ตอนที่ 86 ขอคารวะเป็นอาจารย์
ลู่เจียวไม่คิดจะปิดบังเจ้าของหอยาเป่าเหอ ฉีเหล่ยดูมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจ้าวหลิงเฟิง ต่อให้นางไม่พูด ฉีเหล่ยก็ต้องบอกให้เขาอยู่แล้ว
ลู่เจียวลอบสังเกตบุรุษตรงหน้า บุรุษคนนี้หล่อเหลาจนไม่อาจบรรยาย คิ้วคมดั่งใบหลิว ดวงตาวาววับดุจดวงดารา แม้สีหน้าจะเย็นชา ทว่าทุกการเคลื่อนไหวล้วนสง่าผ่าเผย เพียงมองดูก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ลู่เจียวค่อนข้างแปลกใจ ในเมื่อคนผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดา แล้วเหตุใดถึงต้องมาเปิดหอยาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
แต่ลู่เจียวก็ไม่คิดไขข้อข้องใจนี้ จึงหันไปมองฉีเหล่ย “หมอฉี เจ้าว่าผ่าตัดพรุ่งนี้เลยได้หรือไม่”
ฉีเหล่ยเหลือบมองจ้าวหลิงเฟิงแวบหนึ่ง เขาพยักหน้าตกลง “ได้ แต่ก่อนจะช่วยเจ้า เจ้าต้องรับปากพวกเราเรื่องหนึ่งก่อน”
ลู่เจียวหันไปมองจ้าวหลิงเฟิง “เชิญว่ามาเถอะ”
“มาเป็นหมอที่หอยาเป่าเหอของพวกเรา แล้วสอนฉีเหล่ยผ่าตัด”
ลู่เจียวแย้มยิ้ม “เถ้าแก่จ้าว สองเรื่องนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันกระมัง”
ฉีเหล่ยได้ยินก็นึกว่าลู่เจียวไม่ยอมสอนเขาผ่าตัด จึงผิดหวังอย่างมาก แต่ก็ไม่อยากให้ลู่เจียวลำบากใจ
เขาเอ่ยเสียงอ่อน “แม่นางลู่อย่าได้รำคาญใจไป ข้าไม่เรียนผ่าตัดก็ได้ ขอแค่ท่านยอมมาเป็นหมอที่หอยาเป่าเหอก็พอ”
ลู่เจียวหันไปมองฉีเหล่ย คนคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นหมอจริงๆ หน้าตาอ่อนโยนน่าเข้าหา จิตใจก็งดงามราวกับบุปผาบานสะพรั่ง นอกจากนี้ นางแค่มองดูก็รู้แล้วว่าเขาเป็นหมอที่ดีคนหนึ่ง คงพอสอนเขาได้
“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่สอนเจ้า”
ฉีเหล่ยนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ผุดลุกขึ้นคำนับลู่เจียวด้วยความเคารพ “ฉีเหล่ยขอคารวะท่านเป็นอาจารย์”
ลู่เจียวงวยงง อาจารย์อะไรกัน
อายุของเขามากกว่านาง ตอนนี้นางกลับได้กลายเป็นอาจารย์ของเขาแล้ว
ทีแรกนางคิดจะปฏิเสธ แต่พอคิดได้ว่า ในยุคนี้ บุรุษและสตรีไม่ควรใกล้ชิดกันเกินควร แต่ถ้าอยู่ในสถานะศิษย์อาจารย์ เช่นนั้นแล้วต่อให้นางกับฉีเหล่ยอยู่ด้วยกันก็คงไม่มีอะไรให้ใครเอาไปนินทาว่าร้ายได้
ลู่เจียวจึงไม่ได้ปฏิเสธไป แค่โบกมือแล้วพูดว่า “ยังไม่ต้องรีบคารวะเป็นอาจารย์หรอก”
ฉีเหล่ยนั่งลงด้วยความตื้นตัน ไม่ได้รู้สึกต้อยต่ำที่ต้องให้สตรีอายุน้อยกว่าสอนเขาเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะได้เรียนการผ่าตัดแล้ว ดีเหลือเกิน
ฉีเหล่ยมัวแต่ดีอกดีใจ จ้าวหลิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างจ้องเขาได้ครู่หนึ่งแล้ว ก็ยังไม่รู้สึกตัว
ลู่เจียวหันไปมองจ้าวหลิงเฟิง “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากมาเป็นหมอที่หอยาเป่าเหอ เพียงแต่บ้านข้ายังมีเด็กและคนพิการต้องดูแล ข้าไม่อาจเดินทางเข้าเมืองได้ทุกวัน”
ลู่เจียวพูดจบก็นึกถึงเรื่องที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นจะหย่ากับตนเอง ก่อนหน้านี้นางอยากหย่าแล้วกลับไปอยู่ที่บ้านต้นตระกูล ทว่าตั้งแต่คนในบ้านมีปากเสียงกับมารดา นางก็ล้มเลิกความคิดนี้ไปทันที อย่ากลับไปอยู่กับคนพวกนั้นจะดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น หากนางกลับบ้านเพราะโดนฝ่ายชายหย่าร้าง ชื่อเสียงย่อมเสื่อมเสีย กลับหมู่บ้านซิ่นหวาไปก็คงทำให้คนสกุลลู่กลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน
ครานี้นับเป็นโอกาสดี อยู่เป็นหมอประจำการในหอยาเป่าเหอ จะได้ร่วมพัฒนาหอยาให้เติบโต วันข้างหน้าจะทำอะไรก็สะดวก
ลู่เจียวขบคิดแล้วมองจ้าวหลิงเฟิง “ข้าคงมานั่งทำงานที่นี่ไม่ได้ แต่หากนานๆ มาทีก็ยังพอไหว”
จ้าวหลิงเฟิงก็เห็นด้วยกับเหตุผลของลู่เจียว ปกติในหอก็มีฉีเหล่ยอยู่แล้ว ถ้าเจอโรคที่ซับซ้อนมากๆ ค่อยไปเชิญนางมารักษา เช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
จ้าวหลิงเฟิงยังอยากพูดอะไรต่อ ลู่เจียวกลับพูดแทรกขึ้นก่อน “แต่ถ้าจะให้ข้ารักษาก็ต้องทำตามกฎของข้า”
จ้าวหลิงเฟิงขมวดคิ้ว “แม่นางลู่มีกฎอะไรหรือ”
ลู่เจียวพูดอย่างมีหลักการ “ข้าจะไม่รักษาคนที่ข้าไม่ชอบหน้า ไม่รักษาคนชั่ว ข้าจะรักษาคนจนโดยไม่เก็บเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ทว่าถ้าเป็นคนมั่งมีก็จะเก็บสองพันตำลึง แน่นอนว่าผู้ที่มีฐานะร่ำรวยมากๆ ก็จะเก็บสองหมื่นตำลึง”
บุรุษทั้งสองต่างมีสีหน้าอ่อนใจ สามข้อแรกยังพอเข้าใจได้ ทว่าสองข้อหลังนี่รีดไถเงินคนอื่นเกินไปกระมัง คนมีเงินต้องจ่ายสองพันตำลึง มีเงินมากก็สองหมื่นตำลึง สองพันกับสองหมื่นต่างกันมากเลยนะ
ลู่เจียวเห็นบุรุษสองคนนี้ไม่พูดไม่จา ก็ถามอย่างฉงนใจ “ข้อใดมีปัญหาหรือ”
ฉีเหล่ยเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้าเรียกเงินสองพันตำลึงสองหมื่นตำลึงเช่นนี้ คนเขาคงไม่ให้อยู่แล้ว”
ลู่เจียวยกยิ้ม “เจ้ารู้สึกว่าเท่านี้มากเกินไปหรือ เช่นนั้นก็ลองเทียบกับมูลค่าของชีวิตดูสิ”
นางเอ่ยเช่นนี้ พวกเขาก็หมดข้อโต้แย้ง เมื่อเทียบกับชีวิตแล้ว อย่าว่าแต่สองพันหรือสองหมื่นตำลึงเลย ต่อให้แลกด้วยสมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลก็ยอม
ลู่เจียวไม่สนใจบุรุษสองคนนี้ แล้วพูดต่อ “ทุกครั้งที่ข้ารักษาคนป่วย จะแบ่งรายได้ให้หอยาเป่าเหอห้าส่วน พวกเจ้าว่าเช่นนี้ได้หรือไม่”
ได้อยู่แล้ว นางเรียกเงินเยอะขนาดนี้ หอยาเป่าเหอได้แค่ห้าส่วนก็เป็นเงินมหาศาลแล้ว
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดอย่างรอบคอบ สักพักก็เอ่ยปากรับคำกับลู่เจียว “ได้ ทำตามที่เจ้าว่าเถอะ”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
คาดไม่ถึงว่าจะเห็นพ้องต้องกันได้ในการเจรจาเพียงครั้งเดียว ไม่เลว ปลาตัวใหญ่เฉกเช่นหอยาเป่าเหอติดเบ็ดแล้ว
แค่มองดูก็รู้ว่าเถ้าแก่หอยาเป่าเหอนั้นมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ทรงอำนาจ เมื่อนางตกปลาตัวนี้ได้ ต่อให้วันข้างหน้าจะหย่ากับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วก็คงไม่โดนใครรังแกได้ง่ายๆ
ลู่เจียวคิดแล้วก็มองฉีเหล่ยที่อยู่ด้านข้าง “เช่นนั้นพวกเรามาหารือกันเถอะ ว่าจะผ่าตัดให้สามีข้าในวันพรุ่งนี้อย่างไรดี”
“ได้”
ลู่เจียววางแผนการผ่าตัดกับฉีเหล่ย สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหาห้องส่วนตัวที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว เตรียมเตียงผ่าตัดให้เรียบร้อย ถ้าไม่มีเตียงผ่าตัด อย่างน้อยก็ต้องหาเตียงที่ใกล้เคียงกับเตียงผ่าตัด
ลู่เจียวบอกฉีเหล่ยไปทีละเรื่อง จากนั้นฉีเหล่ยค่อยตอบด้วยความเคารพ “อาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ดี”
ลู่เจียวปรายตามองเขา เพิ่งรู้ตัวว่าเจ้าหมอนี่เห็นนางอาจารย์ไปแล้ว สีหน้าของเขาดูเลื่อมใสนางมาก
ไม่เลวจริงๆ
“ได้ เช่นนั้นก็ต้องรบกวนเจ้าแล้ว”
ลู่เจียวเอายาฆ่าเชื้อออกมาจากตะกร้า “พรุ่งนี้เช้าก่อนที่พวกเราจะมาถึง เจ้าไปฆ่าเชื้อในห้องให้เรียบร้อย แล้วอย่าให้ใครเข้าไปเด็ดขาด”
“ได้ขอรับอาจารย์”
ฉีเหล่ยรับยาฆ่าเชื้อมา ลู่เจียวลุกขึ้นกล่าวอำลาจ้าวหลิงเฟิง
“เถ้าแก่จ้าว ข้าขอตัว”
ลู่เจียวเพิ่งจะเอ่ยจบ เขาก็พูดขึ้น “จ้าวหลิงเฟิง”
ลู่เจียวทำหน้าประหลาดใจ จ้าวหลิงเฟิงจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ข้ามีนามว่าจ้าวหลิงเฟิง แม่นางลู่ไม่ต้องเกรงใจ เรียกนามข้าก็พอ”
ลู่เจียวกลับไม่ได้เรียกชื่อของเขาโดยตรง ยังคงเรียกอย่างเกรงใจ “เถ้าแก่จ้าว ข้าไปก่อน”
จ้าวหลิงเฟิงเลิกคิ้วมองสตรีที่กำลังเดินจากไป แม้นางจะมีร่างอ้วนพี แต่พอได้พูดคุยกัน วาจาท่าทีที่ไม่ถ่อมตนและโอ้อวดเกินไป ซ้ำยังดูมั่นใจในตัวเอง ทำให้นางไม่เหมือนสตรีทั่วไป อีกทั้งยังมีฝีมือการแพทย์ที่ยากจะหาใครเปรียบ ทว่านางกลับไม่ทำตัวเย่อหยิ่งเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เอาไปเทียบกับแม่นางในเมืองหลวง แม่นางผู้นี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดในใจ ส่วนฉีเหล่ยเดินไปส่งลู่เจียว
ระหว่างเดิน ทั้งสองก็พูดคุยเรื่องผ่าตัดในเช้าวันพรุ่งนี้ ฉีเหล่ยอยากเห็นนางผ่าตัดจนแทบจะทนรอไม่ไหว