ลู่เจียวยังไม่ทันพูดจบ เซี่ยอวิ๋นก็จิ่นสำลักน้ำทันที นางจับไก่ป่าได้สองตัวและจับกระต่ายป่าได้หนึ่งตัว แล้วยังเก็บเห็ดหลินจือได้อีกสองดอก เหตุใดเขาถึงไม่รู้ว่าภูเขาลูกนี้มีของกินมากมายเช่นนี้
ลู่เจียวนึกไม่ถึงว่าคำพูดของตนจะทำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นสำลักน้ำ นางรีบหาอะไรมาเช็ดปากเขา สุดท้ายหาไม่เจอ เลยเผลอใช้แขนเสื้อตนเองเช็ด
ลู่เจียวทำไปโดยไม่รู้ตัว เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับตื่นตะลึงในท่าทางของนาง “เจ้า…เจ้า…”
ลู่เจียวเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองเอาแขนเสื้อไปเช็ดปากของเขา เลยเบือนหน้ากลบเกลื่อนทันที
“ฮะๆ ฟ้ามืดแล้ว ข้าไปกับข้าวให้เด็กๆ ก่อน” นางพูดจบก็ยกถ้วยหันหลังเดินจากไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังกลับเอ่ยขึ้น “ลู่เจียว เจ้ากลับกล้าเอาแขนเสื้อเช็ดปากข้าเชียวหรือ”
ลู่เจียวที่เดินออกจากประตูแค่นเสียงเย็นชาหนึ่งที เหอะ อุตส่าห์เช็ดปากให้แล้วยังมารังเกียจคนอื่นอีก มีคนเช็ดให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
นางคิดว่าจะรีบไปทำอาหารให้แฝดสี่กิน คืนนี้ใช้ข้าวเหนียวทำข้าวต้มผักกาด อันที่จริงข้าวเหนียวย่อยยาก ทว่าตอนนี้ในบ้านไม่มีข้าวสารเลย ข้าวกล้องก็ไม่ได้แช่ไว้ โจ๊กข้าวโพดมีสารอาหารไม่ครบถ้วน ไม่ควรกินบ่อยเกินไป
ฉะนั้นลู่เจียวจึงทำข้าวต้มผักกาด ข้าวเหนียวที่เอามาทำ ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนให้มา
ลู่เจียวต้มข้าวต้มเสร็จแล้วตักใส่ถ้วยสี่ถ้วย นางยกถ้วยไปวางบนโต๊ะเล็กในโรงครัว จากนั้นก็ไปตามเด็กแฝดทั้งสี่ออกจากเรือนมากินอาหารด้วยกัน
“ออกมากินข้าวได้แล้ว”
แฝดสี่ไม่ขยับ ลู่เจียวแค่นเสียงในลำคอ แฝดสี่ก็นึกถึงคำพูดตอนเที่ยงของนาง จึงรีบมาทันที
ต้าเป่าเดินไปตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองนาง “เช่นนั้นท่านก็ไปป้อนอาหารให้ท่านพ่อสิ”
ลู่เจียวก้มหน้าลงมองใบหน้าจริงจังดวงเล็กๆ ที่พยายามเลียนแบบสีหน้าเย็นชาของเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่ภายในดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ
ลู่เจียวรู้สึกขบขัน เป็นเด็กเป็นเล็ก ยังคิดจะเลียนแบบผู้ใหญ่ นางยกมือลูบศีรษะของต้าเป่า
“เอาเถอะ ข้าจะไปป้อนข้าวให้บิดาของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ารีบกินกันเถอะ”
ต้าเป่านิ่งงัน นางมารร้ายคนนี้กล้าจับศีรษะของเขา
ซื่อเป่าเดินมามองมือของนางคราแล้วคราเล่า
ลู่เจียวเบิกบานใจ เด็กคนนี้ช่างน่าเกลียดน่าชังเหลือเกิน นางยกมือลูบศีรษะของซื่อเป่า “เด็กดี ไปกินข้าวได้แล้ว ข้าก็จะตักข้าวไปป้อนบิดาของพวกเจ้าแล้วเหมือนกัน”
ท้ายที่สุดแฝดสี่ก็ไปกินข้าว ลู่เจียวตักข้าวต้มผักกาดไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นนอนบนเตียง ระบบย่อยอาหารไม่ค่อยดี นางเลยตักข้าวไปไม่มาก
“วันนี้ตุ๋นน้ำแกงไก่ไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยตุ๋นให้เจ้ากินแล้วกัน”
จนนางพูดจบ บุรุษที่อยู่บนเตียงก็ไม่สนใจนางเลย พลิกตัวนอนตะแคงข้าง
“เจ้าออกไปกินข้าวเถอะ ไม่ต้องป้อนข้า”
ลู่เจียวกลอกตามองบน ภายหลังรู้สึกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเริ่มผิดปกติ จึงตั้งใจครุ่นคิดดูดีๆ สังเกตเห็นว่าหลังจากชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บก็กินข้าวน้อยมาโดยตลอด นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน เหตุใดถึงไม่ยอมกินอะไรเลย ทุกครั้งอาหารที่ยกมาก็เหลือกลับไปตลอด”
ร่างของเซี่ยอวิ๋นจิ่นแผ่กลิ่นอายอำมหิตออกมา แววตาเคล้าด้วยความเหี้ยมเกรียม พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเดือดดาล
“ไม่ต้องมายุ่ง รีบออกไปกินข้าวของเจ้าเถอะ”
ลู่เจียวไม่เรียกร้องอะไรจากเขา ผู้ป่วยมักจะทำตัวเอาแต่ใจเสมอ
“เจ้าไม่ยอมกินอะไรแบบนี้ ขืนเป็นอะไรขึ้นมา เด็กๆ จะทำอย่างไร ใครจะเป็นดูแลพวกเขา”
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นหวั่นไหว ค่อยๆ กำมือแน่น ทว่ายังคงไม่พูดไม่จา และคงสีหน้าเหี้ยมเกรียม
ลู่เจียวมองเขา ความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว หรือเป็นเพราะไม่ได้ปัสสาวะและอุจจาระ
เขาเคยเป็นซิ่วไฉที่ได้รับการยกย่อง ตอนนี้กลับมานอนพิการบนเตียง แม้แต่ทำเรื่องส่วนตัวยังต้องให้คนอื่นมาคอยปรนนิบัติ คิดว่าเขายังไม่ชิน
นัยน์ตาลู่เจียวเป็นประกาย นี่คงเป็นปมในใจของผู้ป่วยติดเตียง
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าไม่กินอะไร คงไม่ใช่เพราะว่าไม่ได้ชิ้งฉ่องและอึ๊นะ”
ร่างของเขากระตุกเพราะตกใจในคำพูดของนาง ใบหน้าหล่อเหลาดูจนหนทาง เขาหันหน้าไปจ้องลู่เจียวทันที
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไรอยู่”
ถึงแม้เขาไม่เข้าใจคำหมายโดยนัยที่ลู่เจียวต้องการสื่อ ทว่าก็พอเดาออก ฉะนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงว่าสีหน้าของเขาจะแย่แค่ไหน
ลู่เจียวกลับไม่ตกใจที่เขามองมาเช่นนี้ และพูดด้วยความจริงใจ
“เซี่ยอวิ๋นจิ่น เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะพึ่งยายื้อชีวิตไว้ได้ หรืออาจรู้สึกว่าตัวเองยังไหว แต่จริงๆ แล้วสภาพร่างกายของเจ้าแย่มาก เจ้ารู้ไหมว่าสีหน้าของเจ้าในตอนนี้แย่แค่ไหน ซีดเซียวจนไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อ อย่าว่าแต่รักษาแผลให้หายเลย เจ้าอาจจะตายเพราะพฤติกรรมเช่นนี้ของตัวเองด้วย
ข้ารู้ว่าเพราะอะไร เจ้าเคยเป็นซิ่วไฉทีสง่าผ่าเผย ตอนนี้กลับต้องเป็นอัมพาตนอนติดเตียง ธุระส่วนตัวยังต้องให้คนอื่นมาจัดการ คิดแล้วก็อัปยศอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าก็ต้องลองคิดดู ทุกคนล้วนมีจังหวะชีวิตที่ตกต่ำ นี่ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย อีกอย่างเจ้าต้องนึกถึงแฝดสี่ให้มากๆ พวกเขาคอยเป็นห่วงสุขภาพของเจ้า ไม่กล้าห่างจากเจ้าแม้ก้าวเดียว กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไร ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ไม่กลัวว่าจะเป็นปมในใจของพวกเขาหรือ”
คำพูดของลู่เจียวทำให้คนบนเตียงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าเขายังคงเงยหน้ามองลู่เจียวด้วยสีหน้าที่ดุดัน พร้อมพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย
“ลู่เจียว ข้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะคอยกังวลว่าเจ้าจะทำร้ายเด็กๆ ข้าคงไม่รีบกลับบ้านตอนกลางดึกและโดนรถม้าชนจนบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้หรอก”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดเดือดดาลของเขา ก็ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียง เพียงพยักหน้าไม่หยุด
“ใช่ ข้าผิดเอง ไหนๆ ข้าก็ผิดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงไม่ถือโอกาสนี้แก้แค้นข้า ให้ข้าคอยเป็นทาสรับใช้เจ้าฉี่เจ้าอึล่ะ นี่ไม่ใช่การแก้แค้นที่ดีที่สุดหรือ”
คำพูดนี้ของนาง ราวกับฟ้าผ่าสมองของเขา
เป็นเช่นนั้น ที่เขาต้องมาเป็นอัมพาต ผู้หญิงคนนี้ต้องรับผิดชอบมากที่สุด ฉะนั้นนางรับใช้เขาก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิด ก้มหน้ามองข้าวต้มในมือของนาง
ลู่เจียวไม่ได้มากความ กลัวว่าเขาจะหัวแข็งอีก รีบป้อนข้าวต้มให้เขากิน
หลังจากกินไปครึ่งถ้วย นางก็ไม่ได้ป้อนต่ออีก ก่อนหน้านี้เขากินน้อยมาก ถ้าป้อนให้อิ่มมากในทีเดียว กลัวว่ากระเพาะจะย่อยไม่ไหว อาจทำให้ท้องอืดได้
“ข้าจะไปต้มยา ถ้าเจ้าอยากฉี่ก็เรียกข้าเลย ข้าอยู่ในครัวใกล้ๆ”
ลู่เจียวพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังคงมองนางอย่างไม่เป็นมิตร แม่นางผู้นี้เอ่ยแต่คำว่าฉี่ ช่างไม่มีเป็นกุลสตรีเอาเสียเลย
แฝดสี่ที่อยู่ในโรงครัวกินอิ่มกันแล้ว เห็นลู่เจียวยกถ้วยเปล่าเข้ามา ทุกคนดูโล่งอกไปไม่น้อย
พวกเขาลุกขึ้นวิ่งไปด้านนอก ลู่เจียวอดกำชับขึ้นไม่ได้ “ช้าหน่อย”
นางเอาถ้วยไปล้าง จากนั้นใช้หม้อต้มยา ตอนที่นั่งรอยาได้ที่ นางก็รู้สึกเมื่อยไปทั้งตัว ทำให้ไม่อยากขยับไปไหนอีก
ร่างเดิมนี้เกียจคร้านเกินไปแล้ว ทำงานนิดทำงานหน่อยก็ปวดเมื่อยจนทนไม่ไหว ทว่าต่อให้ปวดเปื่อยเพียงใด นางก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่จะลดความอ้วน