ตอนที่ 61 เลือดคนหรือเลือดเนื้อทราย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเลือดถ้วยใหญ่ในมือของลู่เจียวแล้วก็หน้าซีด ของดีที่ว่าคือเลือดหรือ
“นี่คือเลือดหรือ ไม่ใช่เลือดคนใช่หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ตามองเลือดตรงหน้า แล้วเงยหน้ามองลู่เจียวช้าๆ เขาคาดเดาในใจ คนคนนี้ไม่ได้ดื่มเลือดใช่หรือไม่
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็มีสีหน้างุนงง “เลือดคนอะไรกันเล่า นี่เป็นเลือดเนื้อทรายที่ข้าได้มา ก่อนหน้านี้ข้าดักเนื้อทรายได้ตัวหนึ่งไม่ใช่หรือ ตอนนั้นเนื้อทรายยังไม่ตาย ข้าเลยรองเลือดมันไว้ เลือดเนื้อทรายช่วยบำรุงเลือดและรักษากระเพาะ เจ้ารีบดื่มเถอะ สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้ามาก”
ลู่เจียวยกเลือดถ้วยนั้นไปตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น กลิ่นคาวเลือดปะทะจมูกเขาทันที
เขาเกร็งไปทั้งตัว เอนหลังหนีแล้วเงยหน้ามองลู่เจียว
“ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าจะต้องการมากกว่าข้า”
ไม่รู้ว่านางเป็นภูตผีปีศาจมาจากแห่งหนใด ไม่ใช่ว่าผีชอบกินเลือดหรือ นี่น่าจะเหมาะกับนางมากกว่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดแล้วก็ยกมือผลักถ้วยออก “ไม่สู้เจ้าดื่มเถอะ”
เขากล่าวจบก็ไม่มองเลือดเนื้อทรายอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเลือดอะไร อย่างไรเขาก็ดื่มไม่ลง
ลู่เจียวทำสีหน้าแปลกใจ “อยู่ดีๆ ข้าจะดื่มเลือดเนื้อทรายไปเพื่ออะไร นี่ให้เจ้าดื่มต่างหาก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปฏิเสธกลับทันที
“ขอบคุณเจ้าแล้ว ข้าไม่ดื่ม เจ้าดื่มเถอะ”
ลู่เจียวอยากตบหมอนี่สักทีหน่ง อยู่ดีๆ นางจะดื่มเลือดเนื้อทรายไปทำไม
“ข้าจะดื่มไปไย เจ้ารีบดื่มเถอะ”
น้ำเสียงนางหลอกล่อเขาราวกับวิญญาณร้ายในนรก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังคงยืนหยัดคำเดิม “ข้าไม่ดื่ม จะดื่มเจ้าก็ดื่มเอง”
ลู่เจียวเห็นเขาทำท่าทางรังเกียจเหมือนไม่อยากดื่มเลือดถ้วยนี้จริงๆ นางก้มมองเลือดแดงสด ทันใดนั้นก็ใคร่อยากอาเจียนเช่นกัน ช่างเถอะ ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม ค่อยเอาไปตุ๋นกับเนื้อทรายแล้วกัน
พอลู่เจียวยกเลือดเนื้อทรายออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เงยหน้ามองตามหลังลู่เจียวด้วยสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
แม่นางผู้นี้จะยกเลือดถ้วยนั้นไปดื่มตรงที่ลับหูลับตาคนหรือเปล่า อย่างไรเลือดเนื้อทรายยังคงเป็นเลือดอยู่ดี
ลู่เจียวไม่รู้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังคิดเช่นนี้ หากรู้ นางจะต้องตีเขาตายแน่
ลู่เจียวยื่นเลือดเนื้อทรายให้ในมือเถียนซื่อ “ท่านแม่ นี่คือเลือดเนื้อทราย ตอนเที่ยงเอาตุ๋นกับเนื้อทรายเถอะ”
ลู่กุ้ยที่อยู่ข้างๆ ดีใจขึ้นมาอีกครั้ง “พี่เจียว ตอนเที่ยงยังมีเนื้อทรายเหลือให้กินอีกหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “มีสิ เนื้อทรายตัวใหญ่ขนาดนั้น ต้องมีเนื้อเยอะอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะอากาศร้อนเกินไป ข้ายังอยากทำหม้อไฟเนื้อทรายกิน”
ลู่กุ้ยเลิกดีใจแล้วก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจพ่อและพี่ๆ เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้พี่สาวเอาเนื้อทรายตัวนี้ไปให้บ้านลู่ สุดท้ายกลับเจอเรื่องไม่ดีแบบนั้น นางเลยเอากลับมากินเอง
ตอนที่ลู่กุ้ยกำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ก็มีคนเดินมาจากนอกรั้ว ที่แท้เป็นคนสกุลหลินที่เชิญฉีเหล่ยไปบ้านเมื่อครู่นี้
คนสกุลหลินเห็นลู่เจียวก็พูดอย่างร้อนรน “ภรรยาอวิ๋นจิ่น ช่วยไปดูอาการเอ้อร์ตั้นของพวกเราหน่อยได้หรือไม่”
ลู่เจียวแปลกใจ “หมอฉีอยู่ที่โน่นไม่ใช่หรือ”
มารดาเอ้อร์ตั้นร้องไห้ทันที “หมอฉีบอกว่าเขาไม่แน่ใจว่าควรจ่ายยาอะไร กลัวว่ายาที่จ่ายจะเหมือนยาที่ได้มาจากหอยาหุยชุน ถ้าลดไข้ไม่ได้จริงๆ อาจจะทำให้สมองกระทบกระเทือนก็ได้”
ซุนซื่อผู้เป็นมารดาเอ้อร์ตั้นนึกถึงลูกที่อาจสติไม่ดีก็ร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาทันที
คนสกุลหลินต่างมองลู่เจียวอย่างคาดหวัง
ลู่เจียวไม่ปฏิเสธ บอกเถียนซื่อที่อยู่ข้างนาง “ท่านแม่ ข้าจะไปดูอาการของเด็กคนนั้น ท่านช่วยดูแลอวิ๋นจิ่นที หากเขาต้องการอะไร ก็ให้ลู่กุ้ยช่วยเขา”
เถียนซื่อไม่พูดสิ่งใด ลู่กุ้ยกลับตอบอย่างยินดี “พี่เจียววางใจเถอะ ข้าจะดูแลพี่เขยอย่างดี”
เขามองออกว่าตอนนี้พี่สาวของเขาเก่งกาจมาก เขาต้องเลียแข้งเลียขานางไว้ก่อน
เถียนซื่อมองลู่เจียวด้วยความเป็นห่วง “เจียวเจียว ไหวจริงหรือ”
แม้ลูกสาวจะบอกว่าฝึกวิชาการแพทย์กับแม่เฒ่าหวง ทว่านางมักจะรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความฝัน ที่ผ่านมานางไม่เห็นเคยได้ยินลูกพูดถึงมาก่อน
ลู่เจียวหันไปปลอบโยนเถียนซื่อ “ท่านแม่ อย่ากังวลใจไป หมอฉีก็อยู่ที่นั่น ข้าแค่ไปดูๆ เท่านั้น”
แฝดสี่ที่กำลังเล่นกับเสี่ยวเฮยและฮวาฮวากลางลานบ้านต่างก็วิ่งมาเงยหน้ามองลู่เจียว “ท่านแม่ พวกเราตามท่านไปด้วยได้หรือไม่”
“ข้าก็ไป ข้าก็จะไป”
ลู่เจียวไม่พาพวกเขาไป สถานการณ์บ้านหลินวุ่นวายขนาดนั้น ขืนแฝดสี่เป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร “ท่านแม่มีธุระ ไว้ครั้งหน้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไร จะพาพวกเจ้าไปเที่ยว”
จบคำนางก็ตามคนสกุลหลินออกไป แฝดสี่ที่อยู่กลางลานบ้านมองตามหลังนางด้วยสายตาเศร้าหมองน่าสงสาร ท่าทางน่าเวทนานั้นทำให้เถียนซื่ออดเอ็นดูไม่ได้ จึงเข้าไปกอดปลอบโยน
ณ เรือนเล็กสกุลหลิน ยามนี้มีคนมุงดูอยู่ไม่น้อย ล้วนกำลังพูดถึงเรื่องที่หลินเอ้อร์ตั้นไข้ขึ้นสูง
หมู่บ้านเซี่ยใหญ่โต แต่เมื่อมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ข่าวก็แพร่ไปทั่วอย่ารวดเร็ว
แน่นอนว่านอกจากจะอยากรู้อยากเห็นแล้ว คนส่วนมากก็มาดูเพราะความเป็นห่วง
ดังนั้นเรื่องที่ที่คนสกุลหลินไปเชิญลู่เจียว ทุกคนก็รู้กันหมดแล้ว
ตอนนี้แต่ละคนกำลังรอดูว่าลู่เจียวจะรักษาเอ้อร์ตั้นได้หรือไม่
“ข้าว่าภรรยาอวิ๋นจิ่นน่าจะรักษาได้ แม้แต่โดนพิษงูสามเหลี่ยมนางยังรักษาได้เลย นับประสาอะไรกับแค่ไข้ขึ้นสูง”
“ข้าว่าไม่น่าได้ แม้กระทั่งหมอฉีจากหอยาเป่าเหอยังไม่มั่นใจ ภรรยาอวิ๋นจิ่นจะรักษาได้อย่างไร ถ้านางรักษาได้ นางก็เซียนเกินไปแล้ว”
“ข้าคิดว่าหากนางรักษาเอ้อร์ตั้นได้จริงๆ ก็ดี ไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้อาจจะกลายเป็นคนสติไม่ดีก็ได้”
ตอนลู่เจียวมาถึง แต่ละคนก็หลีกทางให้นางอย่างพร้อมเพรียง นางกับคนสกุลหลินเดินเข้าไปในเรือนข้างทิศตะวันตก
เรือนสกุลหลินค่อนข้างใหญ่โตเพราะทั้งครอบครัวอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน บิดาของเอ้อร์ตั้นคือบุตรชายคนรองสกุลหลิน จึงอาศัยอยู่ในเรือนข้างตะวันตก
ภายในเรือน ฉีเหล่ยกำลังตรวจร่างกายให้เอ้อร์ตั้น เมื่อเห็นลู่เจียวมา ก็เพียงผงกศีรษะให้
หลังจากเขาตรวจเสร็จ ลู่เจียวค่อยถาม “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ไข้ขึ้นสูงไม่ลดเลยเช่นนี้ เกรงว่าร่างกายคงผิดปกติ ข้าลองดูว่ามีผื่นขึ้นตามตัวหรือไม่ สุดท้ายกลับไม่เห็นอะไรเลย”
ฉีเหล่ยลุกขึ้นให้ลู่เจียวเข้าไปตรวจดู ลู่เจียวก็ไม่ได้เกรงใจเขา รีบวัดชีพจร แล้วเริ่มตรวจอาการเอ้อร์ตั้น หลังจากตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า สุดท้ายนางก็หันไปมองฉีเหล่ย
ฉีเหล่ยถอนหายใจ “ตรวจเจออะไรหรือไม่”
ลู่เจียวส่ายหัว “หากข้าตรวจเจอ ชื่อเสียงเจ้าจะยังมีหรือไม่”
คนสกุลหลินได้ยินคำพูดของลู่เจียว ก็ร้อนใจทันที “ภรรยาอวิ๋นจิ่นตรวจอะไรเจอแล้วหรือ เอ้อร์ตั้นเป็นเช่นไรบ้าง”
ลู่เจียวเลิกเสื้อของเด็กขึ้น มือข้างหนึ่งกดท้องของเขา มืออีกข้างตบท้องเบาๆ ทุกคนได้ยินเสียงท้องอืด
ลู่เจียวเอ่ยถามคนสกุลหลิน “ช่วงนี้เขาไม่ได้อึเลยใช่ไหม”
คนสกุลหลินไม่เข้าใจ เหมือนจะฟังไม่รู้ความ ลู่เจียวจึงพูดอีกครั้ง “เขาไม่ได้ถ่ายหนักมาหลายวันแล้วใช่ไหม”
ซุนซื่อจึงพยักหน้าทันที “ใช่”
“ช่วงนี้ที่บ้านกินแต่เนื้อใช่หรือไม่ เขาถึงได้ถ่ายไม่ออก เพราะท้องผูกเลยทำให้ร้อนในจนไข้ขึ้นสูงอย่างนี้ อาการแบบนี้ต้องจ่ายยาระบาย แค่เขาได้ขับถ่าย ไข้ก็จะลด ไม่ต้องใช้ยาลดไข้หรอก”