ลู่เจียวกระตุกมุมปากอย่างไร้คำจะเอ่ย “รีบอึให้เสร็จได้ไหม ข้ายังต้องไปฆ่าไก่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ปล่อยมือ เขาพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าออกไป ข้าจะจัดการเอง”
ลู่เจียวเงยหน้ามองเขา แล้วมองขาของเขา กระดูกขาของเขาแตก ไม่มีทางยืนเองได้อยู่แล้ว ตอนนี้นางยังต้องประคองเขาไว้อยู่เลย หากนางปล่อย เขาจะยืนได้อย่างไร แล้วจะนั่งยองได้อย่างไร
ลู่เจียวกำลังจะพูด เสียงของเซี่ยเอ้อร์จู้ดังขึ้นจากนอกเรือน “น้องสาม เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สิ้นเสียงเซี่ยเอ้อร์จู้ก็เดินเข้ามา ทันใดนั้นก็เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกอดลู่เจียวไว้แน่น
เซี่ยเอ้อร์จู้มองซ้ายแลขวาวางตัวไม่ถูก เซี่ยอวิ๋นจิ่นตะโกนขึ้นว่า “พี่รอง มาช่วยข้าที”
ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นยังคงดื้อดึง ก็รู้ว่าเขาไม่อยากให้นางช่วยจริงๆ เช่นนั้นก็ให้เซี่ยเอ้อร์จู้ช่วยเขาเถอะ
ลู่เจียวจึงพูดว่า “พี่รอง มาช่วยข้าที”
ไหนๆ สองสามีภรรยาก็เรียกเขาแล้ว เขาเลยต้องจำเข้าไปเป็นก้างขวางคอ
พอเดินไปถึงก็เห็นถังอุจจาระที่อยู่ด้านหลังของเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยเอ้อร์จู้จึงเข้าใจทันที ที่แท้คนอื่นแค่อยากจะถ่ายอุจจาระ ไม่ได้จะทำอะไรกันในกลางวันแสกๆ
ลู่เจียวมองเซี่ยเอ้อร์จู้พร้อมกำชับขึ้น “พี่รองช่วยประคองให้เขานั่งอึบนถังหน่อย เขาขาหักเช่นนี้ คงยืนเองไม่ได้ พี่รองช่วยเขาหน่อยเถอะ”
เซี่ยเอ้อร์จู้พยักหน้าทันที “น้องสามวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร”
ลู่เจียวฝากเซี่ยอวิ๋นจิ่นไว้กับเซี่ยเอ้อร์จู้ ตัวเองกำลังจะเดินออกไปด้านนอก ก่อนออกไปก็ไม่ลืมพาแฝดสี่ออกไปด้วย
แฝดสี่รู้ความมาก รู้ว่าบิดาไม่อยากให้คนอื่นเห็นตอนที่เขาเข้าสุขา ฉะนั้นเลยเดินตามไปด้วยความเชื่อฟัง
ลู่เจียวไม่ได้รีบล้างเครื่องในหมูและส่วนอื่นๆ แต่ไปฆ่าไก่เอาไปตุ๋นหนึ่งตัว จากนั้นค่อยหาเวลาว่างมาจัดการกับเนื้อหมูที่เหลือ เซี่ยหู่ทำความสะอาดหัวหมูและขาหมูสะอาดดี เครื่องในต่างๆ ยังถือว่าทำความสะอาดได้ง่าย ทว่าไส้หมูนี่สิ ทำค่อนข้างยาก
ลู่เจียวใช้ขี้เถ้าไม้ล้างไส้หมู นางไม่อยากใช้แป้งและเกลือมาล้างเพราะสิ้นเปลืองเกินไป แค่ขี้เถ้าไม้ก็ล้างไส้หมูให้สะอาดได้แล้ว
หลังจากล้างไส้หมูสะอาด ลู่เจียวถือโอกาสตอนที่คนอื่นไม่ทันสังเกต เก็บของพวกนี้เข้าไปในห้วงอากาศ ตอนนี้เป็นฤดูร้อน ขืนไม่เก็บไว้ในนั้นของคงจะเน่าเสีย
ตอนนี้ลู่เจียวถึงเพิ่งจะสังเกตเห็นข้อดีอีกหนึ่งอย่างของห้วงอากาศ ถึงฤดูร้อนยังเอามาใช้เป็นตู้เย็นได้ด้วย
ในเรือนตะวันออก เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็จัดการกับธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เซี่ยเอ้อร์จู้อุ้มเขาขึ้นไปบนเตียง ใส่เสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อย จากนั้นยกถังอุจจาระไปล้างให้สะอาด
ลู่เจียวอยากให้เนื้อหมูกับเซี่ยเอ้อร์จู้ ทว่าเขาอาศัยในเรือนใหญ่ ให้ของพวกนี้กับเขา ก็คงตกมาถึงเขาไม่เยอะอยู่แล้ว
ลู่เจียวคิดพลางหันไปมองเซี่ยเอ้อร์จู้พร้อมพูดขึ้น “พี่รอง อันที่จริงข้าควรแบ่งเนื้อหมูป่าให้ท่าน แต่ท่านเอากลับไปก็คงไม่ได้กินอยู่ดี เอาอย่างนี้ ตอนกลางคืนท่านมาเอาเครื่องในหมูหมักเกลือที่นี่ ข้าจะเตรียมเอาไว้ให้ท่านหนึ่งถ้วย เอากลับไปให้พี่สะใภ้และยัยหนูสองคนชิม”
เซี่ยเอ้อร์รีบโบกมือ “ไม่ต้อง ไม่ต้อง เจ้าเก็บไว้ให้น้องสามบำรุงร่างกายเถอะ”
ลู่เจียวพูดยิ้มๆ “ที่นี่ยังมีเยอะเลย อ้อ ใช่แล้ว ท่านให้ยัยหนูใหญ่และยัยหนูรองมาเที่ยวที่นี่สิ ข้าจะได้ทำอะไรให้พวกนางกิน เพราะข้าไปที่นั่นไม่ได้จริงๆ”
เซี่ยเอ้อร์จู้รีบส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก พวกนางกินข้าวที่บ้านก็พอแล้ว”
ลู่เจียวมองเซี่ยเอ้อร์จู้ด้วยความไม่สบอารมณ์ “พี่รอง นี่ท่านกำลังตีตัวออกหากจากพวกเราอยู่หรือ ทีแรกข้ายังอยากวานพี่รองทำนู่นนี่อยู่เลย แต่ดูท่าแล้ว ข้าคงไม่กล้าเอ่ยปากเสียแล้ว”
เซี่ยเอ้อร์จู้ได้ยินลู่เจียวพูด ก็รีบพูดขึ้นทันที “น้องสะใภ้สามจะให้ข้าทำอะไรหรือ”
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงพริบตาหนึ่ง “ตอนข้าดูแลอวิ๋นจิ่นก็ไม่ได้ติดปัญหาอะไร เพียงแค่ตอนอึตอนชิ้งฉ่องเท่านั้นที่ไม่สะดวก วันหลังก็ช่วยหาเวลาว่างมาที่นี่ทุกคืนได้หรือไม่”
เซี่ยเอ้อร์จู้งงงวย “เรื่องอึเรื่องชิ้งฉ่องกระนั้นหรือ”
ลู่เจียวหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียง เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าเหมือนคนไร้ทางเลือก มองนางด้วยแววตาเย็นยะเยือก
เซี่ยเอ้อร์จู้เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจทันทีว่า ‘อึ ชิ้งฉ่อง’ หมายความว่าอะไร เลยพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ข้าจะมาที่นี่ทุกคืนเลย”
“อืม เช่นนั้นคืนนี้ก็อย่าลืมมาที่นี่ด้วยแล้วกัน” ลู่เจียวพูดจบ เซี่ยเอ้อร์จู้ก็ผายมือ วันนี้น้องสามอึแล้ว คงไม่ต้องมาแล้วกระมัง
ทว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงพูดว่า “คืนนี้พี่รองมาที่นี่หน่อยเถอะ วันหลังถ้ายัยหนูใหญ่ยัยหนูรองไม่มีอะไรทำ ก็พามาเล่นกับเด็กๆ ก็ได้”
เซี่ยเอ้อร์จู้นับถือเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่สุด เขารู้สึกว่าน้องสามคนนี้ฉลาดหลักแหลมตั้งแต่เด็ก อีกทั้งตัวเขายังเชื่อฟังคำสั่งของน้องสามที่สุด เวลานี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ย เซี่ยเอ้อร์จู้จึงเป็นอันตอบตกลง “ก็ได้”
“อืม พี่รองกลับไปเถอะ อย่าให้พวกเขาเห็นว่าท่านมาที่นี่เลย ไม่เช่นนั้นจะโดนต่อว่าอีก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่แม้แต่จะเอ่ยคำว่าพ่อแม่เลย เซี่ยเอ้อร์จู้อ้าปากหมายจะกล่อมหูเขา ทว่าพอคำพูดกำลังออกจากปากก็เก็บกลืนกลับลงไป จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
ภายในเรือน ลู่เจียวเดินไปข้างเตียง “ตอนบ่ายข้าจะไปขายเห็ดหลินจือในเมือง ยาของเจ้ากับข้าวสารในบ้านใกล้หมดแล้ว อีกอย่างลูกๆ ก็แทบไม่มีเสื้อผ้าใส่เลย ข้าคิดว่าจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเขาคนละสองชุด”
ลู่เจียวพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไป แล้วกำชับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าดูแลเจ้าพวกตัวแสบให้ดีล่ะ อย่าให้พวกเขาวิ่งเล่นไปเรื่อยเด็ดขาด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ตามองแม่นางคนนี้ ดวงหน้าของนางก็ยังกลมมนเหมือนคนเดิมนี่
ยามนี้นางกลับอ่อนโยนและร่าเริงเป็นพิเศษ คำพูดที่ออกจากปากไม่ได้ฟังดูน่าเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย พอเขาที่เริ่มสงบสติอารมณ์ได้มาได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็รู้สึกว่านางเป็นห่วงแฝดสี่เช่นกัน ความเป็นห่วงนี้ไม่ได้จอมปลอมเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นความรักจากใจจริงๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่งจะมีสองบุคลิกได้อย่างไร จึงอดขมวดคิ้วแล้วตอบกลับเสียงเบาไม่ได้ “อืม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดจบ จู่ๆ ก็นึกถึงคำพูดที่ลู่เจียวเคยเอ่ย ที่ผ่านมาเพราะนางคลั่งไคล้ในความรักเกินไป ถึงทำให้นางบ้าบิ่นเช่นนั้น
ทว่าทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ถูกเขาปฏิเสธ แม่นางตรงหน้าดูมั่นใจในตัวเองเหลือเกิน นิสัยใจคอของนาง เห็นได้ชัดว่าถูกสั่งสอนมาอย่างดี ครอบครัวบ้านนอกไม่อาจอบรมสั่งสอนได้ดีเช่นนี้แน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกว่า ต่อให้เป็นสตรีชั้นสูงในอำเภอ ก็อาจจะยังไม่มีวาจาและท่าทางเช่นนี้ได้ ฉะนั้นแม่นางผู้นี้ไม่เหมือนนางในตอนแรก
ภายในเรือน หลังจากลู่เจียวคุยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นจบก็หันหลังเดินจากไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับจับตามองทุกฝีก้าวของนาง ท่าเดินสุขุมและสง่า ไม่ถ่อมตนและไม่ถือตัวเกินไป
เขามองแผ่นหลังของนาง จู่ๆ ก็แน่ใจอะไรบางอย่าง นี่ไม่ใช่ลู่เจียว นางคือใคร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดไม่หยุด จึงมีความคิดบางอย่างผุดขึ้น
นึกถึงเรื่องอัศจรรย์ที่เคยเจอในตอนนั้น มีปัญญาอ่อนคนหนึ่งเกิดเป็นลมหมดสติไป พอตื่นขึ้นมาอีกที ไม่เพียงแต่ไม่โง่เขลา กลับฉลาดไร้เทียมทาน แล้วยังสอบเป็นบัณฑิตได้อีกด้วย
ชาวบ้านเรียกคนแบบนี้ว่าได้สติปัญญามาจากเทพเซียน
ตอนนั้นพอเซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็น ก็คิดว่าคนคนนั้นถูกผีเข้าสิงกระมัง ฉะนั้นลู่เจียวก็อาจถูกผีเข้าสิงอีกคน