เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังครุ่นคิด ซื่อเป่าที่อยู่ด้านหลังลู่เจียววิ่งไปตรงหน้าของแฝดพี่ทั้งสามคนพร้อมพูดอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ท่านพี่ ท่านแม่ไม่ได้ซื้อแค่ลูกกวาด แต่ยังซื้อขนมถั่วแดงให้พวกเราอีกด้วย”
แฝดพี่ทั้งสามคนเงยหน้ามองโต๊ะเล็กอย่างตกตะลึง เห็นบนโต๊ะมีขนมถั่วอยู่หลายชิ้นจริงๆ
แฝดทั้งสามตาลุกวาวอย่างไม่อยากเชื่อ พวกเขาหันควับไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ไปกินเถอะ”
ต้าเป่าวิ่งไปที่โต๊ะ หยิบขนมถั่วแดงมาหนึ่งชิ้นแล้ววิ่งมาข้างเตียง “ท่านพ่อกินสิ”
ท่านพ่อกินขนมถั่วแดงต้องมีความสุขมากแน่ๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหัว “ข้าไม่กิน พวกเจ้ากินเถอะ”
ลู่เจียวที่อยู่เข้ามาในเรือนเอ่ยขึ้น “เจ้าชิมดูหนึ่งชิ้นเถอะ ข้าซื้อมาสองจินกว่าๆ พี่รองก็ชิมด้วย”
ได้ยินลู่เจียวพูดแบบนั้น เซี่ยเอ้อร์จู้ก็ยืนขึ้น ขนมถั่วแดงแพงขนาดนี้ เขาจะกล้ากินได้อย่างไร ให้น้องสามกินบำรุงร่งกายก็พอ
“ข้า ข้ากลับไปกินที่บ้านดีกว่า”
ลู่เจียวรั้งเขาไว้ “พี่รองอยู่กินมื้อค่ำด้วยกันที่นี่เถอะ แต่ว่ามื้อนี้มีแค่ข้าวต้มกับขนมถั่วแดงเท่านั้น ข้าไม่มีเวลาผัดผัก เครื่องในกับหัวหมูที่ชำแหละตอนเช้าก็ยังไม่ได้เตรียม”
ถึงแม้นางจะมีห้วงอากาศ แต่ถ้าไม่ล้างและต้มหมูให้เสร็จวันนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นคงจะสงสัยแน่นอน เพราะในฤดูร้อนที่ระอุเช่นนี้ เครื่องในและหัวหมูย่อมเน่าเสียง่าย
ลู่เจียวคิดพลางมองเซี่ยเอ้อร์จู้ “รบกวนพี่รองช่วยป้อนอวิ๋นจิ่นที ให้เขากินเสร็จแล้วท่านค่อยกินแล้วกัน”
ลู่เจียวพูดจบก็เดินจากไป นางต้องรีบไปจัดการกับหัวหมูและเครื่องในพวกนั้นจริงๆ ตอนนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว วันนี้ต้องหมักตั้งสองหม้อแน่ะ
ภายในเรือน เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปที่โต๊ะเล็ก บนโต๊ะเล็กมีข้าวต้มทั้งหมดหกชาม หนึ่งชามในนั้นเป็นของเซี่ยเอ้อร์จู้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยขึ้น “พี่รองไปกินก่อนเถอะ”
เซี่ยเอ้อร์จู้จะกล้ากินก่อนได้อย่างไร จึงรีบยกข้าวต้มไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ภายในเรือน แฝดสี่คนนั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะเล็กอย่างมีความสุข กินพลางหัวเราะพูดคุยเล่นกันอย่างเพลิดเพลิน
“ท่านแม่ดีจริง นอกจากซื้อลูกกวาดมาให้พวกเราแล้ว ยังซื้อขนมถั่วแดงมาด้วย”
แววตาดั่งดอกท้อของแฝดสี่โค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว ท่าทางที่น่าเกลียดน่าชังนั้นทำให้คนมองแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ทว่าแฝดพี่สามคนได้ยินคำพูดของเขาก็ไม่สบอารมณ์มาก เหอะ พูดอย่างกับนางเป็นแม่ของเขาคนเดียว นางเป็นแม่ของทุกคนต่างหาก
ลู่เจียวเอาเครื่องในหมูที่ล้างในตอนเช้าแล้วใส่หม้อ ตามด้วยใส่เครื่องปรุงที่เพิ่งซื้อกลับมาจากในเมืองลงไป จากนั้นก็ก่อฟืน
รอกระทั่งไฟติดแล้ว นางจึงไปกินมื้อเย็น
วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ
ลู่เจียวกำลังครุ่นคิด เสียงของซื่อเป่าดังขึ้นจากนอกห้องครัว “ท่านแม่ ไม่มากินมื้อค่ำหรือ”
แหม เดี๋ยวนี้รู้จักเป็นห่วงนางแล้ว ลู่เจียวยิ่งรู้สึกมีความสุขขึ้นมามาก
“กินแล้ว เจ้ากินหรือยัง”
ซื่อเป่าเดินมาช้าๆ เพราะตะเกียงไฟในครัวไม่ค่อยสว่าง ลู่เจียวกลัวว่าเขาจะหกล้ม จึงรีบวิ่งไปอุ้มเขามานั่งลงบนก้อนหินหลังเตา
สองแม่ลูกเพิ่งนั่งลง ซื่อเป่าก็เอาขนมถั่วแดงในมือของเขายื่นไปในข้างริมฝีปากของลู่เจียว “ท่านแม่ กินขนมถั่วแดงนี่สิ”
ลู่เจียวรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจอย่างมาก
“เจ้ากินเองเถอะ ข้าไม่กิน”
ซื่อเป่าพูดด้วยรอยยิ้มสดใส “ข้ากินแล้ว ชิ้นนี้ข้าเก็บไว้ให้ท่านแม่เอง”
ลู่เจียวพยักหน้าพร้อมกัดหนึ่งคำ “อืม อร่อย”
สองแม่ลูกผลักกันกินคนละคำจนหมด
เอ้อร์เป่าและซานเป่าแอบมองพวกเขาอยู่ตรงประตู พอเห็นท่าทางของซื่อเป่า แฝดสองคนนี้ก็ประชดประชันด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ประจบเก่งจริงๆ”
“นางจะชอบแค่ซื่อเป่า แล้วไม่ชอบพวกเราไหม”
เอ้อร์เป่าได้ยินซานเป่าพูดเช่นนี้ก็ไม่สบอารมณ์ทันที จึงหันหลังวิ่งกลับไป ซานเป่ารีบตามไปด้วย
ลู่เจียวที่อยู่ในครัวได้ยินแฝดสองคนนี้พูด ทว่าทำเป็นไม่สนใจ
กลิ่นหอมของเครื่องในหมูฟุ้งกระจายออกจากห้องครัว โชคดีที่เรือนที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นนอนอยู่ทิศตะวันออก จึงไม่ค่อยได้กลิ่นจากห้องครัว แต่บ้านของซย่าซื่อได้กลิ่นหอมนี้กันทั้งบ้าน แต่ละคนสูดกลิ่นจนท้องร้อง
“นี่มันกลิ่นอะไร หอมจัง”
“หอมจริง ไม่เคยได้กลิ่นหอมขนาดนี้มาก่อน”
เซี่ยเสี่ยวเป่าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ข้าคิดว่ากลิ่นน่าจะมาบ้านอาสะใภ้สาม ข้าจะไปลองดูว่านางต้มอะไร”
เซี่ยไหลฝูใคร่อยากต่อว่าบุตรชาย ทว่าเซี่ยเสี่ยวเป่ากลับวิ่งไปไกลแล้ว พอเขามาถึงก็นั่งยองๆ ถามลู่เจียวที่อยู่ด้านหลังเตา “อาสะใภ้สามต้มอะไรหรือ หอมมาก”
ลู่เจียวโปรดปรานเซี่ยเสี่ยวเป่าอยู่แล้ว ยิ่งคิดได้ว่าวันนี้เด็กคนนี้ปกป้องแฝดทั้งสี่ ก็ยิ่งถูกใจเขามากขึ้น
“ข้ากำลังต้มเครื่องในหมู เดี๋ยวเสร็จแล้วจะส่งไปให้พวกเจ้าชิมนะ”
“ได้เลยๆ”
เซี่ยเสี่ยวเป่าเดินวนรอบหม้อ อยากกินจนน้ำลายไหล ลู่เจียวนึกขันขึ้นมาทันที
เพราะหม้อแรกคือเครื่องในหมู จึงไม่ต้องใช้เวลานานนัก ยิ่งฟ้าก็มืดขนาดนี้แล้ว ลู่เจียวเลยไม่ได้เคี่ยวต่อ พอเครื่องในหมูสุกได้ที่ก็ตักออกมาแล้ว
ตอนที่ตักออกมา กลิ่นหอมนั้นเกินบรรยาย ลู่เจียวหั่นตับหมูหนึ่งชิ้นป้อนเซี่ยเสี่ยวเป่า
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง”
เซี่ยเสี่ยวเป่าพยักหน้าทันที “หอม อาสะใภ้สามทำอย่างไร อร่อยมาก”
ซื่อเป่ามองพลางดึงเสื้อของลู่เจียว “ท่านแม่ ข้าก็จะกิน ข้าก็จะกิน”
ลู่เจียวจึงหั่นป้อนเขาอีกชิ้น
ซื่อเป่ากินด้วยความดีใจ ตอนเคี้ยวก็ยังไม่ลืมประจบ “หอม ฝีมือของท่านแม่สุดยอดจริงๆ”
เอ้อร์เป่าและซานเป่าที่อยู่นอกครัวไม่คิดเรื่องอื่นแล้ว ต่างพากันพุ่งเข้าไปหาลู่เจียวแล้วตะโกนและอ้าปากกว้าง “ท่านแม่ ข้าก็เอา ข้าก็เอาด้วย”
“ท่านแม่ อ้ำ”
ปากน้อยๆ ของทั้งสองอ้ากว้างเหมือนนกน้อยสองตัวที่กำลังรออาหารจากแม่นก ลู่เจียวจึงนิ่งงันไปชั่วขณะ
ขนาดแฝดสองคนนี้ยังเรียกตนว่าแม่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าสามในสี่แฝดเรียกตนว่าแม่แล้ว มีเพียงต้าเป่าที่ยังไม่เรียก
ลู่เจียวอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีคนรักคนชอบแล้ว
นางหั่นตับให้พวกเขาสองคนกินทันที
ลู่เจียวป้อนเอ้อร์เป่าและซานเป่าเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต้าเป่ายืนอยู่นอกประตู เด็กคนนี้เม้มปากพยายามอดกลั้นความหิวโหยไว้ ท่าทางของเขาดูฝืนใจตัวเองอย่างมาก
ลู่เจียวรู้สึกขบขัน แต่ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เขา แค่กวักมือเรียกเขา
“ต้าเป่าก็มาเถอะ ข้าจะหั่นให้ชิมชิ้นหนึ่ง”
ต้าเป่าครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจัง เดินเข้ามาอ้าปากเหมือนไม่เต็มใจ
ลู่เจียวขำท่าทางจริงจังของเขามาก
นางไม่กล้าหยอกล้อเขา กลัวว่าเขาจะโกรธ จึงหั่นตับให้หนึ่งชิ้น แล้วถามว่า “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม”
ต้าเป่าได้ลิ้มลองแล้วก็ตอบกลับอย่างใจเย็น “ก็ใช้ได้”
ลู่เจียวเห็นท่าทางแบบนี้ของเขาก็นึกถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงทันที จึงอดกลอกตามองบนไม่ได้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ