ตอนที่ 51 เรื่องวุ่นวายในการกู้ยืม
เอ้อร์เป่าและซานเป่าที่กำลังเล่นเสี่ยวเฮยและฮวาฮวาได้ยินซื่อเป่าร้องไห้งอแงก็กังวลใจตามไปด้วย ทั้งสองวิ่งไปประตูหน้าบ้าน แล้วตะโกนทั้งน้ำตา “ท่านแม่ ถ้าท่านไม่กลับมา ท่านจะเป็นลูกหมานะ”
ลู่เจียวรู้สึกจนปัญญา พลันสาวเท้าไปหมู่บ้านซิ่งฮวาโดยเร็ว การกลับบ้านเกิดครั้งนี้ เหตุใดถึงเหมือนว่าต้องจากกันชั่วชีวิต
นางกลับบ้านครั้งหน้า ต้องพาพวกเขาไปด้วยแน่นอน จะได้ไม่ต้องทุกข์ยากลำบากเช่นนี้
หมู่บ้านซิ่งฮวาอยู่ข้างหมู่บ้านเซี่ย เพียงแต่ทั้งสองหมู่บ้านคั่นกลางด้วยภูเขา ลู่เจียวกลับบ้านเกิดทีไรก็ต้องเดินอ้อมภูเขา ระยะทางอ้อมเขานี้ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม
หากเป็นร่างเดิม เกรงว่าคงจะเดินทางไกลขนาดนี้ไม่ได้ ทว่าไม่ใช่ปัญหาสำหรับลู่เจียว นางสาวเท้าก้าวใหญ่ ไม่นานก็ถึงหมู่บ้านซิ่งฮวา
ระหว่างทางก็ไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
หมู่บ้านซิ่งฮวาเหมือนหมู่บ้านเซี่ย เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ชาวบ้านส่วนมากคือคนสกุลลู่ ทันทีที่ลู่เจียวถึงหน้าหมู่บ้าน ก็มีคนทักทายนางไปไม่น้อย
ลู่เจียวทักทายกลับด้วยท่าทีที่ไม่ทะนงตัวและถ่อมตนเกินไป ท่าทางเช่นนี้ทำให้นางได้รับคำเชยชมไม่น้อย ทุกคนต่างชมว่านางสมกับเป็นแม่นางมากความสามารถ ตอนนี้กับแต่ก่อนไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
ลู่เจียวเดินกลับบ้านตัวเองตามความทรงจำของร่างเดิม บ้านของนางอยู่กลางหมู่บ้าน สถานที่ค่อนข้างหาง่าย
ลานบ้านลู่ค่อนข้างใหญ่ แต่ตัวบ้านเก่าชำรุด เรือนหน้าคือบ้านดินสามหลังต่อกัน ด้านซ้ายและขวาของบ้านดินสามหลังนี้คือเรือนข้างที่ติดกันข้างละสามหลัง ลานที่ใกล้หน้าประตูทางเข้าเป็นเล้าไก่
ลู่เจียวกำลังสังเกตทุกอย่าง ก็มีคนเดินออกมามองนางจากเรือนหน้า
คนคนนี้คือน้องชายของนางนามว่าลู่กุ้ย ลู่กุ้ยเห็นว่าเป็นลู่เจียวก็ขมวดคิ้วเป็นปม แล้วพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้ากลับมาทำอะไร”
ลู่เจียวก็ชักสีหน้าเช่นกัน กล่าวตามตรง นางรู้ว่าน้องชายคนนี้ไม่ชอบขี้หน้านาง นางเองก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเถียนซื่อ นางคงไม่กลับมา
นางไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนสกุลลู่เลยสักคน
ลู่เจียวแบกตะกร้าสานเข้าบ้านหน้าตาเฉย ขณะเดินก็พูดว่า “นี่เป็นบ้านข้า ข้ากลับมาไม่ได้หรือ”
ลู่กุ้ยได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์กว่าเดิม “เพราะเจ้า ในบ้านถึงมีปากเสียงกันเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะทำอะไรอีก”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของน้องชาย ก็รู้ว่าต้องเกี่ยวกับเงินที่เถียนซื่อให้นางแน่นอน
นางรู้สึกโชคดีทันที ยังดีที่นางเอาเงินกลับมาคืน ไม่เช่นนั้นเถียนซื่อคงจะลำบากใจไปมากกว่านี้
ลู่เจียวคิดแล้วก็แบกตะกร้าสานเดินไปห้องโถงโดยเร็ว ลู่กุ้ยยื่นมือขวางทางนางไว้ กลับโดนนางถลึงตาใส่จนต้องดึงมือกลับ
คนทั้งบ้านต่างก็ตื่นตกใจ จึงวิ่งออกมาจากรอบทิศ บ้างออกมาจากเรือนตะวันออก บ้างออกมาจากเรือนตะวันตก
เรือนหน้าฝั่งตะวันออกก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน คนคนนั้นก็คือบิดาของลู่เจียว ลู่ต้าเหนียน
ลู่ต้าเหนียนเห็นลู่เจียวก็หงุดหงิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลืมทักทาย “เจียวเจียวกลับมาได้อย่างไร”
ลู่เจียวมองเขาเพียงปราดเดียวเท่านั้นก็ไม่สนใจเขาอีก
เถียนซื่อที่อยู่เรือนหน้าฝั่งตะวันออกได้ยินเสียงด้านนอกก็ผุดลุกขึ้นทันที “เจียวเจียว เจียวเจียวกลับมาใช่หรือไม่”
ลู่เจียวแบกตะกร้าเดินเข้าไป “ใช่ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว”
ใบหน้าของเถียนซื่อค่อนข้างซีดเผือด นัยน์ตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา
ลู่เจียวเดินไปกุมมือนางแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือ”
เถียนซื่อพลันส่ายหัว “ไม่เป็นอะไร ข้าสบายดี เพียงแต่ว่าช่วงนี้ทำงานเหนื่อยไปหน่อย เลยนอนพัก”
เถียนซื่อพูดจบก็ไม่อยากเอ่ยถึงประเด็นนี้ต่อ นางดึงลู่เจียวเข้าไปใกล้ แล้วกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นว่าลู่เจียวผอมลงก็เกิดสงสารขึ้นมา “เจียวเจียว ทำไมลูกถึงผอมลงล่ะ”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของนางก็ลูบหน้าตัวเองโดยไม่รู้ตัว ช่วงนี้นางกินน้อยและออกกำลังกายหนักเลยผอมลงหน่อย แต่เพราะช่วงก่อนอ้วนเกินไปเลยไม่รู้สึกแตกต่าง นึกไม่ถึงว่าเถียนซื่อกลับทักนางเช่นนี้
“ท่านแม่ ผอมลงหน่อยก็ดี จะได้สวยขึ้น”
เถียนซื่อได้ยินคำพูดนางก็เอ็นดูจนน้ำตาคลอ “เจียวเจียวลำบากแล้ว ตอนนี้เจ้าต้องแบกรับหน้าที่ของคนทั้งบ้าน น่าสงสารจริงๆ”
นางกล่าวจบก็ยกมือลูบศีรษะลู่เจียวแล้วถาม “เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลากลับมาล่ะ เจ้ากลับมาแบบนี้แล้วอวิ๋นจิ่นกับเด็กๆ จะทำอย่างไร”
ลู่เจียวส่งยิ้มอ่อนโยนให้นาง “ข้าวานคนอื่นช่วยดูแลพวกเขาแล้ว ท่านแม่อย่ากังวลใจไปเลย”
ลู่เจียวพูดจบก็ควักสิบตำลึงเงินในแขนเสื้อยื่นให้เถียนซื่อ “ท่านแม่ ข้ากลัวว่าท่านจะไม่มีความสุขเพราะห้าตำลึงเงินที่ยืมมา พอข้าหาเงินได้ก็รีบเอาเงินกลับมาคืนท่านทันที”
เถียนซื่อได้ยินลู่เจียวพูดเช่นนี้แล้วจะรับไว้ได้อย่างไร ยังคงดึงดันไม่ยอมรับ
“ยังต้องซื้อยาให้อวิ๋นจิ่นมิใช่หรือ เอากลับไปซื้อยาให้เขา แม่ยังมีเงินเหลือ”
ลู่เจียวรู้ดีแก่ใจ เถียนซื่อหน้าซีดเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะคนสกุลลู่ทำให้นางไม่สบายใจ ไม่เช่นนั้นนางที่แข็งแรงขนาดนี้จะนอนเกียจคร้านอยู่บนเตียงได้อย่างไร
ลู่เจียวคิดแล้วก็ขยับเข้าไปข้างหูของเถียนซื่อ กระซิบว่า “ท่านแม่ ก่อนหน้านี้ข้าเก็บเห็ดหลินจือได้หนึ่งดอก เอาไปขายได้สองร้อยตำลึงเงิน ข้ามีเงินแล้ว เงินสิบตำลึงนี้ คืนท่านห้าตำลึง ส่วนอีกห้าตำลึงก็เก็บไว้ใช้เถอะ”
เถียนซื่อทำหน้าเหลือเชื่อใส่ลู่เจียว “จริงหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้าอย่างหนักแน่น เถียนซื่อมีความสุขขึ้นมาทันที สีหน้าพลอยดีขึ้นตามอารมณ์
ทว่านางไม่มีทางรับเงินสิบตำลึงของลู่เจียวไว้แน่นอน “เจ้าให้แม่ห้าตำลึงเงินก็พอแล้ว”
ลู่เจียวยังอยากพูดต่อ เถียนซื่อก็มองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ให้แม่ห้าตำลึงเงินก็พอ ตอนนี้พวกเจ้าต้องการใช้เงินด่วน รอให้ขาของอวิ๋นจิ่นดีขึ้น ค่อยมากตัญญูกับแม่ แม่ต้องรับไว้แน่นอน”
ลู่เจียวเห็นนางจริงจัง ก็รู้ว่านางไม่มีทางรับไว้ ทำได้เพียงเก็บเงินกลับไป แล้วเปลี่ยนเป็นให้ห้าตำลึงเงินแทน
เถียนซื่อรับเงินไว้แล้วลงจากเตียง รีบร้อนเดินไปข้างนอก บัดนี้ ลู่ต้าเหนียน บุตรชายสามคน และบุตรสะใภ้อีกสองคนยืนอยู่ตรงกลางลานบ้านลู่แล้ว
เถียนซื่อยื่นห้าตำลึงเงินในมือให้ลู่ต้าเหนียน “เอาไป เจียวเจียวคืนเงินแล้ว”
นางกล่าวจบก็มองลู่ต้าเหนียน “ตอนนั้นข้าตาบอดจริงๆ ถึงได้เชื่อว่าอยู่กับเจ้าแล้วจะไม่โดนข่มเหง”
ลู่ต้าเหนียนนึกไม่ถึงว่าเถียนซื่อจะโมโหเดือดดาลต่อหน้าบุตรี เขาพลันรู้สึกอึดอัดใจ มองลู่เจียวแล้วพึมพำ
“เจียวเจียว ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าที่บ้านไม่ช่วยเจ้า แต่พวกเราก็จนจริงๆ”
พี่สะใภ้ใหญ่ของลู่เจียวนามว่าซุนเหมยเห็นห้าตำลึงเงินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นมองลู่เจียวพลางพูดยิ้มๆ “น้องเจียว ที่สำคัญคือท่านแม่ไม่ยอมบอกพวกเราก่อนก็ไปยืมเงินคนอื่นแล้ว พวกเราเลยต่อว่านางสองสามประโยคเท่านั้น”
พี่สะใภ้รองนามว่าหูเซียงพลันสมทบ “พวกเราผิดไปแล้ว ก็ไม่คิดจะบังคับให้น้องเจียวคืนเงินมานี่”
ลู่เจียวมองพี่ใหญ่นามว่าลู่ผิงและพี่รองนามว่าลู่อันของร่างเดิม คนในลานบ้านคล้ายกับโทษเถียนซื่อเพราะห้าตำลึงเงิน
ลู่เจียวชักสีหน้าบึ้งตึงยิ่ง นี่ทั้งบ้านรวมหัวกันข่มเหงเถียนซื่อหรือ
นางมองทุกคนพร้อมพูดว่า “ท่านแม่ยืมห้าตำลึงเงินให้ข้าแล้วไม่ได้บอกพวกเจ้า เป็นเรื่องที่ไม่สมควรทำจริงๆ พวกเจ้าจะโทษก็โทษข้า ข้าขอโทษพวกเจ้า ณ ที่นี้ด้วย อย่างไรต้นเหตุของเรื่องนี้ก็คือข้า”
พอลู่เจียวขอโทษคนทั้งสกุลลู่อย่างมีมารยาท ใบหน้าทุกคนต่างขึ้นสีแดงระเรื่อราวกับโดนตบหน้า
ลู่เจียวขอโทษเสร็จก็เอ่ยต่อ ทว่าครั้งนี้น้ำเสียงกลับเย็นชามาก
“แต่ข้าขอพูดอะไรหน่อยเถอะ ห้าตำลึงเงินที่ท่านแม่ยืมให้ข้า ถ้าข้าเอาไปกินเล่นจนหมด พวกเจ้าจะต่อว่า หรือโทษนางก็ได้ แต่เงินที่นางให้ยืม ข้าเอาไปรักษาลูกเขยที่บาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ถือว่าเป็นความผิดครั้งใหญ่ของนางเลยหรือ”
“พวกเจ้าเป็นคนในครอบครัวของข้า เวลานี้ไม่ช่วยข้า ถ้าวันหน้าข้ามีชีวิตที่รุ่งโรจน์ พวกเจ้าจะไม่หวังรุ่งเรืองไปพร้อมข้าด้วยใช่หรือไม่”