เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของลู่เจียว สีหน้าก็ไม่เย็นชาเท่าเมื่อครู่แล้ว
ลู่เจียวยื่นมือไปพยุงให้เขาเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อป้อนยา
แสงไฟสีทองสลัวตกกระทบลงบนใบหน้าชายผู้นี้ ยิ่งขับให้เขาที่เดิมก็ดูดียิ่งหล่อเหลามีราศีมากขึ้น เขาที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ขนตางอนยาวดั่งพัด รับกับจมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากที่แม้จะไม่มีสีเลือด แต่ดูเย้ายวนใจ
เขาที่ปั้นหน้าเย็นชาน้อยลง ยิ่งสมเป็นคุณชายรูปงามดั่งพระจันทร์ทรงกลด
ลู่เจียวมองเขา อดนึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของหนังสือเล่มนั้นไม่ได้ ‘ต่อให้ใต้เท้าโส่วฝู่จะเป็นชายวัยกลางคน แต่ก็ยังดูอ่อนวัย งดงามเป็นหนึ่งในต้าโจว ท่าทางสง่าผ่าเผย ไม่มีใครเทียบเทียมได้’
ตัวละครที่รูปงามและมากความสามารถ กลับเป็นดาวร้ายในนิยาย
ลู่เจียวกำลังคิดเรื่องใต้เท้าโส่วฝู่ เซี่ยอวิ๋นจิ่นดื่มยาหมดแล้วก็เงยหน้ามองนาง พูดเสียงเย็น “ดื่มหมดแล้ว”
ลู่เจียวได้สติกลับมา นางกำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เจ้าหมอนี่เกลียดนางมาก แววตาที่มองนางอาฆาตจนอยากฆ่านางให้ตาย ฉะนั้นนางต้องรักษาขาของเขาให้หายเร็วที่สุด
ลู่เจียวคิดพลางชำเลืองมองชาม จากนั้นเอาชามเปล่าวางบนชั้นวางเก่า แล้วพยุงเขานอนลง
ก่อนจะไป นางยังเอ่ยว่า “ขมหรือเปล่า จะกินลูกกวาดหน่อยไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันข้าง ขมวดคิ้วมองนาง “ไม่กิน”
ลู่เจียวต่อว่าตัวเองในใจว่าเหตุใดถึงเป็นคนปากไวเช่นนี้ ทว่าพอนึกถึงเรื่องที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำในวันนี้ ก็อดกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่ได้
“ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปอย่าวู่วามลงจากเตียงอีก พักฟื้นร่างกายดีๆ ถ้ายังลงจากเตียง แผลจะหายได้อย่างไร”
ตอนนี้ต่อให้อยากผ่าตัดให้เขา ก็ต้องรักษาอาการปวดศีรษะและเลือดที่คั่งในม้ามให้หายดีก่อน ถึงจะทำการผ่าตัดได้
ถ้าเขายังขยับร่างกายมั่วซั่วเช่นนี้ อาการปวดศีรษะและเลือดคั่งในม้ามคงหายาก ไม่มีวันผ่าตัดได้แน่ๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของลู่เจียวก็เอ่ยขัด “ข้ารู้สึกว่าข้าดีขึ้นมากแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
ลู่เจียวจ้องหน้าเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง เจ้าคิดว่านั่นเป็นเพราะร่างกายของเจ้าดีขึ้นหรือ นั่นเป็นเพราะข้าให้เจ้าดื่มน้ำวิเศษ รักษาความสมดุลของร่างกายเจ้าไว้ต่างหาก แต่นี่ไม่ได้ช่วยขับเลือดที่คั่งในม้ามและรักษาอาการปวดศีรษะให้ดีขึ้นได้หรอกนะ
ทว่าเรื่องของน้ำวิเศษ ลู่เจียวไม่อาจเอ่ยออกจากปากได้ ฉะนั้นนางทำได้เพียงจ้องหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น พร้อมตักเตือน
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะดีขึ้นหรือไม่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องนอนอยู่บนเตียงดีๆ จะกินข้าว หรือขับถ่ายก็ต้องทำบนเตียงเท่านั้น”
สีหน้าของเซี่ยอวิ๋นจิ่นหม่นหมองทันที อะไรคือกินข้าวขับถ่ายก็ต้องทำบนเตียง แม่นางผู้นี้คือหญิงแท้หรือไม่
เวลานี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นสงสัยมาก วิญญาณที่อยู่ในร่างของแม่นางตรงหน้า อาจจะเป็นบุรุษคนหนึ่ง
“เจ้าคือแม่นางจริงหรือ”
ลู่เจียวแสยะยิ้มเย็นชา “เหอะ เป็นแม่นางแล้วพูดเรื่องกินเรื่องขับถ่ายไม่ได้หรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถลึงตามองนาง คำพูดและท่าทางของนางล้วนดูเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำแม้แต่น้อย อีกอย่าง ช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาตั้งใจจับตามองทุกกริยาของนาง ล้วนไม่เหมือนบุรุษจริงๆ ฉะนั้นคนคนนี้คือสตรีหรือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังครุ่นคิด ลู่เจียก็วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไปข้างนอกแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดว่านางคงออกไปทำงานต่อ
ไม่นึกเลยว่าลู่เจียวจะเอาโครงไม้ไผ่รูปทรงแปลกประหลาดกลับเข้ามา “เห็นเจ้าสิ่งนี้ไหม เอาไว้ตั้งบนเตียงตอนที่เจ้าอยากขับถ่าย จะได้สะดวกขึ้น”
เซี่ออวิ๋นจิ่นมองของในมือของลู่เจียว สีหน้าก็อดหม่นหมองไม่ได้ แววตาแผ่ซ่านความเย็นชา
“นี่มันของบ้าอะไรกัน”
ลู่เจียวเห็นเขามีท่าทีเคร่งเครียด ก็ไม่ได้หวาดกลัวเขาแม้แต่น้อย กลับรู้สึกสาแก่ใจที่ทำให้เขาเครียดขึ้นมาได้
“อันนี้หรือ แค่สอดไว้ใต้ร่างของเจ้าก็พอ…”
นางยังพูดไม่จบ บุรุษบนเตียงก็กัดฟันกรอด “ข้าไม่ต้องการ เอากลับไปเถอะ”
เขามั่นใจมากว่าตัวเองคงขับถ่ายบนนี้ไม่ออกแน่นอน
ต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็จะถ่ายบนพื้น ไม่มีทางนอนถ่ายบนเตียงและถ่ายบนของแปลกประหลาดอะไรนี่แน่ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องถ่ายไม่ออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่สงสัยว่าลู่เจียวตั้งใจกลั่นแกล้งเขา จึงมองนางด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าตั้งใจกลั่นแกล้งข้าหรือ”
ลู่เจียวกลอกตามองบน อะไรคือตั้งใจกลั่นแกล้ง นางอุตส่าห์หวังดีทำกระโถนถ่ายอุจจาระให้เขา เขากลับคิดเช่นนี้ ไม่เห็นความตั้งใจดีของคนอื่นจริงๆ
ลู่เจียวเก็บกระโถน สาวเท้าก้าวใหญ่ “แล้วแต่เจ้า อยากทำอย่างไรก็เชิญ”
ทว่าตอนที่เดินไปถึงตรงประตู นางก็นึกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง จึงหันกลับไปจ้องหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างออก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแค่เห็นท่าทางของนาง ก็สงสัยว่านางจะเล่นอะไรไม่ชอบมาพากลอีก เตรียมจะไล่นางออกไปด้านนอก
ลู่เจียวกลับชิงเอ่ยก่อนอย่างรวดเร็ว “เซี่ยอวิ๋นจิ่น ข้าอยากถามเจ้า วันนี้เจ้าค่อยๆ คลานลงจากเตียง หรือว่าหกล้มตั้งแต่ลงจากเตียงแล้ว”
ลู่เจียวกลัวว่าเขาจะใช้ขาเดินมากเกินไป เพราะถ้าขาหักเป็นครั้งที่สอง บาดแผลก็ต้องสาหัสกว่าเดิม นางยอมให้เขาคลานออกไปด้านนอกดีกว่า
เพียงแต่นางเพิ่งพูดจบ ชายบนเตียงก็กัดฟันกรอด “ไสหัวออกไป”
ลู่เจียวเห็นเขาดูโมโหเดือดดาลก็ไม่อยากสนใจเขาอีก หันหลังเดินออกมา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดือดดาลอย่างมาก วันนี้แฝดสี่โดนคนอื่นรังแก ความรู้สึกไร้ความสามารถจนช่วยเหลือบุตรตนเองไม่ได้ผุดขึ้นมากลางใจของเขาอีกครั้ง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ แม้กระทั่งบุตรชายก็ยังปกป้องไว้ไม่ได้ ตอนนั้นเขาพยุงผนังเดินออกไปข้างนอก ไม่สนใจสักนิดว่าจะต้องคลานบนพื้น หรือขาจะหักอีกครั้งหรือไม่
แต่ขาของเขาไม่มีแรงแม้แต่น้อย สุดท้ายก็ล้มลงบนพื้น แต่เพราะได้ยินเสียงร้องไห้ของบุตรชาย จึงฝืนคลานออกไปด้านนอก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงสภาพแสนอาภัพของตัวเองในตอนนั้น อารมณ์ก็ลุกเป็นไฟขึ้นมา นัยน์ตาแดงก่ำ ภายในใจคิดเพียงอย่างเดียวว่า เขาจะรักษาขา ต้องรักษาให้หาย เช่นนั้นเขาถึงจะปกป้องบุตรได้ ถึงจะลุกขึ้นยืนด้วยความสง่างามได้อีกครั้ง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอย่างมีสติพลางอดกลั้นความเดือดดาลในใจ เขาควรไปขอความช่วยเหลือจากใครดี
ก่อนหน้านี้หมอโจวเคยบอกว่าหมอทหารผ่าตัดเป็น อาจจะรักษาขาของเขาให้หาย ฉะนั้นเขาต้องไปหาหมอทหารคนนี้ให้ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดได้ดังนี้ก็สงบสติอารมณ์ได้ทันที แล้วจะหาคนคนนั้นอย่างไร
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ลู่เจียวเคยบอกว่าจะหาหมอทหารมารักษาขาให้เขา แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เชื่อ นางเป็นเพียงแม่นางแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักอย่างลึกซึ้ง แล้วจะหวังดีหาหมอทหารให้เขาได้อย่างไร ฉะนั้นเขาต้องพึ่งพาตัวเอง