ตอนที่ 58 มิตรแท้ในยามทุกข์ยาก
ลู่กุ้ยครุ่นคิดสักพัก “ข้าปูเสื่อนอนข้างนอกสักคืนแล้วกัน”
ฤดูร้อน นอนข้างนอกหนึ่งคืนคงไม่เป็นอะไร
แต่เรื่องสำคัญคือลู่เจียวไม่มีเสื่อให้เขาปูนอน ตอนนี้พวกเขามีเสื่ออยู่สองผืน เสื่อเก่าโทรมสองผืนนั้นติดเรือนแห่งนี้มาตั้งแต่วันที่พวกเขาย้ายเข้า ตอนนี้นอกจากเสื่อสองผืนที่กล่าวถึง ก็ไม่มีผืนสำรองอื่นแล้ว
ลู่เจียวทอดถอนใจอีกครั้ง บ้านนี้ยากจนจริงๆ
สุดท้ายลู่เจียวให้ลู่กุ้ยไปนอนกับเซี่ยเสี่ยวเป่าที่บ้านซย่าซื่อหนึ่งคืน
พอเห็นว่าดึกมากแล้ว ลู่เจียวก็พาแฝดสี่เข้านอน แต่สุดท้ายแฝดสี่คนกลับเดินตามหลังนางติดๆ
ลู่เจียวมองแฝดทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังด้วยความแปลกใจ นี่จะตามนางไปนอนหรือ ไม่เอาพ่อแล้วหรือไร
“พวกเจ้าจะไปนอนกับข้าหรือ”
ต้าเป่าส่ายหัวทันที แล้วเงยหน้ามองลู่เจียว “ไปฟังนิทาน ฟังเสร็จค่อยกลับมานอนที่นี่”
ลู่เจียวเข้าใจขึ้นมาทันที ที่แท้เพราะว่าเมื่อคืนนางเล่านิทานให้ซื่อเป่าฟัง พวกเขาเลยอยากฟังด้วย
ลู่เจียวไม่ปฏิเสธ ปีนขึ้นเตียงแล้วตบเตียงเบาๆ สื่อให้แฝดสี่ขึ้นเตียงกันให้หมด
ทว่าเพราะบนเตียงมีคนเยอะเกินไป จึงนอนไม่พอ ทุกคนแค่นั่งฟังอย่างเดียว
ลู่เจียวครุ่นคิดสักพักก็เล่านิทานเรื่องกบสามขาชอบร้องเพลง
“ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งมีกบสามขาอยู่หนึ่งตัว มันร้องเพลงอย่างมีความสุขพลางจับแมลงกิน…”
ลู่เจียวเล่าถึงตรงนี้ ซื่อเป่าก็กะพริบตาอธิบายกับแฝดพี่สามคน “คนแต่งนิทานขึ้น อันที่จริงกบร้องเพลงไม่ได้นะ”
ลู่เจียวมองเจ้าตัวน้อยอย่างอ่อนใจ ต้าเป่าถลึงตามองซื่อเป่าอย่างเคร่งขรึม “ห้ามพูด”
ซื่อเป่าแลบลิ้นสองสามที แล้วเงียบเสียงลง
ลู่เจียวเล่าต่อ นิทานเรื่องนี้สั้นมาก ไม่นานก็เล่าจบแล้ว
สี่แฝดฟังแล้วก็อยากฟังอีก ต้าเป่ามองลู่เจียว “นิทานเรื่องนี้ไม่ยาวเท่าของเมื่อวาน”
ดังนั้นลู่เจียวเลยต้องเล่าเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง
ลู่เจียวไม่สนใจพวกเขา ไล่พวกเขาไปนอน “ต่อไปเล่านิทานคืนละเรื่องก็พอ ห้ามโลภมากเกินไป ไม่อย่างนั้นแม่จะไม่เล่าให้ฟังอีก รีบนอนเถอะ”
สี่แฝดไม่กล้าขัดขืน ต่างก็แยกย้ายกันไปนอน
ลู่เจียวเพิ่งจะนอนลง เถียนซื่อก็หันมองนางด้วยสีหน้าแปลกใจ เหมือนไม่รู้จักลูกคนนี้
ลู่เจียวใจไม่ดีขึ้นมาทันที เถียนซื่อคงไม่ได้เห็นอะไรผิดปกติกระมัง
ลู่เจียวกำลังคิดมาก เถียนซื่อก็ตกตะลึงจนแค่นเสียง “เจียวเจียว ตอนนี้เจ้าฉลาดกว่าแต่ก่อนเยอะ เล่านิทานได้ด้วย เมื่อครู่ข้าฟังยังเคลิ้มเลย”
ลู่เจียวถอนหายใจ แล้วคุยกับเถียนซื่อเบาๆ “นิทานพวกนี้ล้วนมีในหนังสือ”
เถียนซื่ออดเชยชมไม่ได้ “มิน่าล่ะ คนมีเงินถึงต้องส่งลูกไปเรียน คนรู้กับไม่รู้อักษรแตกต่างกันเหลือเกิน เจียวเจียว ตอนนี้เจ้ารู้อักษรกี่ตัวแล้ว”
ลู่เจียวสีหน้าแข็งทื่อไปทันที นางพูดได้หรือไม่ว่าตัวอักษรที่ร่างเดิมรู้ นางลืมไปหมดแล้ว แม้นางจะมีความทรงจำของร่างเดิม แต่อย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ความทรงจำของนาง ทุกครั้งที่นางพยายามอ่านหนังสือ ก็ต้องเค้นสมองคิดจนปวดหัว โชคดีที่ก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นสอนนางมาบ้าง
ลู่เจียวพึมพำ “อวิ๋นจิ่นบอกว่ารอให้เขาดีขึ้นมาหน่อย จะสอนอักษรให้ข้า ข้าจะได้รู้ตัวที่ไม่เคยเรียนมาก่อนด้วย”
ลู่เจียวเบี่ยงประเด็นเช่นนี้ กลับทำให้เถียนซื่อฟังแล้วชื่นใจยิ่งนัก นางสนใจแต่ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะสอนบุตรีอ่านตัวหนังสือ นี่ก็หมายความว่าลูกเขยเริ่มชอบลูกสาวขึ้นมาบ้างแล้วใช่หรือไม่
เถียนซื่อแย้มยิ้ม นางบอกแล้ว ในยามทุกข์ยากจะเจอมิตรแท้ บุตรีซื่อตรงกับบุตรเขย อย่างไรเขาก็ต้องซึ้งใจอยู่แล้ว
“ดี ดีจริงๆ”
เถียนซื่อไม่ได้ยินลู่เจียวตอบกลับจึงหันไปมอง ก็เห็นลู่เจียวกอดซื่อเป่าหลับไปแล้ว
เถียนซื่อจึงหลับตาลงด้วยรอยยิ้ม
วันที่สอง ลู่เจียวเพิ่งตื่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ขานเรียกนาง “ลู่เจียว”
ลู่เจียวนึกว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยากดื่มน้ำ จึงรีบเดินไปที่เรือนตะวันออกทันที “เป็นอะไร อยากดื่มน้ำหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพิงขอบเตียง มองนางด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“เจ้าดูสิ ข้าลุกขึ้นมาพิงขอบเตียง ก็ไม่เวียนศีรษะและอาเจียนแล้ว นี่เป็นเพราะแผลในสมองเริ่มหายดีแล้วใช่หรือไม่”
ลู่เจียวได้ยินก็รู้สึกดีใจ นี่หมายความว่าอาการของเขาค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว
ดีจริงๆ ไม่นานก็จะผ่าตัดได้แล้ว
“อืม อาการของเจ้าดีขึ้น เป็นข่าวดีจริงๆ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นดีใจจนพูดไม่ออก เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลาอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อแสดงทีท่าร่าเริงสดใสเช่นนี้ ทำให้เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนประดุจอัญมณี
ทว่าผ่านไปไม่นาน ความร่าเริงสดใสบนใบหน้าของเขาก็เลือนหายไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนึกถึงขาของตนเอง ก่อนหน้านี้หมอโจวในหอเป่าเหอพูดแล้ว เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเกินไป หากไม่ได้หมอที่ผ่าตัดได้มารักษา คงต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงตลอดชีวิต
ลู่เจียวเห็นสีหน้าของเขา ก็รู้ว่าในใจเขาเจ็บปวดมาก จึงเดินมาพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“นี่เป็นเรื่องน่ายินดี อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องทรมาน ทั้งอาเจียนทั้งเวียนศีรษะเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากนี้จะได้ขยับร่างกายได้มากขึ้น”
ลู่เจียวครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว นางจะผ่าตัดให้เขาอย่างไร
ถ้าพูดตรงๆ เขาก็คงไม่เชื่อ มิหนำซ้ำยังสงสัยว่านางอยากทำร้ายเขา ยิ่งไปกว่านั้น ก็อาจสงสัยว่านางไม่ใช่ลู่เจียวตัวจริงก็ได้
อย่างไรหมอผ่าตัดในต้าโจวก็มีน้อยมาก
ต่อให้นางรู้วิชาการแพทย์ ก็อาจจะผ่าตัดไม่ได้
ลู่เจียวครุ่นคิดก็คลี่ยิ้มขึ้น “ข้าจะไปรินน้ำหวานให้เจ้ากิน”
แฝดสี่ที่อยู่ในเรือนล้อมรอบเตียงของเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ ท่านดีขึ้นแล้วหรือ”
“คงไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นแฝดสี่ทำตาโต กำลังรอฟังคำตอบจากเขา เขาจึงค่อยๆ แย้มยิ้มอ่อนโยน
ต่อให้ชีวิตนี้เขาจะเดินไม่ได้ แค่เขาไม่อาเจียนไม่เวียนศีรษะ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งได้ อนาคตจะเปิดสถาบันส่วนตัวรับศิษย์มานั่งเรียนในบ้านก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกสบายใจขึ้น แววตาอ้างว้างหนาวเหน็บในตอนแรกค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น มองแฝดสี่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“พ่อไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว พวกเจ้าอย่ากังวลไปเลย”
สี่แฝดดีใจจนกระโดดโลดเต้น เถียนซื่อและลู่กุ้ยที่อยู่ด้านนอกได้ยินลู่เจียวพูดข่าวดีนี้ ทั้งสองก็ดีอกดีใจไม่ต่างกัน
“ลูกเขยหนอ นี่เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง เจ้าไม่อาเจียนไม่เวียนศีรษะก็แสดงว่าแผลในสมองดีขึ้น ถ้ากินยารักษาต่อเนื่อง ต้องลุกขึ้นมานั่งได้แน่นอน”
เถียนซื่อยิ่งคิดยิ่งดีใจ แค่เขาลุกขึ้นนั่งได้ ก็รับศิษย์มาเรียนในบ้านได้ ทางบ้านมีรายได้ การเลี้ยงแฝดสี่ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นเถียนซื่อร่วมยินดีไปกับตนด้วย ก็ยิ่งเคารพนับถือแม่ยายคนนี้อย่างมาก
“อืม”
ภายในเรือนเต็มไปด้วยบรรยากาศชื่นชมยินดี
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นเริ่มดีขึ้น ลู๋เจียวจึงคิดว่าเรื่องนี้ต้องฉลอง เช้านี้ไม่เพียงแต่ต้มโจ๊ก แล้วยังทอดขนมไข่ ยำเห็ดหูหนู และทำถั่วเขียวผัดไข่เพิ่มอีกสองอย่าง
น่าเสียดายที่ไม่มีหม้อ ไม่เช่นนั้นนางจะทำอาหารให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย
ถึงแม้จะมื้อเช้าจะโอชะ แต่ทุกคนยังคงยืนกิน ครั้งนี้ไม่รอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูด ลู่เจียวก็พูดขึ้นก่อน
“กินข้าวเสร็จ ข้าจะไปถามท่านอาโหย่วไฉ ถ้ามีไม้ จะให้เขารีบทำโต๊ะสักตัวและเก้าอี้แปดตัว”