เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดจบก็จ้องหน้าลู่เจียว ไม่ยอมปล่อยให้นางคลาดสายตาไปแม้แต่น้อย แม่นางผู้นี้หน้าตายังคงเหมือนเดิม ทว่านิสัยของนางไม่เหมือนก่อนเลยสักนิด
หากไม่ใช่หน้าใบนี้ เขายังนึกว่าคนผู้นี้เป็นอีกคน ทว่าใบหน้านางยังคงเป็นเค้าโครงเดิมนี่ ใต้หล้านี้จะมีคนที่ใบหน้าเหมือนกันด้วยหรือ
ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นจ้องมองนางไม่หยุด เกรงว่าบุรุษผู้นี้คงเริ่มสงสัยที่นางไม่เหมือนเดิมแล้ว อย่างไรนิสัยของร่างเดิมและนางก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เพียงแต่ลู่เจียวก็ไม่อยากมากความกับเขามากนัก ฉะนั้นเลยรีบแค่นเสียงเย็นชาทันที
“เจ้ารู้เรื่องอะไรของข้าบ้าง เจ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาตีหน้าว่ารู้และเข้าใจข้าเสียทุกอย่าง ข้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก่อนแค่คลั่งไคล้เจ้าเกินไป ตอนนี้ข้าเลิกแล้ว”
นางพูดจบก็ถลึงตามองเซี่ยอวิ๋นจิ่นหนึ่งที แล้วสาวเท้าออกไปด้านนอกอย่างฉับไว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางด้วยคิ้วขมวด เขาสังเกตเห็นว่าแม้แต่ท่าเดินของนางยังเปลี่ยนไป แต่ก่อนต่อให้นางจะหยาบคายหรือโหดเหี้ยมเพียงใด กลับไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง จึงเดินหลังค่อมตลอดเวลา
นางในตอนนี้กลับดูมีความมั่นใจมาก ทั้งยังเป็นคนร่าเริง อ่อนโยน และอัธยาศัยดีมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ เหตุใดคนคนหนึ่งถึงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้
ลู่เจียวที่อยู่นอกเรือนกลับไม่สนใจว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะสงสัยหรือไม่ ตอนนี้นางแค่ต้องการเลี้ยงดูพวกเขาให้กินอิ่มนอนหลับ นางจะได้ผ่าตัดให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น พอขาของเขาดีขึ้น นางกับเขาจะได้ไม่ต้องมีข้อผูกมัดใดๆ กันอีก ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องหยุมหยิม
ลู่เจียวเตรียมจะเดินไปกลางลานบ้าน เซี่ยหู่กำลังโกนขนของหมูป่าอยู่ เพราะหมูป่าตายแล้วเลยไม่ต้องปล่อยเลือดออก แค่โกนขน ผ่าท้องก็พอแล้ว
เซี่ยเสี่ยวเป่าเดินล้อมหมูป่าอย่างตื่นเต้นดีใจพลางจ้อกับแฝดสี่ไม่หยุด เพราะก่อนหน้านี้ลู่เจียวช่วยเขาเอาก้างปลาออก เขาเลยเป็นมิตรกับแฝดสี่เป็นพิเศษ
เซี่ยเสี่ยวเป่าดูแลแฝดสี่เป็นอย่างดี คอยพูดคุยและเล่นเป็นเพื่อนพวกเขา
ลู่เจียวเห็นก็พึงพอใจมาก แฝดสี่อยู่แต่ในเรือนทั้งวันไม่ได้ออกไปไหน ปล่อยไปเช่นนั้นคงไม่ดีเท่าไร
มีเซี่ยเสี่ยวเป่าคอยพูดคุยด้วย วันข้างหน้าพวกเขาจะได้ไปเล่นด้วยกัน
ลู่เจียวครุ่นคิดพลางเรียกแฝดสี่มากินมื้อเช้า “ต้าเป่า เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่า มากินมื้อเช้าได้แล้ว”
แฝดสี่ไม่ค่อยอยากไป แต่ไม่กล้าขัดคำสั่งของลู่เจียว แฝดสี่คนเดินกลับไปกินข้าวที่ครัวด้วยความอาลัยอาวรณ์
ลู่เจียวพูดด้วยความขบขัน “เอาเถอะ รีบกินให้เสร็จจะได้ออกไปดูต่อ ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ให้พวกเจ้าดูเสียหน่อย”
แฝดสี่นัยน์ตาเป็นประกาย รีบวิ่งเข้าไปกินมื้อเช้า ตอนที่ลู่เจียวเข้าไป ทั้งสี่คนก็ดื่มโจ๊กข้าวโพดไปครึ่งถ้วยแล้ว
ทว่าไข่ที่อยู่ตรงกลางโต๊ะกลับไม่มีใครกล้าแตะ ลู่เจียวยื่นมือไปเอาไข่มาปอกเปลือกสี่ฟอง แล้วใส่เข้าไปในถ้วย
“กินโจ๊กข้าวโพดเสร็จก็กินไข่กันคนละฟอง”
แฝดสี่ชะงักงันไป แล้วเงยหน้ามองลู่เจียวด้วยความตื่นตะลึง ไข่พวกนี้ให้พวกเรากินหรือ
ถึงแม้สองวันนี้พวกเขาจะกินดีอยู่ดี ทว่าไม่มีคำสั่งของลู่เจียว พวกเขาก็ไม่กล้าปอกเปลือกไข่ด้วยตัวเอง อีกอย่างพวกเขาก็นึกว่าไข่พวกนี้ นางมารร้ายคนนี้จะเก็บไว้กินคนเดียว
นึกไม่ถึงว่านางกลับให้พวกเขากินไข่พวกนี้ แล้วยังยังปอกไข่ให้ด้วย
แฝดสี่ได้แต่มองไข่ขาวๆ ด้วยความตกตะลึง แล้วเงยหน้ามองนางอย่างระมัดระวัง ตอนนี้นางเหมือนจะไม่เลวร้ายเหมือนแต่ก่อน
ลู่เจียวไม่ได้สนใจแฝดสี่คนนี้ ยกมือขยี้ศีรษะพวกเขาพลางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“วันหลังพวกเรามีเงิน จะให้พวกเจ้ากินไข่หนึ่งฟองทุกเช้าเลย”
ต้าเป่าได้ยินคำพูดของลู่เจียว ก็อดเงยหน้าพูดเสียงดังไม่ได้ “พวกเราไม่กินไข่ เอาไข่ไปขายแล้วซื้อยามารักษาท่านพ่อเถอะ”
หากเป็นเช่นนั้น บิดาจะได้ดีขึ้น
ลู่เจียวเหมือนถูกบีบคั้นหัวใจ ลูกเจี๊ยบทั้งสี่แม้จะยังเด็ก กลับรู้จักเป็นห่วงบิดาแล้ว
อันที่จริงพวกเขาก็เป็นคนดีมีหัวใจ ลู่เจียวไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดคนที่มีหัวใจเช่นนี้ถึงได้กลายเป็นตัวร้ายที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีในอนาคต
ลู่เจียวครุ่นคิดพลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าล่าสัตว์ได้ ต่อไปวันข้างหน้าบ้านเราย่อมไม่ขาดแคลนเงินอีก บิดาของพวกเจ้าก็ย่อมต้องรักษาให้หาย ดังนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก อะไรที่ควรกินก็กินเถอะ”
แฝดสี่เงยหน้ามองนางอย่างฉับไว พูดว่า “ถ้าท่านรักษาอาการของท่านพ่อให้หายได้ วันข้างหน้าพวกเราจะยอมให้ท่านตี”
“ท่านตีพวกเรา พวกเราก็จะไม่ด่าท่านอีก”
“ใช่ วันข้างหน้าพวกเราจะเชื่อฟังท่าน”
“ตอนโตมา พวกเราจะเลี้ยงดูท่านด้วย”
ลู่เจียวนึกขัน นี่พวกเขากำลังวาดฝันให้นางอยู่หรือ เจ้าเด็กสี่คนนี้ชาญฉลาดยิ่งนัก
“เอาเถอะ พวกเจ้าไม่ใช่ว่าจะไปดูคนเขาชำแหละหมูหรือ กินเสร็จก็รีบไปดูเถอะ”
แฝดสี่ได้ยินคำพูดนี้ ก็ลืมเรื่องที่พูดกับลู่เจียว รีบกินไข่ทันที ขณะที่เคี้ยวก็ครุ่นคิดว่า นางมารร้ายผู้นี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ถ้านางไม่โหดร้ายทารุณต่อพวกเราเช่นนี้ พวกเราควรเรียกนางว่าท่านแม่หรือเปล่า
ทว่ายังไม่ทันได้คิดมาก เสียงโห่ร้องด้านนอกก็ทำลายความคิดของพวกเขาทันที “จะผ่าท้องแล้ว จะผ่าแล้ว”
แฝดสี่รีบกินให้เสร็จแล้ววิ่งออกไปทันที
ลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังนั่งลงกินข้าวอย่างรวดเร็ว หลังจากกินเสร็จก็ไปล้างจาน แล้วตักโจ๊กข้าวโพดไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เรือนตะวันออก
“เช้านี้กินโจ๊กข้าวโพดกับไข่ วันนี้ข้าจะเอาเห็ดหลินจือไปขายในเมือง แล้วซื้อแป้งข้าวเจ้ากลับมา สุขภาพของเจ้ากับเด็กๆ ไม่ค่อยดี ไม่ควรกินแต่โจ๊กข้าวโพดบ่อยๆ ไม่เช่นนั้นคงขาดสารอาหารแย่”
ลู่เจียวพูดจบก็เริ่มปอกไข่ เซี่ยอวิ๋นจิ่นนอนมองนางบนเตียง ท่าทางและวาจาของนางดูมีความมั่นใจในตัวเอง นางยังคงเป็นนางคนเก่า ทว่าบุคลิกเหมือนไม่ใช่คนเดิม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ตามองโดยไม่รู้ตัว นางคือใครกันแน่ ดูจากภายนอกก็ยังคงเป็นนาง ทว่านิสัยกลับเปลี่ยนไปคนละคน
ลู่เจียวไม่สนใจเขา คนคนนี้จะคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ออกว่านางทะลุมิติมาจากอีกภพ
ถ้าหากเขาจะสงสัยว่านางทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงก็ช่าง ปล่อยให้เขาสงสัยไปเถอะ
ลู่เจียวป้อนไข่และโจ๊กข้าวโพดให้เขา แล้วถามด้วยความเป็นห่วง “หากต้องการอะไรก็เรียกข้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตอบกลับเบาๆ “อืม”
ลู่เจียวยกถ้วยกำลังจะออกไป นึกไม่ถึงว่านางเพิ่งลุกขึ้น นอกเรือนก็มีเสียงแหลมดังขึ้น “พี่สะใภ้สาม อยู่หรือไม่”
ลู่เจียวได้ยินก็ฟังออกทันที นี่คือน้องสาวของเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยหลาน สตรีผู้นี้เย็นชาเหมือนมารดาของนาง ก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นดีกับนางมาก ทว่าตั้งแต่ในเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นอัมพาต นางก็ไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลย
ตอนนี้นางโผล่หน้ามาเช่นนี้ เกรงว่าคงมีจุดประสงค์อื่น
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นดีกับน้องสาวคนนี้มากกว่าที่ดีกับร่างเดิมเยอะ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าหม่นหมอง ทั้งร่างแผ่รังสีอำมหิต
ลู่เจียวตะโกนไปด้านนอก “เข้ามาเถอะ”
เซี่ยหลานเม้มปาก เข้ามาเหมือนไม่ค่อยเต็มใจ พี่สามพิการ เรือนต้องสกปรกมากแน่นอน ต้องมีกลิ่นเหม็นแน่ นางจะเข้าไปดีหรือไม่
ทว่าไม่เข้าไปแล้วจะบอกพี่สะใภ้สามอย่างไรว่าให้เหลือขาหลังของหมูตัวนั้นไว้ พอนึกถึงหมูป่า นางก็น้ำลายไหล ไม่ได้กินหมูมานานมากแล้ว
เพราะความคิดนี้ เซี่ยหลานจึงไม่สนว่าในเรือนจะสกปรก หรือมีกลิ่นหรือไม่
นางสาวเท้าเดินเข้าไป ทันทีที่เข้าไปก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางด้วยความเย็นชา พี่สามในฉบับนี้ ทำให้นางรู้สึกแปลกหน้า ทว่าพลันคิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นอัมพาต ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่เขาจะมีสีหน้าเช่นนี้