เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงเร่งเด็กๆ ให้รีบนอน “พอเถอะ รีบนอนกันได้แล้ว”
แฝดสามไม่เอ่ยอะไรต่อ พอหลับตาลงก็จมสู่ห้วงนิทรา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นตั้งใจฟังเสียงเคลื่อนไหวในเรือนตะวันตกก็ไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนเมื่อครู่นี้อีก ดูท่าคงหลับกันหมดแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองแฝดสามคนที่นอนข้างกาย แต่ละคนดูสะอาดสะอ้านขึ้น ใบหน้าไม่เหลืองซูดซีด ทั้งยังดูมีชีวิตชีวาและแจ่มใสขึ้น ดูเหมือนเด็กๆ ก็ต้องการความรักจากมารดาเช่นกัน
เช้าวันถัดไป ลู่เจียวต้มโจ๊กและผัดผักกาดเห็ดหอม
หลังจากทำมื้อเช้าเสร็จ ก็ตักเก็บใส่ถ้วยให้เรียบร้อย แล้วทำมื้อเที่ยงต่อ นางทำซี่โครงเปรี้ยวหวานเสร็จก็ผัดมะเขือ ทำกับข้าวเรียบร้อยแล้วถึงจะหุงข้าว รอให้ข้าวสุก ก็เอาซี่โครงเปรี้ยวหวานและผัดมะเขืออุ่นบนข้าว
ในบ้านควรใช้กระทะสองใบจริงๆ ตอนนี้นางมีกระทะดีแค่ใบเดียว ส่วนอีกใบก็ใกล้พังแล้ว ต้องหาเงินซื้อกระทะดีๆ มาใช้สักสองใบให้ได้
ลู่เจียวคิดพลางต้มยาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ผ่านไปสักพัก เสียงของแฝดสี่ดังมาจากนอกครัว
แฝดพี่สามคนกำลังถามซื่อเป่าว่าเมื่อคืนลู่เจียวเล่านิทานอะไรให้ฟัง
ซื่อเป่าเลยเล่านิทานเมื่อคือให้พี่สามคนฟังอย่างฉะฉาน
จากนั้นเด็กชายทั้งสี่ก็พูดคุยเกี่ยวกับนิทานเรื่องนี้ตรงกลางลานบ้าน
เสี่ยวเฮยและฮวาฮวาเดินเข้าไปใกล้เท้าเด็กๆ แล้วเริ่มครางหงิงออดอ้อน
กลางลานเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น
ลู่เจียวอดยิ้มไม่ได้ หลังจากแฝดสี่คุยกันจบ ก็วิ่งเข้ามาห้อมล้อมนางแล้วถามไม่หยุด
“ท่านแม่ เหตุใดเจ้าลิงกับเจ้ากวางถึงพูดได้เหมือนคน”
ลู่เจียวมองคานหลังคาอย่างจนหนทาง ยอดเยี่ยมมาก ตัวแสบทั้งสี่คิดไปในทางเดียวกันหมด
เอ้อร์เป่าเสนอหน้าอธิบายแทนนาง “ท่านแม่ พวกเขากลายเป็นปีศาจแล้วใช่หรือไม่”
ลู่เจียวใคร่อยากกลอกตามองบน แต่พอคิดได้ว่าตัวเองเป็นถึงมารดา ควรรักษาความสง่างามและสุภาพเรียบร้อยไว้ จึงจำใจอธิบายให้แฝดสี่ฟังด้วยความอดทน
“นี่เป็นเพียงนิทานเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าลิงและกวางจะพูดได้จริงๆ นิทานเป็นเรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง หรือสอนใจ ดั่งเช่นนิทานที่แม่เล่า ก็สอนว่าทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อนเสมอ ดังนั้นไม่ควรคิดว่าตัวเองมีความสามารถ คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดแล้ว”
แฝดสี่ได้ยินเช่นนี้ ก็ร้องอ้อเสียงยาว เอ้อร์เป่าพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นเช่นนี้นี่เอง มนุษย์เป็นคนแต่งนิทานขึ้นเอง เจ้าลิงและเจ้ากวางไม่ได้เป็นคนเล่าเรื่อง”
เขาพูดจบก็ก้มมองเสี่ยวเฮยและฮวาฮวา แล้วพูดอย่างสงสัย “พวกเจ้าว่าเสี่ยวเฮยและฮวาฮวาพูดได้หรือไม่”
ลู่เจียวไม่สนใจพวกเขา แบ่งยาต้มในหม้อเป็นสองถ้วย หนึ่งถ้วยพักให้หายร้อน ส่วนอีกถ้วยก็ถือโอกาสตอนที่แฝดสี่ไม่ทันสังเกตเห็น แอบเก็บเข้าไปในห้วงอากาศ
“เอาละ ไปล้างหน้าล้างมือกัน เตรียมตัวกินอาหารเช้าได้แล้ว”
ก่อนหน้านี้ลู่เจียวสอนแฝดสี่ล้างหน้าล้างมือ ตอนนี้พวกเขาเลยทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง
ลู่เจียวยกอาหารเช้าไปที่เรือนตะวันออก แฝดสี่ตักกินเอง ส่วนนางก็ป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นก่อน
“กินมื้อเช้าเสร็จ ข้าจะกลับบ้านแม่ สำหรับอาหารเที่ยง ข้าทำไว้ในหม้อแล้ว ประเดี๋ยวตอนข้าไป จะขอให้ป้ารองมาป้อนมื้อเที่ยงให้เจ้า”
ลู่เจียวพูดจบ จู่ๆ ก็คิดเรื่องที่สี่แฝดทะเลาะวิวาทกับคนอื่นแล้วเซี่ยอวิ๋นจิ่นเครียดจนกระอักเลือดขึ้นมาได้
นางหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นปราดหนึ่ง สังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนี่ไม่ได้หน้าซีดเหมือนก่อนหน้านี้ ซ้ำยังดูมีชีวิตชีวาขึ้นแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ขืนมีคนมารังแกแฝดสี่ เขาก็จนปัญญาอยู่ดี
ลู่เจียวกังวลใจขึ้นมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นสังเกตเห็นสีหน้าที่ค่อนข้างกังวล จึงเลิกคิ้วถาม “เป็นอะไรไป”
“ช่วงข้ากลับบ้านแม่ ถ้ามีคนชั่วที่ไหนมารังแกพวกเจ้าที่บ้านแล้วจะทำอย่างไร”
ซื่อเป่าผุดลุกขึ้น “ท่านแม่ เช่นนั้นก็อย่ากลับไปบ้านยายสิ”
แฝดสามคนที่เหลือที่พยักหน้าเห็นด้วย ต่างยืนมองลู่เจียวข้างเตียงตาปริบๆ
ลู่เจียวไม่สนใจพวกเขา ขมวดคิ้วมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ไม่อย่างนั้น…ข้าจะตามพี่รองมาเฝ้าพวกเจ้า”
นางกล่าวจบก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสม ถ้าเซี่ยเอ้อร์จู้กล้ามา หร่วนซื่อคงมาหาเรื่องคนแรก
ลู่เจียวครุ่นคิดสักพักก็พูดว่า “ช่างเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะให้เซี่ยเสี่ยวเป่ามาอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า ถ้ามีใครมาหาเรื่องจริง เสี่ยวเป่าจะได้รีบไปตามคนมาช่วย”
ครั้งที่แล้ว ลู่เจียวแบ่งเงินที่ได้จากแม่หม้ายหลี่ให้ทั้งสามครอบครัวที่ช่วยบุตรชายนาง นี่กลายเป็นสิ่งยั่วยวนใจคนทั้งหมู่บ้านมากที่สุด ถ้ามีใครกล้ามาหาเรื่อง ทุกคนในหมู่บ้านต้องช่วยกันปกป้องคนในครอบครัวนางแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวยังคงไม่สบายใจ จึงไม่ได้คัดค้านนาง “ได้”
แฝดสี่ได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็ผิดหวังมาก
พวกเขาไม่อยากให้มารดากลับบ้านยาย ถ้าไปแล้วไม่กลับจะทำอย่างไร
แฝดสี่กระวนกระวายใจจนกินข้าวต้มไม่อร่อย
ลู่เจียวป้อนมื้อเช้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเรียบร้อยก็เก็บถ้วยชามออกไป จากนั้นก็ตักของตัวเองมากิน
ลู่เจียวเห็นแฝดสี่ยังกินไม่เสร็จ ท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์ จึงเดาว่าพวกเขาน่าจะกลัวว่าตนจะไม่กลับมา
ในใจลู่เจียวดีใจเป็นอย่างยิ่ง นี่นางทำดีกับพวกเขาไม่นาน ก็ได้ใจพวกเขามาแล้วหรือ
ทว่าพอเห็นพวกเขาไม่มีความสุข ก็อดปลอบโยนพวกเขาด้วยเสียงอ่อนโยนไม่ได้
“เหตุใดถึงทำหน้ามุ่ยกันล่ะ กลัวว่าแม่จะกลับมาหรือ”
กล่าวจบ แฝดสี่เงยหน้ามองนางอย่างพร้อมเพรียง ลู่เจียววางถ้วยลงแล้วลูบหัวพวกเขา “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะรีบกลับมา”
ซื่อเป่าเดินไปข้างกายนาง จ้องนางน้ำตาคลอ “ท่านแม่ ถ้าท่านไม่กลับมา ข้าจะร้องไห้ ร้องจนท่านกลับมา”
ต้าเป่า เอ้อร์เป่าและซานเป่ามองซื่อเป่าอย่างตกใจ จะทำเช่นนี้จริงหรือ
เอ้อร์เป่าและซานเป่าครุ่นคิดสักพักก็เอ่ยว่า “พวกเราจะร้องตามซื่อเป่าด้วย”
ต้าเป่าเดินไปข้างลู่เจียวแล้วยื่นมือออกมา ลู่เจียวหันไปมองเขาอย่างฉงน
ต้าเป่ากะพริบตาแล้วพูด “เกี่ยวก้อยสัญญากับข้า ใครโกหก คนนั้นเป็นลูกหมา”
ลู่เจียวมองต้าเป่าอย่างหมดคำพูด ใครเป็นคนสอนเนี่ย
แต่ต้าเป่าทำท่าทางจริงจังมาก ถ้านางไม่ยอมเกี่ยวก้อย ก็แปลว่านางโกหกว่าจะกลับมา ลู่เจียวเลยจำใจเกี่ยวก้อยกับเขา
เอ้อร์เป่า ซานเป่าและซื่อเป่าหันไปมองต้าเป่า “ต้าเป่า เจ้าพูดจริงหรือ ใครโกหก คนนั้นจะกลายเป็นลูกหมาจริงหรือ”
ต้าเป่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จริงสิ”
เอ้อร์เป่า ซานเป่าและซื่อเป่ารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ ต่างก็หันไปมองลู่เจียวอย่างดีใจ “ท่านแม่ ครั้งหน้าพาพวกเราไปบ้านท่านยายด้วยได้หรือไม่”
พวกเขายังไม่เคยไปบ้านยายเลย
ครั้งนี้ลู่เจียวตอบตกลงทันที “ได้สิ”
ท้ายที่สุด พวกเขาก็ไม่กังวลเรื่องลู่เจียวไม่กลับมาอีก เพราะถ้านางโกหก นางก็จะกลายเป็นลูกหมา นางต้องกลับมาแน่นอน
ลู่เจียวกินมื้อเช้าเสร็จก็ล้างจานและป้อนยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นจนเรียบร้อยนั้นค่อยออกจากบ้าน ก่อนจะจากไปก็ขอให้เซี่ยเสี่ยวเป่ามาเฝ้าบ้านแทนนาง จะได้ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่อง
เซี่ยเสี่ยวเป่าตอบกลับอย่างไม่ลังเล ลู่เจียวแบ่งลูกกวาดให้เขาสามเม็ดแทนคำขอบคุณ
เซี่ยเสี่ยวเป่าเลยไปอยู่เป็นเพื่อนแฝดสี่ด้วยความเต็มใจ
ลู่เจียวแบกตะกร้าสานกลับบ้านมารดา
ซื่อเป่าที่เดิมทีเล่นกับเซี่ยเสี่ยวเป่าอยู่ดีๆ ก็วิ่งออกมานอกรั้ว แล้วโบกมือให้ลู่เจียวด้วยน้ำตา “ท่านแม่ ต้องกลับมานะ”