จางซื่อรีบพูดยิ้มๆ “เจ้าค่ะ”
นางเอากระต่ายเข้าไปในครัว แล้วยกตะกร้าไปเก็บผักในสวน
ตรงหน้าประตูห้องโถง เซี่ยฟู่กุ้ยถามถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เขากล่าวเป็นนัย
“แม้อวิ๋นจิ่นจะเจอกับปัญหาใหญ่เช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอนาคตเขาจะรุ่งโรจน์ไม่ได้อีก ก่อนหน้านี้หมอจากหอยาเป่าเหอเคยบอกว่าผ่าตัดได้ เจ้าดูแลเขาให้ดีเถอะ ถ้าต่อไปเขามีอนาคตก้าวหน้าก้าวหน้า เจ้าก็พลอยได้ดิบได้ดีไปด้วย”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของเซี่ยฟู่กุ้ยก็ยกมุมปากขึ้น นางไม่หวังว่าจะได้ดิบได้ดี แค่เขาไม่คิดบัญชีดำกับนางก็พอแล้ว
ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ลู่เจียวก็รู้ว่าเซี่ยฟู่กุ้ยคาดหวังกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาก ต่อให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ก็ยังมีความหวัง
“ข้ารู้แล้ว”
หลานชายสองคนของเซี่ยฟู่กุ้ยนามว่าต้าโถวและเหมาเหมาที่อยู่กลางลานบ้านเอาแต่จ้องแมลงปอไม้ไผ่ในมือของแฝดสามคนไม่วางตา
ลู่เจียวมองไปที่แฝดสามคนแล้วพูดว่า “เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่า แบ่งแมลงปอไม้ไผ่ให้พวกพี่ๆ เล่นหน่อยเถอะ”
แฝดสามคนขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ นี่เป็นของเล่นชิ้นแรกที่พวกเขาได้มา พวกเขาไม่อยากแบ่งให้คนอื่นเล่นแน่นอน
ทว่าลู่เจียวบีบบังคับ พวกเขาก็ไม่กล้าไม่ให้ ใบหน้าซูบผอมดูไม่เต็มใจแม้แต่น้อย
ลู่เจียวพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “มีของเล่นก็ควรแบ่งให้เพื่อนๆ วันข้างหน้าต้าโถวและเหมาเหมามีของดีจะได้แบ่งให้พวกเจ้าเล่นด้วย”
สุดท้ายสามแฝดสามก็ยินยอม ไม่นานพวกเขาก็เล่นด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ตรงกลางลานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะรื่นรมย์
เซี่ยฟู่กุ้ยเห็นทุกอย่าง เขาหันมองลู่เจียว ภรรยาอวิ๋นจิ่นเหมือนจะเปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้นางปากร้าย ทั้งยังก่อกวนไปทุกเรื่อง ตอนนี้กลับกลายเป็นคนละคน
หรือเพราะว่าอวิ๋นจิ่นเจอกับลมมรสุม นางเลยกลับตัวกลับใจ
เซี่ยฟู่กุ้ยนึกเช่นนี้ ภายในใจก็ได้รับการปลอบโยนอย่างมาก ได้ยินมาว่าภรรยาอวิ๋นจิ่นรู้อักษร สั่งสอนบุตรให้รู้จักกาลเทศะได้ วันข้างหน้าจะได้ปล่อยบุตรหลานของเขาเล่นกับบุตรของนาง
เซี่ยฟู่กุ้ยกำลังตกอยู่ในภวังค์ จางซื่อก็ยกผักเข้ามาหนึ่งตะกร้า
“ภรรยาอวิ๋นจิ่น เจ้ากินผักพวกนี้หมดค่อยมาเก็บใหม่ ผักในสวนทิ้งไว้ไม่เก็บกินก็แก่หมด”
นางพูดจบก็ยื่นผักหนึ่งตะกร้าให้ลู่เจียวพร้อมแนะนำว่า “ข้าเห็นสวนของเจ้าไม่ได้ปลูกอะไรไว้ ปลูกผักไว้กินหน่อยก็ดี”
ลู่เจียวพยักหน้าทันที “ข้าก็คิดอย่างนั้น ตอนบ่ายกะว่าจะเข้าไปในเมือง ดูว่าร้านหลอมเหล็กมีจอบขายหรือไม่ จะได้ขุดดินปลูกผักตรงลานหน้าบ้านหน่อย”
จางซื่อเห็นด้วยอย่างมาก “อืม คิดได้เช่นนี้ก็ดี”
จางซื่อเพิ่งพูดจบก็นึกถึงเกวียนควายที่จะไปในเมืองขึ้นมาได้ บอกว่า “เกวียนควายบ้านข้าจะเข้าเมืองตอนบ่ายพอดี เจ้ามาขึ้นเกวียนที่นี่ตอนบ่ายสิ”
เซี่ยฟู่กุ้ยมีควายหนึ่งตัว ช่วงที่งานนายุ่ง จะใช้ควายไปไถนา แต่ช่วงเวลาปกติก็จะใช้ส่งคนในหมู่บ้านเข้าไปในเมือง
แน่นอนว่าต้องเก็บค่าโดยสารอยู่แล้ว ราคาไปกลับสองเหวินต่อรอบ ทั้งยังต้องรอให้ครบห้าหกคน ถึงจะออกเกวียน
เซี่ยฟู่กุ้ยก็มองลู่เจียว “เจ้ามาขึ้นเกวียนเข้าเมืองด้วยกันกับเถี่ยหนิว จะได้ประหยัดเวลาเดินทางมากขึ้น”
เซี่ยเถี่ยหนิวเป็นบุตรชายคนโตของเซี่ยฟู่กุ้ย เป็นคนรับส่งชาวบ้านเมือง
“ได้ ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและพี่สะใภ้แล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน ไว้เตรียมอาหารเสร็จค่อยมาใหม่”
“กลับดีๆ”
ตอนลู่เจียวและเด็กๆ กำลังจะกลับ ต้าโถวและเหมาเหมายังคงจ้องมองของเล่นในมือของเอ้อร์เป่าและซานเป่า
ลู่เจียวมองสามแฝด เห็นว่าพวกเขากำแมลงปอไม้ไผ่ไว้แน่น เกรงว่าจะต้องให้ของเล่นกับต้าโถวและเหมาเหมา
ลู่เจียวกลับเข้าใจความรู้สึกเด็กๆ นี่เป็นของเล่นชิ้นแรก ไม่มีทางให้คนอื่นได้ ต่อให้นางจะทำอันใหม่ให้พวกเขาได้ แต่ก็มีความหมายไม่เท่าของเล่นชิ้นแรก ฉะนั้นนางเลยไม่ได้บังคับให้พวกเขาให้คนอื่น
“ต้าโถว เหมาเหมา ตอนบ่ายข้าค่อยทำอันใหม่มาให้พวกเจ้า ดีหรือไม่”
ลู่เจียวอยากแทนตัวเองว่าอาสะใภ้สาม แต่พอคิดๆ ดูแล้ว โอ้สวรรค์ ต้าโถวและเหมาเหมาต้องเรียกนางว่าย่าสามนี่นา
ลู่เจียวจนปัญญา นางยังสาวยังแส้ขนาดนี้ก็ต้องเป็นย่าแล้ว เลยไม่ได้ให้เด็กๆ เรียกนางตามความอาวุโส
ต้าโถวและเหมาเหมาดีใจมาก จึงพยักหน้าไม่หยุด พากันเรียกนางว่าย่าสาม
“ย่าสาม ตอนบ่ายอย่าลืมเอามาด้วยล่ะ”
“ย่าสาม อย่าลืมนะ”
นางกุมมือแฝดสามคนเดินจากไปอย่างอ่อนใจ แฝดสามกลับรู้สึกดีใจมาก
ลู่เจียวไม่บังคับให้พวกเขาให้ของเล่นกับต้าโถวและเหมาเหมา แค่นี้พวกเขาก็ดีใจมากแล้ว
ตลอดทางมีคนทักทายลู่เจียวไม่หยุด ลู่เจียวก็ทักกลับด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ทว่าก็มีบางคนหมั่นไส้ที่นางตีตัวสนิทสนมกับคนในหมู่บ้าน
“แหม ภรรยาซิ่วไฉเอาของขวัญไปให้ผู้ใหญ่บ้านหรือ เหอะๆ พ่อแม่สามีตัวเองไม่ให้ กลับไปให้คนนอก ไอ้คนเนรคุณ”
ลู่เจียวมองไป เห็นว่าคนที่เอ่ยเช่นนี้คือหลัวกุ้ยฮวา คนที่ไม่ถูกคอกับร่างเดิม
หลัวกุ้ยฮวาไม่ถูกคอกับร่างเดิม ก็เพราะว่านางกับมารดาของร่างเดิมไม่ถูกคอกัน
ตอนที่หลัวกุ้ยฮวายังสาว นางต้องตาต้องใจกับบิดาของร่างเดิม สุดท้ายกลับถูกมารดาของร่างเดิมแย่งไปก่อน นางกับมารดาร่างเดิมเลยกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน ภายหลังหลัวกุ้ยฮวาก็แต่งเข้ามาที่หมู่บ้านเซี่ย
เดิมทีเรื่องที่แล้วมาก็แล้วไป ใครจะไปรู้ว่าร่างเดิมก็แต่งเข้าหมู่บ้านเซี่ยด้วย แล้วยังกลายเป็นภรรยาของซิ่วไฉเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้าน หลัวกุ้ยฮวาแค้นใจที่สุด ทุกครั้งที่เห็นร่างเดิมก็มักจะเหยียดหยาม แน่นอนว่าร่างเดิมก็ไม่เคยยอมคน
เพียงหลัวกุ้ยฮวาหาเรื่อง นางก็จะด่ากลับทันที สุดท้ายความสัมพันธ์ของทั้งสองนับวันก็ยิ่งแย่
ลู่เจียวรู้ประวัติของหลัวกุ้ยฮวาจากความทรงจำของร่างเดิม จึงเย้ยหยันกลับ
“คำโบร่ำโบราณกล่าวว่าบิดาไม่มีจิตเมตตา บุตรย่อมอกตัญญู เกิดเป็นผู้อาวุโสย่อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง คนรุ่นหลังถึงจะกตัญญูรู้คุณ ข้าโตมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีพ่อแม่ที่ไหนไล่บุตรชายบาดเจ็บออกจากบ้านมาก่อนเลย แน่นอนว่าป้ากุ้ยฮวาก็คงเป็นคนจำพวกเดียวกัน ถึงไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเรา”
ลู่เจียวพูดจบก็พาซานเป่าเดินจากไป หลัวกุ้ยฮวาที่อยู่ด้านหลังต่อว่าทันที “ไอ้หมูอ้วน นึกว่าออกเรือนให้ซิ่วไฉแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์ชั้นวิมานหรือไร ทำตัวสูงส่งอยู่นั่นแหละ จริงๆ แล้วเจ้าก็แค่นางแพศยาที่แย่งผู้ชายคนอื่นเท่านั้น”
นางด่าหยาบคายจบก็หันหลังเดินกลับบ้านเซี่ยเหล่าเกิน