เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งจะมีความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นในหัว พลันรีบก่นด่าตัวเองที่คิดไปเรื่อยเปื่อย เขาตั้งสติหันไปมองลู่เจียวด้วยความเย็นชา
“จะพักสักหน่อยไหม”
ลู่เจียวส่ายหัว “ข้าไม่เหนื่อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากเชื่อ นางเหนื่อยจนผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
งานทุกอย่างของคนทั้งครอบครัวตกเป็นหน้าที่ของนาง มิน่าล่ะนางถึงไม่ยอมพักผ่อน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ อันที่จริงนางใช้ชีวิตสบายหน่อยก็ได้ เขาไม่ได้โทษนางอยู่แล้ว แต่นางพยายามดูแลเขาและแฝดสี่มาโดยตลอด นางทำเช่นนี้ มีเป้าหมายอะไรกันแน่
หรือเป็นเพราะนางแค่อยากดูแลพวกเขาให้ดีจริงๆ จากนั้นค่อยหย่าร้าง แต่ต่อให้เพื่อหย่าร้าง ก็ไม่จำเป็นต้องสู้ชีวิตขนาดนี้กระมัง อย่างไรเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่เชื่อ ใต้หล้านี้ไม่มีใครทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทนอยู่แล้ว ช่างเถอะ วันข้างหน้าถ้านางขอร้องอะไรที่ไม่เกินความเหมาะสม เขาก็จะตอบตกลงทุกอย่าง ต่อให้นางจะขออยู่ต่อก็ตาม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นขบคิดไป ใจก็สงบลงไม่น้อย
ลู่เจียวไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดมากเช่นนี้ นางป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลางพูด
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่าจะสอนคนในหมู่บ้านให้รู้จักยาสมุนไพรใช่หรือไม่ รอให้เจ้าดีขึ้นหน่อยค่อยสอนพวกเขาแล้วกัน ตอนนี้ยังต้องดูแลเจ้าและเด็กๆ ข้ายังไม่มีเวลาว่างไปทำเรื่องอื่น”
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับบ้านข้าก่อน ดูว่าที่บ้านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ลำบากใจเพราะเงินห้าตำลึงนั่น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินลู่เจียวพูดก็รู้ว่านางมีเหตุมีผล จึงพยักหน้าเห็นด้วย และยังกำชับนาง
“เดินทางกลับบ้านก็ระวังตัวให้มากด้วยล่ะ บนเขามีงูและสัตว์มีพิษไม่น้อย มีคนมากมายเกือบตายเพราะสัตว์พวกนี้”
ลู่เจียวพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว ข้าจะระวังตัวให้มากแน่นอน”
นางพูดจบก็เพิ่งนึกได้ว่าคำพูดของเซี่ยอวิ๋นจิ่นดูเป็นห่วงเป็นใยนาง จึงอดเย้าเขาหน่อยไม่ได้ “นี่เจ้าเป็นห่วงข้าอยู่หรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินคำพูดของนางก็ปั้นหน้าปั้นปึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป พวกเราทั้งครอบครัวจะทำอย่างไร เจ้าอย่าคิดเอาเองฝ่ายเดียวสิ”
ลู่เจียวเบ้ปาก ไม่สนใจเขา อันที่จริงนางไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียวเสียหน่อย แค่หยอกเขาเท่านั้น นางรู้ว่าฮูหยินโส่วฝู่มีชะตาชีวิตเช่นไร
“ได้ ข้ารู้แล้ว วันหลังข้าจะไม่คิดไปเองฝ่ายเดียว”
นางพูดจบก็เก็บชามและตะเกียบเดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังไม่แม้แต่จะมองนาง หลับตาลงราวกับหลับไปแล้ว
ลู่เจียวเก็บกวาดทุกอย่างก็เตรียมตัวขึ้นเขาไปดักสัตว์ ก่อนขึ้นเขาก็ไปที่บ้านของซย่าซื่อ ขอให้ซย่าซื่อช่วยดูแลแฝดสี่ แล้วนางจะรีบไปรีบกลับ
ซย่าซื่อต้องยินดีอยู่แล้ว แล้วยังฝากให้ลู่เจียวตามเซี่ยเสี่ยวเป่ากลับมากินข้าวที่บ้าน
เซี่ยเสี่ยวเป่ามัวแต่ทำกับดักที่นางสอน ตอนเที่ยงก็ไม่ยอมกลับมากินข้าว
หลังจากลู่เจียวตอบรับ ก็แบกตะกร้าสานขึ้นเขาทันที
นางเจอกับเซี่ยเสี่ยวเป่าที่เปื้อนโคลนไปทั้งตัวตรงปากทางขึ้นเขา เซี่ยเสี่ยวเป่าจับกระต่ายมาได้หนึ่งตัว กระต่ายตัวไม่ใหญ่มาก ทว่าเซี่ยเสี่ยวเป่ากลับภาคภูมิใจอย่างมาก พอเห็นลู่ก็ร้องเสียงดัง
“อาสะใภ้สาม ข้าจับได้ จับได้แล้ว ข้าจะเอากลับไปให้แม่ข้าทำเนื้อต้มพะโล้”
ลู่เจียวเห็นว่ากระต่ายตัวไม่ใหญ่นัก จึงพยักหน้าพอเป็นพิธี
“ได้ กลับไปให้แม่เจ้าทำความสะอาด แล้วข้าจะเอาน้ำแกงพะโล้ที่บ้านข้าให้เจ้า เจ้าค่อยเอากลับไปต้ม”
“อืม”
เซี่ยเสี่ยวเป่ายกกระต่ายที่หนักราวๆ จินกว่าลงเขาไปอย่างมีความสุข ก่อนจะไปก็ยังให้คำมั่นสัญญาว่า “อาสะใภ้สาม ตอนข้าถึงบ้านจะช่วยดูแลลูกๆ ของท่านให้ดีแน่นอน ท่านวางใจเถอะ”
“อืม ถ้าข้าดักสัตว์ได้ จะเอามาแบ่งเจ้าตัวหนึ่ง”
ลู่เจียวขึ้นเขาไปดูกับดักที่ตัวเองวางไว้ก่อนหน้านี้ จากนั้นเอาเนื้อหมักที่เก็บไว้ในห้วงอากาศออกมาหนึ่งชิ้น ทาน้ำวิเศษแล้วค่อยโยนลงในกับดัก จากนั้นนางก็ไปเก็บยาสมุนไพรในป่าก่อน
นางเก็บสมุนไพรพวกนี้ไม่ได้เอาไว้ขาย แต่เอาไว้รักษาคนป่วยในหมู่บ้านเท่านั้น ไม่แน่ว่าอาจได้ใช้ยาสมุนไพรในวันข้างหน้าก็ได้ ถือโอกาสตอนที่ไม่มีอะไรทำ เก็บยาไว้ในห้วงอากาศก่อนดีกว่า
ลู่เจียวคิดพลางเก็บสมุนไพรไปด้วย ไม่นานก็เก็บสมุนไพรได้มากมาย นางใส่สมุนไพรบางส่วนไว้ในตะกร้า เก็บส่วนมากไว้ในห้วงอากาศ
เก็บสมุนไพรเสร็จ เวลาก็ผ่านไปพักใหญ่แล้ว นางจึงกลับไปดูกับดักที่วางไว้
ยังไม่ทันไปถึงข้างกับดัก ก็ได้ยินเสียงดิ้นรนของสัตว์ป่า ฟังจากเสียงแล้ว เหมือนจะได้เหยื่อตัวใหญ่
ลู่เจียวดีใจมาก สาวเท้าก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ในกับดักที่วางไว้มีเนื้อทรายที่ได้รับบาดเจ็บอยู่หนึ่งตัว ลักษณะภายนอกของเนื้อทรายจะคล้ายกวาง น้ำหนักราวๆ สามสิบสี่สิบจิน
เนื้อทรายตัวนี้ได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนใกล้จะตายแล้ว
ลู่เจียวเห็นคอของเนื้อทรายมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด จึงรีบโน้มตัวลงไปดึงเนื้อทรายขึ้นมาจากหลุม จากนั้นเอาถ้วยออกจากห้วงอากาศมาเก็บเลือดของมันไว้
เลือดเนื้อทรายเป็นของดี ช่วยบำรุงเลือดได้ดี เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังต้องการสิ่งนี้อยู่พอดี
ทว่าเนื้อทรายได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป ลู่เจียวเพิ่งจะเก็บเลือดได้ครึ่งถ้วย เนื้อทรายก็ตายแล้ว
นางรีบเก็บเนื้อทรายและเลือดเข้าไปในห้วงอากาศ จากนั้นโน้มตัวลงไปดูในกับดักอีกครั้ง ในหลุมยังมีกระต่ายถูกไม้ไผ่แทงตายอยู่สองตัว
ลู่เจียวรีบเอากระต่ายออกมา เก็บหนึ่งตัวเข้าไปในห้วงอากาศ ส่วนอีกตัวก็เอาไว้ในตะกร้า
ก่อนหน้านี้สัญญาไว้ว่าจะให้เซี่ยเสี่ยวเป่า ได้กระต่ายตัวนี้มาพอดีเลย
ลู่เจียวเก็บทุกอย่างเข้าที่แล้วก็ลุกขึ้นเดินลงเขา วันนี้ได้ของไปไม่น้อย อารมณ์นางจึงพลอยดีตามไปด้วย
เพียงแต่นางเพิ่งจะลงเขาได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังขึ้นจากด้านหน้า จากนั้นก็มีเสียงตะโกนขวัญหนีดีฝ่อ “พี่สวี่อดทนไว้ อดทนไว้”
“ท่านอาเซียว สีหน้าของพี่สวี่ไม่ค่อยดีเลย เกรงว่าคงจะลงเขาไม่ไหวแล้ว”
“โอ้สวรรค์ เหตุใดถึงโชคร้ายโดนงูสามเหลี่ยมกัดเช่นนี้”
“ถ้าพี่สวี่เกิดเรื่องขึ้นมาจริง ทั้งตระกูลสวี่จะทำอย่างไร”
“ครั้งนี้พี่สวี่ขึ้นเขามาก็เพื่ออวิ๋นจิ่น ไม่เช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานขนาดนี้”
ลู่เจียวได้ยินเสียงวุ่นวะวุ่นวายดังขึ้นจากด้านหน้า ซ้ำยังได้ยินคนเอ่ยถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่น นางจึงขมวดคิ้วแล้วก้าวเท้าไวๆ ตามเสียงไป
ไม่นานนางก็เห็นคนห้าหกคนแบกสัตว์ป่าลงเขาด้วยท่าทางตื่นตระหนก แต่มีสองคนในนั้นแบกเปลที่มีคนนอนอยู่
ลู่เจียวมองออกทันทีว่าคนบนเปลคือใคร ก็คือสวี่ตัวจิน หัวหน้าครอบครัวนายพรานในหมู่บ้าน ปกติล่าสัตว์หาเลี้ยงชีพ ทว่าต่อให้เขาจะล่าสัตว์ทั้งวัน ที่บ้านก็ยังคงหาเช้ากินค่ำอยู่ดี
ภายหลังเซี่ยอวิ๋นจิ่นแนะนำโรงน้ำชาและบ้านตระกูลชนชั้นสูงในเมืองให้เขาสองสามที่ พวกเขาถึงจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
คนคนนี้สำนึกในบุญคุณของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ถ้าไม่มีธุระใด ก็มักจะส่งของมาให้ตระกูลเซี่ย
ลู่เจียวนึกถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้ตระกูลสวี่ปกป้องแฝดสี่ เหมือนจะเป็นครอบครัวตระกูลสวี่ครอบครัวนี้
คนคนนี้เป็นอะไรไป
ลู่เจียวสาวเท้าก้าวใหญ่ไปตรวจดู ทันใดนั้นก็เห็นว่าเขาโดนงูกัดตรงน่อง น่องเขาบวมเหมือนต้นขา และดูเหมือนส่วนอื่นๆ จะเริ่มบวมตามไปด้วย
งูสามเหลี่ยมเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษของมันทำลายระบบประสาท หลังจากถูกมันกัดแล้ว คนที่ถูกกัดจะตายภายในแปดถึงเจ็ดสิบสองชั่วโมง ดังนั้นยิ่งจัดการกับพิษได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
ถ้าไม่รีบจัดการ ถึงแม้จะรักษาภายหลัง ก็จะกำจัดพิษงูไม่หมด ทำให้แก่เร็ว ผมและฟันจะร่วงเร็วขึ้น หลายคนเป็นอัมพาตและเดินไม่ได้ตลอดชีวิต
ลู่เจียวครุ่นคิดคิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยว่า “รอเดี๋ยวก่อน”