ลู่เจียวรบกวนเซี่ยอวิ๋นจิ่นให้ช่วยดูแลแฝดสี่
นางพูดจบก็หันหลังเดินจากไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังหรี่ตามองนาง แม่นางผู้นี้ยังคงมีร่างอ้วนท้วน ทว่าท่าทางของนางกลับดูมั่นใจในตัวเองมากกว่าแต่ก่อน ไม่เหมือนคนเดิมแม้แต่น้อย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านางเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เดิมทีเขาคิดว่านี่คงเป็นเพราะแม่ยายสอน ทว่าถ้าแม่ยายสอนคนได้ขนาดนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่สอนให้ดีตั้งแต่แรก เพิ่งมาสอนเอาป่านนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นฉงนสงสัยมาก
ลู่เจียวไม่สนใจเซี่ยอวิ๋นจิ่น หลังจากออกไปค้นบ้านอยู่พักใหญ่ ก็หาขวานตัดฟืนไม่เจอ เจอเพียงตะกร้าสะพายหลังที่เก่าชำรุด
ทว่าไม่มีขวานตัดฟืน แล้วนางจะตัดฟืนได้อย่างไร ลู่เจียวแบกตะกร้าสานจะออกไปยืมขวาน
แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของนางไม่ค่อยดีนัก คนในหมู่บ้านคงไม่ให้นางยืมแน่นอน ลู่เจียวจึงยืนเซ่ออยู่ตรงหน้ารั้วด้วยความลำบากใจ
แม่เฒ่าร่างเล็กคนหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านของนาง เห็นนางยืนอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสีหน้าลำบากใจ จึงเดินมาถามว่า
“ลู่เจียว เป็นอะไรไป”
ลู่เจียวเอียงศีรษะครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าแม่เฒ่าผู้นี้คือใคร นางคือซย่าซื่อ พี่สะใภ้รองของเซี่ยเหล่าเกิน คนในหมู่บ้านเรียกนางว่าซ้อรอง
นายท่านผู้เฒ่ารองเสียชีวิตไปนานแล้ว ซย่าซื่อเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เลี้ยงดูบุตรชายสองคนและบุตรีสองคนจนโต เป็นสตรีจิตใจเมตตา ก่อนหน้านี้ตอนพวกเขาโดนไล่มาอยู่ที่นี่ นางยังให้ไข่ไก่พวกเขาอยู่สี่ห้าฟอง
ลู่เจียวเห็นฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มด้วยความดีอกดีใจ “ป้ารอง ที่บ้านมีขวานตัดฟืนหรือไม่ บ้านข้าไม่มีฟืนแล้ว ข้าจะไปตัดฟืนบนเขาเสียหน่อย”
ซย่าซื่อได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็เอ็นดูขึ้นมา “เจ้าเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง จะขึ้นเขาไปตัดฟืนได้อย่างไร ให้หูจื่อของพวกเราไปช่วยเจ้าเถอะ”
หูจื่อคือหลานชายของนาง ตอนนี้แต่งงานไปแล้ว แต่แต่งงานมาสองปี ก็ยังไม่มีบุตร
ลู่เจียวไม่มีทางให้หูจื่อตัดฟืนให้นางแน่นอน นี่ไม่ใช่ธุระวันสองวันเท่านั้น
“ไม่ต้องหรอกป้ารอง ข้าแค่เดินรอบๆ ตีนเขา ตัดฟืนที่ใช้ได้ ไม่ได้ขึ้นไปเขาสูงขนาดนั้น”
ซย่าซื่อได้ยินก็ไม่ดึงดันที่จะให้หลานตัวเองไปช่วย พาลู่เจียวไปเอาขวานตัดฟืน
บุตรของซย่าซื่อดูเหมือนจะแยกเรือนกันแล้ว หญิงชราอาศัยอยู่กับบุตรคนโต สะใภ้คนโตแซ่จ้าวเห็นลู่เจียวก็ปั้นหน้าไม่พอใจ ไม่เหลียวแลนาง ไม่ยอมพูดคุยกันนางแม้แต่น้อย ลู่เจียวเอาขวานเสร็จก็เดินออกมาทันที
ซย่าซื่อกำชับลู่เจียวให้ระวังตัว สะใภ้จ้าวเห็นดังนั้นเลยอดเสียดสีไม่ได้ “ท่านแม่ อยู่ดีๆ ไปให้นางยืมขวานทำไม นางจะตัดฟืนเป็นได้อย่างไร ตลกสิ้นดี”
ซย่าซื่อหันไปมองสะใภ้คนโต “เอาเถอะน่ะ แม่นางอ่อนปวกเปียกคนหนึ่งดูแลสามีที่บาดเจ็บ แล้วยังต้องดูแลแฝดสี่คนก็ไม่ง่ายเลย พวกเจ้าช่วยได้ก็ช่วยเถอะ อย่าเย็นชาไร้น้ำใจเหมือนลุงสี่ป้าสี่ของพวกเจ้าเลย”
ลู่เจียวไม่สนคนที่อยู่ด้านหลัง ยกขวานเดินออกไปด้านนอก หมู่บ้านตระกูลเซี่ยอยู่ใกล้ภูเขาลูกใหญ่ ลู่เจียวอาศัยอยู่ทางตะวันออกสุดของหมู่บ้านที่ใกล้กับภูเขาแห่งนี้
ทว่านางอ่อนแอเหลือเกิน แค่เดินขึ้นเขาไปได้ไม่นาน เหงื่อเม็ดโตก็ผุดออกมาโทรมกาย ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชุ่ม โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อนจึงแห้งเร็ว
หลังจากลู่เจียวขึ้นเขาก็สำรวจรอบทิศ ป่าผืนนี้มีทรัพยากรอยู่ไม่น้อยเลย พืชที่มากที่สุดคือยาสมุนไพร รองลงมาคือผักและผลไม้ป่า และเห็ดป่าอีกหลายชนิด
ตอนแรกนางคิดว่าพืชในป่าผืนนี้คงไม่มาก เพราะรอบภูเขาแห่งนี้มีหมู่บ้านอยู่ไม่น้อย ทว่าพอได้ขึ้นมา กลับเห็นอะไรมากมาย
ตอนแรกลู่เจียวไม่รู้เหตุผล ทว่าครุ่นคิดดูแล้วก็เข้าใจขึ้นมา ชาวบ้านในหมู่บ้านแทบจะไม่รู้อักษร และไม่ค่อยมีประสบการณ์ พืชในป่ามีทั้งที่กินได้และกินไม่ได้ ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าแตะต้อง กลัวว่าจะกินพืชที่มีพิษ
ชาวบ้านทั่วไปที่ขึ้นเขามาเก็บผักป่าและเห็ดป่า จะเก็บชนิดที่รู้จัก ส่วนที่ไม่รู้จักก็ไม่กล้าแตะต้อง
ลู่เจียวครุ่นคิดก็หัวเราะ นางวางกับดักไว้ในป่า ถือโอกาสจับหนูไผ่เข้าไปในบ่อน้ำพุจิตวิญญาณในห้วงอากาศของนาง
หลังจากนั้นนางก็เอาขวานมาตัดฟืน
ลู่เจียวมีแรงเยอะ สำหรับนาง ตัดฟืนไม่ได้เป็นงานหนักอะไร ไม่นานก็ได้ฟืนเป็นกองแล้ว
ทว่านางตัดไปๆ ก็นึกถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่เป็นอัมพาตบนเตียง เพราะเลือดคั่งในสมองและม้าม ทำให้เขาขยับร่างกายมากเกินไปไม่ได้ ฉะนั้นจึงลงจากเตียงไม่ได้ ถ้าจะปัสสาวะก็ใช้โถ แต่ถ้าอยากอุจจาระขึ้นมา จะทำอย่างไรดี
ลู่เจียวครุ่นคิดอย่างจริงจัง จึงคิดจะใช้ไผ่ทำเป็นกระโถนอุจจาระ เลยตัดไผ่ไปด้วย จากนั้นค่อยไปหาอะไรมาต่อไม้ไผ่เหล่านี้
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จ เวลาก็ผ่านไปมากแล้ว ลู่เจียวรีบไปดูกับดักที่นางวางไว้ ได้ไก่ป่าสองตัวและกระต่ายหนึ่งตัว
ลู่เจียวยิ้มอย่างมีความสุข มีแต่เนื้ออร่อยๆ
นางจับไก่ป่าและกระต่ายป่า แบกฟืนและไม้ไผ่ลงเขา
เพราะฟ้ามืดแล้ว ตลอดทั้งทางจึงไม่เจอผู้คน ตอนที่เข้าไปในบ้านก็เห็นศีรษะของแฝดสี่โผล่ออกจากตรงประตูหน้าบ้าน เด็กชายสี่คนเห็นนางก็รีบหลบไปทันที
ลู่เจียวส่ายหัวด้วยความขบขัน วางฟืนที่สูงกว่าตัวคนตรงประตูโรงครัว เพราะฟืนที่เพิ่งไปตัดมายังเปียก ต้องตากแดดสองวันถึงจะเผาได้
ฟ้ามืดมากแล้ว ลู่เจียวเตรียมทำอาหารค่ำ ก่อนจะทำอาหารก็ไปที่เรือนตะวันออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงตื่นแล้ว พอเห็นนางกลับมา แววตาก็มืดทะมึนขึ้นเล็กน้อย ลู่เจียวเลิกคิ้วถาม “กระหายน้ำไหม จะได้รินน้ำให้เจ้าดื่มก่อน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปฏิเสธด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่ต้อง ไปทำอาหารก่อนเถอะ เด็กๆ คงหิวแล้ว”
ลู่เจียวเห็นเขาไม่กระหายก็ตอบรับสั้นๆ หันหลังเดินออกมาด้านนอก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ความอำมหิตแผ่ซ่านออกจากทุกอณูบนร่างของเขา แววตาเต็มไปด้วยความอาฆาต
เขานึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตกอับและน่าเวทนาถึงขั้นต้องให้สตรีที่ตนเกลียดชังที่สุดมาดูแล ทำให้เขารังเกียจตัวเองยิ่ง
จู่ๆ ลู่เจียวก็ชะงักฝีเท้าลงตรงหน้าประตูเรือน เผอิญเห็นเขาเลียริมฝีปากพอดี ท่าทางดูกระหายน้ำมาก
ลู่เจียวรู้สึกจนคำพูด ผู้ชายอะไรดื้อด้านเหลือเกิน
ใต้เท้าโส่วฝู่ในอนาคต ที่แท้ก็เป็นบุรุษดื้อด้านเช่นนี้นี่เอง
ลู่เจียวไม่พูดไม่จา สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปรินน้ำหวานๆ เข้ามาหนึ่งแก้ว นางคิดทบทวนในใจ เขาได้รับบาดเจ็บ ควรดื่มน้ำเยอะๆ นี่นางบกพร่องต่อหน้าที่จริงๆ
ลู่เจียวครุ่นคิดพลางยกน้ำหวานเข้าไปในเรือน “ดื่มน้ำหน่อยเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินก็ปฏิเสธทันควัน “ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้อง”
ลู่เจียวไม่สนใจเขา ยกน้ำเข้าไปพร้อมพยุงเขาขึ้น ออกคำสั่งด้วยทีท่าที่ข่มขู่ “ดื่มน้ำเถอะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางด้วยแววตาโหดเหี้ยม สุดท้ายก็ก้มหน้าดื่มน้ำ หลังจากน้ำหวานเข้าไปในคอ ก็รู้สึกชุ่มฉ่ำไปทั้งตัว
ตอนลู่เจียวป้อนน้ำ ก็พูดด้วยความใจเย็น “วันนี้ข้าไปตัดฟืนบนเขา ได้กระต่ายมาหนึ่งตัวและไก่มาอีกสองตัว พรุ่งนี้จะตุ๋นไก่ให้เจ้ากิน ข้ายังได้เห็ดหลินจือมาสองดอก พรุ่งนี้จะเอาไปขายที่หอยาเป่าเหอหนึ่งดอก เงินที่ได้…”