หลัววั่งไฉเจ็บปวดจนหน้าเหยเก พยายามประคองตัวเองลุกขึ้น เขาอยากด่าลู่เจียวใจจะขาด ทว่าพอคิดถึงท่าทางโหดเหี้ยมของลู่เจียว เขาก็ตื่นหวาดกลัว ไม่กล้าด่าขึ้นมาทันที
ลู่เจียวไม่สนใจเขา เงื้อหมัดชกไปอีกหนึ่งที ครั้งนี้หลัววั่งไฉเจ็บจนร้องไห้ออกมา
“ลู่เจียว อย่าชกข้า อย่าชกข้าอีกเลย”
ลู่เจียวชกไปอีกที หลัววั่งไฉขดหัวเหมือนกุ้ง เจ็บจนหน้าเหยเกอีกครั้ง
ลู่เจียวเงื้อหมัดอีกครั้ง เขาก็หวาดผวาจนต้องใช้มือสองข้างกอดศีรษะไว้แล้วร้องไห้เสียงดัง
ลู่เจียวหยุดหมัดที่กำลังจะชกไอ้สารเลวนี่ แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “พูดมา ใครสั่งให้เจ้ามาเกี้ยวข้า ทางที่ดีก็พูดความจริง ไม่อย่างนั้นก็อย่าโทษถ้าข้าชกเจ้าอีก ใช่แล้ว ในภูเขาไม่มีผู้อื่น ถ้าข้าชกเจ้าตกลงไปในหลุม ก็คงไม่มีใครรู้หรอก”
ตอนนี้หลัววั่งไฉเพิ่งจะรู้ตัวว่าแม่นางตรงหน้าเป็นเจ้าแม่ตัวจริง จึงสารภาพความจริงออกไปทั้งหมด ไม่กล้าเก็บไว้แม้แต่คำเดียว
“เสิ่นซิ่วบอกว่าถ้าข้าเกี้ยวเจ้าได้จะให้เงินรางวัลอย่างงามกับข้า นางบอกให้เกี้ยวให้เจ้าหวั่นไหวก่อน แล้วค่อยหาโอกาสจัดฉากให้ทุกคนในหมู่บ้านเห็น ถึงเวลานั้นเจ้าย่อมไม่มีหน้าอยู่ในหมู่บ้านเซี่ยอีกต่อไป”
ลู่เจียวแสยะยิ้มเย็นชา สีหน้าขุ่นเคือง นางหันไปมองหลัววั่งไฉพร้อมพูด
“หลัววั่งไฉ เจ้าไม่อยากสู่ขอภรรยาเลยหรือ”
กระทั่งในฝัน หลัววั่งไฉยังอยากจะสู่ขอภรรยาเลย แม้เขาจะบ้ากาม ชอบเกี้ยวพาสาวๆ ในหมู่บ้านไปมั่ง ทว่ามีภรรยาคนหนึ่งนั้นดีเพียงใด ภรรยาดูแลรับใช้เขา เขาอยากทำอะไรก็ทำ นอกจากภรรยา จะมีคนอื่นปรนนิบัติเขาเช่นนี้หรือ
เพียงแต่ไม่มีใครอยากเป็นภรรยาของเขา เขามีฐานะยากจน ในบ้านนอกจากมีมารดาตาบอดแล้ว ก็ไม่มีเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แม้แต่เงินกินข้าวยังไม่มี ใครจะยอมแต่งงานกับเขาเล่า
“ไม่มีใครยอมแต่งงานกับข้านี่”
ลู่เจียวให้แนะนำเขาอย่างชื่นมื่น “ไม่มีใครยอมก็ไม่รู้จักหาวิธีหรือ ตรงหน้าของเจ้าไม่ใช่ว่ามีคนดีๆ อยู่แล้วหรือ เจ้ากับนางมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนั้น ปกติเจ้าก็ไปบ้านนางบ่อยขนาดนั้น แค่วางแผนจับนางให้อยู่หมัด เป็นเรื่องง่ายมากเลยนี่”
ทันทีที่ลู่เจียวพูด หลัววังไฉก็รู้ว่า ‘นาง’ ในที่นี้คือใคร เสิ่นซิ่วหรือ
ปกติหลัววังไฉและเสิ่นเสี่ยวซานไปมาหาสู่กันบ่อย เขาไปบ้านเสิ่นบ่อยมาก ทว่ากลับไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้
เวลานี้ลู่เจียวจุดประกายความคิด ความคิดที่จะจับเสิ่นซิ่วมาทำเมียผุดขึ้นมาในหัว แม่นางเสิ่นซิ่วต่างหากถึงจะเป็นสวรรค์ชั้นเจ็ดของเขา ดูรูปทรงองค์เอวนั้นสิ แค่คิดก็ฉุดกระชากวิญญาณเขาออกจากร่างได้แล้ว
เพียงแต่แม่หม้ายหลี่ไม่ได้เป็นคนที่ยอมโดนรังแกง่ายๆ เขาไม่มีเงิน แล้วจะเอาเงินมาจากไหน
หลัววั่งไฉยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเป็นไปไม่ได้
ลู่เจียวพูดยิ้มๆ “เจ้าไม่รู้จักคิดวิธีหาเงินหน่อยหรือ ถ้าข้าเดาไม่ผิด เสิ่นซิ่ อาศัยอยู่ในต้นตระกูลมานานขนาดนี้ ถ้านางไม่มีเงินในมือ แม่หม้ายหลี่และเสิ่นเสี่ยวซานต้องโวยวายแน่นอน ฉะนั้นเจ้าต้องเอาเงินจากนางไปให้แม่หม้ายหลี่ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะสู่ขอนางได้อย่างไร”
“ถ้าเจ้าขอนางตรงๆ นางไม่มีทางให้อยู่แล้ว เช่นนั้นก็ต้องขอทางอ้อม”
หลัววั่งไฉได้ยินคำพูดของนาง นัยน์ตาลุกวาวกว่าเดิม สุดท้ายก็ลืมความเจ็บปวดของร่างกายแล้วพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ ถึงเวลาเจ้าต้องมาดื่มสุราแสดงความยินดีกับข้าด้วยล่ะ”
ลู่เจียวค่อยๆ ปล่อยหลัววั่งไฉแล้วปรบมือ “เรื่องนี้ไม่สำเร็จก็ต้องสำเร็จ เข้าใจไหม ถ้าไม่สำเร็จ…”
นางไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา เพียงเงื้อหมัดไปตรงหน้าหลัววั่งไฉ
หลัววั่งไฉตกใจจนตัวสั่นงันงก นี่ถ้าไม่สำเร็จแล้วจะชกเขาอีกหรือ หลัววั่งไฉรู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง เขาหันหลังร้องเสียงดังวิ่งหนีไป
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จแน่นอน”
พูดจบก็วิ่งไวยิ่งถูกหมาป่าไล่ตาม ลู่เจียวไม่สนใจเขา รีบเก็บฟืนที่ตกพื้น แบกขึ้นหลังแล้วเดินลงเขา
สำหรับเรื่องที่เสิ่นซิ่วจะเจอ นางไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย เสิ่นซิ่วรนหาที่ตาย กล้ากล้าวางแผนทำร้ายนาง ก็สมควรโดนแบบนี้
ลู่เจียวกลับถึงบ้าน ฟ้าก็สว่างแล้ว แฝดสี่ตื่นกันหมดแล้ว พอเห็นนาง แฝดสามในสี่ก็รีบวิ่งมาหา
“ท่านแม่ อยากกินเนื้อต้มหอมๆ ของเมื่อวานจังเลย”
ลู่เจียวตอบกลับอย่างเบิกบาน “ได้ เช้านี้พวกเรากินบะหมี่เนื้อต้มพะโล้ เพิ่มไข่ไก่อีกหนึ่งฟอง”
เด็กสามคนโห่ร้องอย่างดีใจแล้วหันหลังวิ่งกลับไปบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ในเรือนตะวันออกทันที ส่วนลู่เจียวก็เข้าไปทำมื้อเช้าในห้องครัว
นางโรยต้นหอมและผักชีในน้ำแกงเนื้อต้มพะโล้ ใส่ไข่ด้านบนอีกหนึ่งฟอง บะหมี่ก็รทั้งหอมทั้งน่ากินจริงๆ
แฝดสี่เห็นแล้วแทบจะกินโดยไม่ใช้ตะเกียบ ซื่อเป่าเริ่มเอ่ยชมอย่างประจบสอพลอ
“บะหมี่ที่ท่านแม่ทำหอมเหลือเกิน ดูน่ากิน รสชาติอร่อยเหมือนหน้าตา”
ลู่เจียวถูกชมจนอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แววตามองไปที่เอ้อร์เป่าและซานเป่า
เอ้อร์เป่าซานเป่าได้รับสัญญาณบางอย่าง จึงรีบคล้อยตามซื่อเป่า
“ใช่ ท่านแม่ทำกับข้าว บะหมี่ ลูกกวาด ขนมก็อร่อยไปหมดเลย”
เรื่องง่ายๆ ก็แค่ชมเกินจริงสักหน่อยเท่านั้น
ซานเป่าก็เอ่ยตาม “ท่านแม่ไม่เพียงแต่ทำอาหารอร่อย แล้วยังดูสวยขึ้นอีกด้วย”
ลู่เจียวยกมือลูบหน้าโดยไม่รู้ตัว จริงหรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ในเรือนด้านข้างรู้สึกอับอายแทนนาง โตป่านนี้กลับโดนเด็กปั่นหัว สุดคำบรรยายจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นและต้าเป่าสบตากัน แววตาทั้งคู่สื่อว่าแม่นางผู้นี้ค่อนข้างซื่อ
ลู่เจียวอารมณ์ดีมาก ยกบะหมี่หมูต้มพะโล้ป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น ขณะเดียวกันก็พูดว่า
“ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้า พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านข้า”
นางเพิ่งพูดจบ ทุกคนก็ชะงักทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมองนางเพียงปราดเดียวแล้วก้มหน้ากินหมี่ต่อ เพราะเขารู้ว่าแม่นางผู้นี้แต่งออกมาจากตระกูลลู่แล้ว ฉะนั้นนางไม่มีทางอยู่ที่บ้านลู่เป็นเวลานานอยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้กังวลใจนัก
แต่แฝดสี่คนค่อนข้างกังวล ถ้ามารดาไม่กลับมาจะทำอย่างไร
สี่แฝดรู้สึกว่าอาหารไม่ได้หอมกรุ่นและอร่อยเหมือนตอนแรก ซื่อเป่าหยุดกินทันที แล้วยืนขึ้นวิ่งไปดึงลู่เจียวไว้ “ท่านแม่ ข้าจะไปบ้านยายพร้อมท่าน”
ลู่เจียวไม่เห็นด้วย ต้องเดินทางข้ามเขาสองชั่วยาม นางอุ้มเขาได้อยู่แล้ว แต่ถ้านางอุ้มเขาก็คงเอาข้าวของอย่างอื่นกลับไปฝากบ้านตระกูลลู่ไม่ได้ เช่นนั้นคงไม่ค่อยดีกระมัง
ดังนั้นอย่าดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นนางไปตั้งแต่ตอนเช้า ตอนบ่ายก็กลับมาแล้ว พาเด็กไปก็คงไม่สะดวก
“ไว้พาไปคราวหน้า”
ซื่อเป่าดูเศร้าหมองไปทันที เขาเบ้ปากจะร้องไห้
ลู่เจียวทนดูไม่ได้ คิดว่า จะพาไปด้วยดีหรือไม่ แต่ถ้าพาเขาไปคนเดียว แล้วอีกสามคนที่เหลือล่ะ
ลู่เจียวกำลังครุ่นคิด เอ้อร์เป่าและซานเป่าก็วิ่งมา “ท่านแม่ ท่านจะกลับเมื่อใด”
ลู่เจียวจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเด็กๆ คงกลัวว่านางไปแล้วจะไม่กลับมาอีก เลยกังวลใจเช่นนี้ ที่แท้พวกเขามองนางเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่
ลู่เจียวดีใจ จึงมองแฝดทั้งสาม “ข้าไปตอนเช้าแล้วกลับตอนบ่าย พวกเจ้าอย่ากังวลใจไปเลย รีบกินบะหมี่หมูต้มพะโล้เถอะ กินเสร็จยังมีของอร่อยๆ อย่างอื่นอีก”
แฝดสามคนเงยหน้ามองนางอย่างข้องใจ “จะได้กินลูกกวาดอีกหรือ”
“ใช่ขนมถั่วแดงหรือเปล่า”
ซื่อเป่ากอดขาของนาง พลางออดอ้อน “ท่านแม่พูดมาเถอะ จะให้กินของอร่อยอะไรอีก”