ลู่เจียวพูดจบก็เงยหน้ามองแฝดสี่ที่มีแผลบนใบหน้า ดีที่แค่ผิวหนังถลอกเท่านั้น ไม่บาดเจ็บถึงกระดูกเส้นเอ็น เพียงแต่เพราะผิวบอบบางเกินไป ทำให้เขียวช้ำได้ง่าย
ดูภายนอกเหมือนจะน่ากลัว อันที่จริงแล้วไม่ได้เป็นอะไรมาก ทว่าน่าสงสารยัยหนูสองคนของตระกูลเสิ่น เห็นชัดว่าแม่หม้ายหลี่ชกตีพวกนางไปไม่เบา
ลู่เจียวไม่เห็นใจคนอื่น ทุกคนล้วนมีโชคชะตาของตัวเอง นางไม่ใช่แม่พระ
“คราวหลังเจอเรื่องแบบนี้ อย่าไปสู้กันคนอื่น ปล่อยให้พวกนางเอาของกลับไปก่อน ข้ากลับมาจะมาจัดการให้ พวกเจ้าตัวเล็ก สู้ไปก็เจ็บตัวไปเปล่าๆ”
ต้าเป่าเงยหน้ามองนางเพียงปราดเดียว แล้วทำหน้ามุ่ย “ก็ท่านสั่งให้พวกเราเฝ้าไก่และไข่ไว้ดีๆ พวกเราเลยไม่ยอมให้นางเอาไป”
ลู่เจียวตะลึงงัน เพราะว่านางสั่งหรือ ทันใดนั้นนางก็ค่อนข้างเจ็บปวดใจ
“อืม ข้ารู้แล้ว วันนี้พวกเจ้าทำดีมาก วันหลังอย่าให้ตัวเองถูกเอารัดเอาเปรียบก็พอ”
พูดจบ นางก็ล้วงเอาลูกกวาดแปดเม็ดออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นให้แฝดสี่ “นี่เป็นสิ่งที่สัญญาว่าจะให้พวกเจ้า เอาไปคนละสองเม็ด”
แฝดสี่มองลูกกวาดในมืออย่างตกตะลึง นี่เป็นลูกกวาดจริงด้วย
ซื่อเป่าจึงเงยหน้าด้วยความดีใจ จุดที่โดนทำร้ายเหมือนจะไม่เจ็บแล้ว “ท่านแม่ ท่านซื้อลูกอมมาให้พวกเราจริงหรือ”
คำพูดของซื่อเป่าทำให้บรรยากาศในเรือนอึดอัดขึ้นมา ลู่เจียวตะลึงงันไปชั่วขณะ
แฝดพี่สามคนหันไปมองซื่อเป่าอย่างพร้อมเพรียง
ซื่อเป่าชะงักงันไป แล้วเงยหน้ามองลู่เจียวปราดหนึ่ง เห็นลู่เจียวไม่โกรธเลยสักนิด
เขาหันไปมองพี่ชายทั้งสาม ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยเรียกมารดาอำมหิตคนนี้ว่าท่านแม่ ตอนนี้เขาเรียกว่าท่านแม่แล้ว ต้าเป่า เอ้อร์เป่าและซานเป่าจะโกรธหรือไม่
ซานเป่าดูโกรธอย่างเห็นได้ชัด พอเห็นซื่อเป่าทอดสายตามาที่เขา เขาก็ถลึงตามอง จากนั้นก็ไม่มองน้องชายอีก
ซื่อเป่าค่อนข้างทำตัวไม่ถูก แต่ตอนที่หันไปมองลู่เจียว เขากลับแย้มยิ้ม เขาเรียกท่านแม่ ท่านแม่ไม่ได้อนุญาตให้เขาเรียกนี่ เขาก็แค่ดีใจที่มีมารดาแล้ว
“ท่านแม่”
ลู่เจียวนึกว่าเขาเรียกนางเพราะมีเรื่องเร่งด่วนอะไร ฉะนั้นจึงตอบกลับทันที “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือ”
ซื่อเป่าส่ายหัว ผ่านไปสักพักก็เรียกว่า “ท่านแม่”
ครั้งนี้ลู่เจียวรู้แล้วว่าเจ้าเด็กน้อยนี่แค่อยากเรียกเท่านั้น เลยปล่อยให้เขาเรียกตามอำเภอใจ เขาเรียกทุกครั้ง นางก็ตอบทุกครั้ง
แฝดพี่สามคนยิ่งฟังยิ่งโกรธ แต่ผ่านไปพักใหญ่ก็ไม่ขยับไปไหน ลู่เจียวก็ไม่ได้สนใจพวกเขา
ลู่เจียวใช้ผ้าเก่าเช็ดหน้าเช็ดตัวแฝดสี่คนจนสะอาดหมดจด ค่อยยกกะละมังออกไปด้านนอก
สามแฝดมองซื่อเป่า “เหอะ เจ้ากล้าเรียกนางว่าแม่ เราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่เรียกไม่ใช่หรือ”
“ข้าไม่สนใจเจ้าแล้ว”
“ข้าก็ไม่สนใจเจ้าเหมือนกัน”
สามแฝดไม่ยอมมองซื่อเป่า
ลู่เจียวที่อยู่ด้านนอกเอาเสื้อผ้าที่ซักสะอาดเข้ามา สวมเสื้อผ้าให้พวกเขา
นางดูออกอยู่แล้วว่าแฝดผู้พี่สามคนกับน้องชายคนสุดท้องเกิดเรื่องหมางใจกัน ทว่ากลับทำเป็นไม่รู้ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็ทายาแก้อักเสบให้พวกเขา ตามด้วยสวมเสื้อกั๊กตัวเก่าให้เด็กๆ
ซื่อเป่าเห็นพี่ๆ ไม่สนใจเขา เลยรีบวิ่งมาจูงมือลู่เจียวไว้ “ท่านแม่”
ลู่เจียวก้มหน้าลง เห็นดวงตาดั่งดอกท้อของเขาเป็นประกายอันงดงาม นางก็รู้สึกอบอุ่นเกินบรรยาย
“เป็นอะไรไป”
“ท่านแม่ ข้าจะไปกับท่าน”
“ได้” ลู่เจียวจูงมือเขาเดินไป นางไม่ได้สนใจว่าแฝดสี่คนจะเรียกนางว่ามารดาหรือไม่ เพราะว่านางไม่ได้คิดจะอยู่กับพวกเขาต่อ แต่พอซื่อเป่าเรียกนางว่าท่านแม่ นางกลับรู้สึกอบอุ่นและดีใจเป็นพิเศษ
เอ้อร์เป่าและซานเป่าที่อยู่ด้านหลังมองต้าเป่า “ต้าเป่า ซื่อเป่ากล้าเรียกนางมารร้ายนั่นว่าแม่”
ต้าเป่าขมวดคิ้วเป็นปม ท่าทางเช่นนี้เหมือนกำลังครุ่นคิดเรื่องใหญ่
เอ้อร์เป่าและซานเป่าจ้องหน้าเขา ราวกับรอเขาตัดสินใจอะไรเรื่องนี้
ลู่เจียวที่อยู่ด้านนอกเติมน้ำอีกหนึ่งกะละมัง เตรียมเช็ดตัวให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่าเขาออกไปได้อย่างไร ตอนนี้เสื้อเขาเปื้อนทั้งฝุ่นทั้งเลือด สกปรกจนดูไม่ได้ ต้องเช็ดตัวเขาให้สะอาด แล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้า
โชคดีที่วันนี้นางซื้อเสื้อผ้ากลับมาให้เขาสองชุด
ลู่เจียวยกกะละมังน้ำ เพิ่งพาซื่อเป่าเดินมาถึงหน้าประตูตะวันออก ก็ได้ยินต้าเป่าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาจะเรียกท่านแม่ก็ปล่อยให้เขาเรียกเถอะ พวกเราแค่ไม่ต้องสนใจเขาก็พอ”
ลู่เจียวกำลังจะยกน้ำเข้าไปพอดี ได้ยินต้าเป่าพูดเช่นนี้ ก็พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “จะเรียกหรือไม่เรียก ข้าก็เป็นมารดาพวกเจ้าอยู่ดี อย่ามารังแกซื่อเป่าเช่นนี้”
เอ้อร์เป่าและซานเป่าได้ยินคำพูดของลู่เจียว ก็มีท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม “เจ้าเป็นคนไม่ให้พวกเราเรียกเอง”
คำพูดของพวกเขาทำให้ลู่เจียวนึกถึงเรื่องที่ร่างเดิมเคยทำ ร่างเดิมไม่เคยให้พวกเขาเรียกนางว่าท่านแม่ ถ้าเรียกก็จะตี ภายหลังแฝดสี่ตัดสินใจไม่เรียกนางว่าท่านแม่ แล้วเปลี่ยนมาเรียกว่านางมารร้ายแทน
ลู่เจียวนึกขึ้นได้ก็ยิ้มแห้งๆ “ก่อนหน้านี้ข้าทำผิดไป”
นางกลัวว่าเอ้อร์เป่าและซานเป่าจะพูดถึงประเด็นนี้อีก นางจึงเปลี่ยนประเด็น
“เอ้อร์เป่า ซานเป่า ข้ายังไม่ทันได้ถามอะไรอย่างหนึ่งเลย เอ้อร์เป่า ใครเป็นคนสอนให้เจ้าพูดหยาบคาย พวกคำว่าไอ้คนถ่อย ไอ้คนชั้นต่ำเช่นนั้น ใครเป็นคนสอนกันแน่”
ลู่เจียวจ้องหน้าเอ้อร์เป่า เอ้อร์เป่าถูกนางจ้องจนเริ่มผวา ทว่ายังคงเถียงกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านเป็นคนพูดจาหยาบคายแบบนั้นเอง”
ลู่เจียวสีหน้าหม่นหมอง กล่าวเสียงเรียบ “ข้าคือสตรีมีบุตรในบ้านนอก จะไปรู้จักกาลเทศะได้อย่างไร ฉะนั้นบางครั้งก็พูดจาไม่ค่อยเข้าหู แต่เจ้าเป็นเด็กผู้ชาย จะเลียนแบบคำพูดคำจาหยาบคายจากสตรีบ้านนอกได้อย่างไร ถูกไหม เจ้าดูสิ มีบุรุษที่พูดจาหยาบคายที่ไหนบ้าง”
เอ้อร์เป่าครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว “บิดาของเสิ่นต้านิวก็ด่าคนอื่นเช่นนี้เหมือนกัน”
ลู่เจียวเดือดดาล จ้องหน้าเอ้อร์เป่าทันที “ไม่ควรเลียนแบบบิดาของเสิ่นต้านิวที่สุด ไม่มีใครในหมู่บ้านเคารพเขาเลย เจ้าอยากโดนคนเกลียดเหมือนเขาหรือ”
เอ้อร์เป่าส่ายหัวทันที เขาอยากเหมือนบิดาต่างหาก ก่อนหน้านี้ทุกคนในหมู่บ้านดีกับบิดาตัวเองมาก
“เรื่องที่แล้วไปก็ช่างเถอะ ต่อไปเจ้าอย่าพูดจาหยาบคายอีก แน่นอนว่าหลังจากนี้ข้าก็จะไม่ด่าคนอื่นเช่นนั้นอีกแล้ว”
ลู่เจียวพูดจบก็ถามเอ้อร์เป่า “ได้ยินหรือยัง”
เอ้อร์เป่ามองลู่เจียวด้วยความสงสัย “ท่านจะไม่หยาบคายอีกจริงหรือ”
“แล้วช่วงนี้ข้าหยาบคายหรือไม่”
เอ้อร์เป่าครุ่นคิดแล้วส่ายหัว ช่วงนี้นางมารร้ายผู้นี้ไม่หยาบคายต่อผู้ใด แต่นับวันยิ่งใจดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งทำอาหารอร่อยให้กิน ปกป้องพวกเขา ซื้อลูกกวาดให้พวกเขากิน
เอ้อร์เป่าพึมพำเสียงเบา “ข้ารู้แล้ว วันข้างหน้าจะไม่หยาบคายใส่ใครอีกแล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แล้วมองซานเป่าที่อยู่ด้านข้าง เขายืดอกแผงเล็กๆ ทันที “ข้าก็จะไม่ทำเหมือนกัน”
ลู่เจียวแสยะยิ้ม “เหอะๆ เจ้าไม่สบถหยาบใส่ใคร แต่เจ้านั่งกลิ้งโวยวายเอาแต่ใจอยู่กับพื้น บอกว่าอะไรนะ ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วจริงๆ”
ลู่เจียวพูดจบก็นึกขึ้นได้ว่าร่างเดิมก็เคยทำตัวเอาแต่ใจเช่นนี้ จึงเงียบไปนิด ก่อนเอ่ยต่อ “วันข้างหน้าห้ามทำเช่นนี้อีก เกิดเป็นลูกผู้ชายก็ทำตัวให้เหมือนลูกผู้ชาย เจ้าดูพ่อเจ้าเคยกลิ้งโวยวายบนพื้นไหม”
ซานเป่าส่ายหัวทันที แล้วรับประกัน “วันข้างหน้าข้าจะไม่กลิ้งบนพื้นอีก”
ลู่เจียวไม่ได้สนใจแฝดสี่อีก นางยกน้ำเข้าไปข้างเตียง