่านก็กินสิ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า สื่อให้เซี่ยเอ้อร์จู้เข้ามาป้อนข้าวให้เขา
เซี่ยเอ้อร์จู้เห็นข้าวและน้ำแกงไก่ในเรือนก็ตกตะลึงไปชั่ววูบ “น้องสะใภ้ฆ่าไก่หรือ ทำเช่นนี้ถึงจะถูก ร่างกายของเจ้าไม่ดี ควรบำรุงให้มากๆ”
เซี่ยเอ้อร์จู้เอาเผือกและแกงปลาวางลงบนโต๊ะอาหาร ยกไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
สำหรับท่าทีของลู่เจียว เขาเองก็ข้องใจอย่างมาก เขารู้สึกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนฉลาดมาโดยตลอด จึงอดพึมพำไม่ได้
“น้องสาม น้องสะใภ้เป็นอะไรไป”
นัยน์ตาสีนิลของเซี่ยอวิ๋นจิ่นดูลุ่มลึกขึ้นในทันที พร้อมพูดเสียงเรียบ “นางคงจะวางแผนอะไรบางอย่าง”
อยากให้พวกเขากินของอร่อยจนตายใจ ถือโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ได้ป้องกันตัว วางยาฆ่าพวกเขาแล้วหนีไปใช้ชีวิตที่สุขสบาย
ตามหลักแล้ว ลู่เจียวไม่กล้าทำเช่นนี้ เพราะการฆ่าสามีและบุตร มีโทษประหารชีวิตอย่างเดียว ทว่าหญิงผู้นั้นโง่เหมือนสุกร จะนึกถึงเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร
ทว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่มีทางให้โอกาสนางอยู่แล้ว!