ตอนที่ 54 น้องชายกลับสู้สุนัขตัวหนึ่งไม่ได้
ลู่เจียวไม่สนใจหร่วนซื่อ หลังกล่าวทักทายบุรุษสี่คนนั้นแล้วก็เดินจากไป
นางแบกตะกร้าสานเข้าไปในห้องครัว หาโอกาสเก็บเนื้อทรายและกระต่ายเข้าไปในห้วงอากาศ ตอนอยู่ต่อหน้าเถียนซื่อและลู่กุ้ย นางไม่กล้าเก็บเข้าไป แต่ถ้าทิ้งเนื้อเหล่านี้ไว้ข้างนอกนานก็จะเสีย
ลู่เจียวเก็บของเสร็จ ก็รินน้ำหวานไปหลายถ้วย
สหายร่วมชั้นเรียนของเซี่ยอวิ๋นจิ่นมา ถ้าไม่ให้พวกเขาดื่มน้ำแม้แต่คำเดียวก็คงไม่ดี
แม้ว่าถ้วยจะเป็นเครื่องกระเบื้องที่หยาบกระด้าง ทว่าเรื่องนี้ถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง
ลู่เจียวรินน้ำหวานหลายถ้วยวางบนโต๊ะเก่าชำรุด แล้วค่อยยกเข้าไปในเรือนตะวันออก พร้อมกล่าวกับบุรุษทั้งสี่อย่างเกรงอกเกรงใจ
“คุณชายทั้งสี่เชิญดื่มน้ำหน่อยเถอะ บ้านข้าเก่าชำรุดเกินไป ทุกท่านได้โปรดอย่าถือสาอะไรเลย”
บุรุษทั้งสี่มองถ้วยเพียงปราดเดียว สังเกตเห็นว่าแม้ถ้วยจะดูหยาบแต่กลับสะอาดมาก โต๊ะเล็กเก่าโทรมนี้ก็ไม่มีฝุ่นเกาะแม้แต่น้อย
แม้ในบ้านจะไม่มีของใช้อะไรเลย แต่สะอาดมาก แม้กระทั่งอวิ๋นจิ่นยังดูสะอาดสะอ้าน
ต่อให้เขาจะเป็นคนพิการติดเตียง ทว่าในเรือนกลับไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์สักนิด
นี่แสดงว่าภรรยาคนนี้ต้องขยันขันแข็งมากแน่ นับว่าอวินจิ่นแต่งภรรยาได้ดี
ทั้งสี่ลุกขึ้นมาขอบคุณลู่เจียวทันที ต่างก็ยกน้ำตัวเองมาดื่ม
เจ้าบ้านรินน้ำมา ไม่ดื่มก็จะเสียมารยาท
ลู่เจียวเห็นบุรุษทั้งสี่ยกถ้วยกันแล้ว นางจึงยกไปป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นหนึ่งถ้วย
หร่วนซื่อและเซี่ยหลานเบ้ปากกลอกตามองบน พึมพำในใจว่า เสแสร้งเหลือเกิน
เฉินหลิ่ว ลูกสะใภ้ใหญ่ของหร่วนซื่อพูดเสียงสูง “น้องสะใภ้สาม เจ้าควรรินน้ำให้ท่านแม่ดื่มหน่อยหรือไม่”
ลู่เจียวเงยหน้ามองเฉินหลิ่ว “ในบ้านไม่มีถ้วย ข้าไปเอาถ้วยจากบ้านพี่สะใภ้ใหญ่หน่อยได้ไหมล่ะ”
เฉินหลิ่วอึ้งงัน บุรุษทั้งสี่พลันมองออกว่าคนสกุลเซี่ยเหมือนจะมีปัญหากันจึงไม่อยากอยู่ต่อ รีบลุกขึ้นกล่าวอำลาเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที
“อวิ๋นจิ่น เช่นนั้นพวกเรากลับกันก่อน ไว้มาเยี่ยมเจ้าใหม่”
นัยน์ตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเคล้าด้วยความหม่นหมอง พอเห็นสหายทั้งสี่เอ่ยว่าจะกลับก็สั่งลู่เจียว “ไปส่งแขกที”
ลู่เจียวรับคำก็ลุกขึ้นไปส่งบุรุษสี่คนนี้ บุรุษที่สวมชุดผ้าต่วนสนทนากับลู่เจียวด้วยความอ่อนโยน
“ข้าคือสหายร่วมชั้นเรียนของอวิ๋นจิ่น นามว่าหันถง ตอนนี้ข้ายังเรียนอยู่ที่สถานบันอำเภอชิงเหอ ถ้าพวกท่านเจอปัญหาอะไร ก็ไปหาข้าได้เสมอ”
ลู่เจียวพลันขอบคุณหันถัง “ขอบคุณท่านแล้ว วันข้างหน้าถ้าอวิ๋นจิ่นหายดี จะให้เขาไปขอบคุณพวกท่านถึงที่”
หันถงได้ยินคำพูดของลู่เจียว แววตาพลันฉายความประหลาดใจ บุรุษอีกสามคนต่างก็ไม่คิดเหมือนลู่เจียว คนพิการไปแล้วจะหายดีได้อย่างไร
ทว่าคำพูดล้วนไม่ได้เอ่ยออกจากปาก ชายทั้งสี่เดินออกไปด้านนอกพร้อมกัน ชาวบ้านที่มุงดูด้านนอกต่างก็กระซิบกระซาบกันอย่างดุเดือด
หันถงและสหายอีกสามคนขึ้นรถม้าจากไปพร้อมกัน
ลู่เจียวหันหลังเดินออกมา นางยังไม่ทันเข้าไปในห้องโถงตะวันออก ก็ได้ยินเสียงรื่นเริงของเซี่ยหลานดังขึ้น “ท่านแม่ ผ้าผืนนี้ดูดีจริงๆ ให้ข้าเอาไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวได้หรือไม่”
“ขนมสี่สีนี้เอาไปให้พี่ชายเจ้าส่งให้บ้านเจ้าสาว แล้วยังมีใบชานี่อีก แต่ละอย่างดูเป็นของดีทั้งนั้น”
สองแม่ลูกกำลังเลือกของเยี่ยมที่ถูกวางไว้ในห้องโถงอย่างมีความสุข
ลู่เจียวเดินเข้ามาจากด้านนอกก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “วางของลงเดี๋ยวนี้ แล้วรีบไสหัวออกไปให้พ้น”
หร่วนซื่อชักสีหน้า หันมองลู่เจียวอย่างโมโห “เจ้าอยากเก็บของของลูกชายข้าไว้เองใช่หรือไม่”
ลู่เจียวแค่นยิ้มเย็นชาด้วยความโกรธ “เจ้าอายุปูนนี้แล้ว รักษาหน้าตัวเองไว้สักหน่อยเป็นหรือไม่ ลูกชายของเจ้าเป็นพิการติดเตียง เจ้าไม่สนใจไยดี แต่ตอนนี้ยังมีหน้ามาเอาของอีกหรือ”
หร่วนซื่อได้ยินลู่เจียวพูดเช่นนี้ ก็กัดฟันกรอด สีหน้าบึ้งตึง
“ของพวกนี้เขาไม่ได้ใช้เสียหน่อย อันที่ได้ใช้ ข้าจะไปแตะต้องได้อย่างไร”
พอนางกล่าวจบก็ชี้ไปที่กองยาสมุนไพร “ยาพวกนี้เขาได้ใช้ประโยชน์ พวกเราจะไม่ไปแตะต้องเด็ดขาด แต่อย่างอื่นเขาไม่ได้ใช้เลยนี่ เอาไปให้น้องชายเขาเป็นสินสอดสู่ขอภรรยาหน่อยไม่ได้หรือ นั่นเป็นน้องชายแท้ๆ ของเขาเชียวนะ”
ลู่เจียวแสยะยิ้มทันที “น้องชายแบบนั้น กลับสู้ไม่ได้แม้แต่สุนัขด้วยซ้ำ”
หร่วนซื่อรักและเอ็นดูบุตรชายคนสุดท้องที่สุด ตอนนี้ลู่เจียวกลับด่าว่าบุตรชายคนนี้สู้สุนัขไม่ได้ นางก็ชักสีหน้า อ้าปากจะโต้กลับ
ลู่เจียวไม่อยากมากความกับหร่วนซื่อ ไอ้พวกไร้ยางอาย พูดไปก็เปลืองน้ำตาเสียเปล่า
ลู่เจียวเอื้อมมือลากหร่วนซื่อออกไป
เซี่ยหลานที่อยู่ด้านหลังตะโกนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ลู่เจียว เจ้ากล้าเสียมารยาทกับแม่สามีหรือ”
สิ้นเสียงก็อุ้มผ้าผืนหนึ่งตามออกไปด้านนอก
ลู่เจียวโยนหร่วนซื่อออกไปเสร็จ ก็หันมาขวางทางเซี่ยหลานไว้ เข้าไปกระชากผ้าออกจากอ้อมอกของนาง แล้วโยนตัวนางออกไปอีกคน
“ไสหัวออกไป”
พี่สะใภ้ใหญ่เฉินหลิ่วอยากได้ของในห้องโถงนี้มาก แต่ไม่กล้าหยิบไปมั่วซั่วเพราะมองออกว่าลู่เจียวไม่ยอมคนง่ายๆ เพียงกล้าเถียงกลับเท่านั้น
“ลู่เจียว อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นสะใภ้ตระกูลลู่ ท่านแม่ยังคงเป็นแม่สามีเจ้า ทำไมเจ้าถึงทำกับนางลงคอ”
ลู่เจียวมองเฉินหลิ่วอย่างเย็นชาแล้วชี้ไปด้านนอก เป็นสัญญาณให้เฉินหลิ่วไสหัวออกไปด้วย ไม่อย่างนั้นนางจะลากตัวออกไปอีกคน
หร่วนซื่อนั่งร้องไห้ฟูมฟายบนพื้นลาน “รีบมาดูสะใภ้รังแกแม่สามีเร็วเข้า ตัวเองกินแต่ของอร่อย ไม่แบ่งแม่สามีกินเลยสักนิด สะใภ้อกตัญญูไม่รู้คุณ สมควรจับไปขังไว้ในคอกหมู”
“สวรรค์ เหตุใดข้าถึงลำบากเช่นนี้ เลี้ยงบุตรโตมา กลับมีสะใภ้จิตใจอำมหิตเช่นนี้ ข้าตายๆ ไปเสียดีกว่า”
ลู่เจียวได้ยินเสียงโวยวายของหร่วนซื่อ สีหน้าก็ถมึงทึงถึงขีดสุด นางก้าวเท้าจะเดินออกไป นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เซี่ยอวิ๋นจิ่นจะพูดด้วยเสียงเย็นชา
“ลู่เจียว เข้ามา”
ลู่เจียวหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องนอน มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างขุ่นเคืองใจ
เหตุใดคนคนนี้ถึงมีแม่ร้ายกาจเช่นนี้ ช่างอาภัพจริงๆ
วันข้างหน้าต่อให้เขาสอบได้อันดับหนึ่งและกลายเป็นโส่วฝู่ แต่ถ้ามีแม่แบบนี้ก็คงเหนื่อยน่าดู
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเย็นชาจนทั้งร่างแผ่ซ่านความเย็นยะเยือก แววตาคู่นั้นมองมาที่ลู่เจียว พร้อมพูดเสียงเรียบเฉย
“ลู่เจียว นั่นเป็นแม่ข้า”
ลู่เจียวได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ยิ่งบูดบึ้งไม่น้อย หมายความว่าอะไร นี่กำลังตำหนิที่นางทำไม่ดีกับแม่เขาหรือ จะยอมให้คนพวกนั้นขนของในห้องโถงไปง่ายๆ กระนั้นหรือ
เหอะ ไหนๆ เขาก็ยินดี ก็แล้วแต่เขาเลย
ลู่เจียวหันหลังกำลังจะเดินออกไปอย่างขุ่นเคืองใจ เสียงเซี่ยอวิ๋นจิ่นดังขึ้นอีกครั้ง
“นางเป็นผู้อาวุโส ขืนเจ้าไปผิดใจกับนาง คนที่เสียเปรียบก็คือเจ้า ต่อให้เจ้ามีเหตุผลมากแค่ไหน เจ้าก็คือสะใภ้ คนที่เสียชื่อก็คือเจ้า อย่าไปมีเรื่องกับคนแบบนั้นเลย ไม่คุ้มหรอก”
ลู่เจียวได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นทันที เขาไม่ได้ตำหนินางเพื่อแม่ของเขา แต่ตำหนิเพื่อชื่อเสียงของตนต่างหาก
ลู่เจียวรู้ว่าเขากล่าวได้มีเหตุผล ต่อให้หร่วนซื่อโวยวายไร้เหตุผล ตนเองที่เป็นสะใภ้ก็ยังคงโดนประณามว่าอกตัญญูได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวด้วยความใจเย็น แล้วพูดเสียงเบา “ตีงูต้องตีให้ตาย ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน แม่ข้ารักและเอ็นดูน้องสี่ที่สุด”
พูดจบ เขาก็หลับตาไม่มองนางอีก สื่อว่าต้องการพักผ่อนแล้ว
แววตาลู่เจียวกลับทอประกายแสง กล่าวได้ดี ตนคงทำอะไรกับหร่วนซื่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรกับเจ้าสี่ไม่ได้ เจ้าสี่เป็นถึงแก้วตาดวงใจของนาง ตนสั่งสอนเขาสักตั้ง ก็คงไม่มีใครว่าอะไร อย่างไรตนก็คือพี่สะใภ้สามของเขา