ตอนที่ 100 ต้าเป่าเขินอาย
เสิ่นเสี่ยวซานได้ยินดังนั้น สีหน้าก็ซีดเผือด โวยวายเสียงดัง “ข้าไม่ทำ ข้าไม่เป่าลมให้คนตายหรอก”
หากไม่ใช่เพราะลู่เจียวกำลังปั๊มหัวใจกู้ชีพให้ซย่าเหลียนอยู่ นางก็อยากจะตบเขาสักฉาด มารดาเจ้าเถอะ น่ารังเกียจเสียจริง
ถึงแม้นางจะตบไม่ได้ แต่ก็ส่งสายตาอำมหิตให้เสิ่นเสี่ยวซานได้ พร้อมเตือนว่า “ข้าสั่งให้เจ้าเข้ามา หากเจ้ากล้าขัดขืน ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
เสิ่นเสี่ยวซานลังเล สตรีวัยกลางคนสองคนที่อยู่ข้างหลังเขาพุ่งเข้าไปลากเสิ่นเสี่ยวซานให้มาอยู่ข้างกายซย่าเหลียน
“รีบเป่าลมให้เมียเจ้า นางยังไม่ตายเสียหน่อย” ลู่เจียวพูดเช่นนี้ ก็เพื่อให้เสิ่นเสี่ยวซานยอมผายปอดให้ซย่าเหลียน
เสิ่นเสี่ยวซานยังไม่ทันแสดงปฏิกิริยาอะไรกับคำพูดของนาง คนในหมู่บ้านก็เริ่มวิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น
“ยังไม่ตายหรือ”
“ไม่มีทาง ก่อนหน้านี้พวกเราตรวจจมูกนางแล้ว ไม่มีลมหายใจเลยสักนิด”
“ภรรยาอวิ๋นจิ่นพูดเช่นนี้ จะต้องช่วยซย่าเหลียนได้แน่นอน พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว”
ลู่เจียวไม่สนใจคนที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ นางยื่นมือไปดึงเสิ่นเสี่ยวซานไว้ แล้วออกคำสั่งแกมข่มขู่ “เป่าลมให้นางเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
เสิ่นเสี่ยวซานถูกกดดันให้เป่าลมให้ซย่าเหลียน ที่จริงเขาก็กลัวอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนว่าตัวเองต้องเป่าลมให้คนตาย
แต่ลู่เจียวกำลังจ้องเขาอยู่ เขากลัวว่าหากไม่ทำตาม ผู้หญิงคนนี้จะทำร้ายเขา
ลู่เจียวจ้องซย่าเหลียน เสิ่นเสี่ยวซานผ่ายปอดให้ซย่าเหลียนครู่หนึ่งตามคำชี้แนะของลู่เจียว เพียงแต่ซย่าเหลียนยังคงไม่กระดิกกระเดี้ย
ลู่เจียวให้เสิ่นเสี่ยวซานหยุด แล้วนางก็ปั๊มหัวใจกู้ชีพให้ซย่าเหลียนอีกรอบ จากนั้นก็ให้เสิ่นเสี่ยวซานผายปอดต่อ
แต่ซย่าเหลียนก็ยังไม่ขยับตัว ลู่เจียวเห็นว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ผล จึงตัดสินใจว่าจะฉีดอะดรีนาลีนเข้ากล้ามเนื้อให้ซย่าเหลียน ไม่อย่างนั้นเกรงว่านางคงจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว
ในห้วงอากาศของนางมีอะดรีนาลีน เพียงแต่นางไม่อยากเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าคนอื่น นางเหลือบมองท้องฟ้าแล้วพบว่าคืนนี้แม้จะมีแสงจันทร์ แต่ก็ไม่สว่างมากพอที่จะทำให้เห็นการกระทำของนางชัดเจน อีกอย่างชาวบ้านเหล่านี้ก็อาจไม่สนใจการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของนางก็ได้
เมื่อลู่เจียวคิดได้เช่นนี้ก็ไม่รอช้า นำอะดรีนาลีนออกจากห้วงอากาศทันที แล้วฉีดเข้ากล้ามเนื้อให้ซย่าเหลียน
หลังฉีดอะดรีนาลีนเข้ากล้ามเนื้อได้ไม่นาน ลู่เจียวก็พบว่าหน้าอกของซย่าเหลียนพลันเริ่มกระเพื่อมขึ้นลง และนางยังเริ่มไอแล้ว
ลู่เจียวโล่งอกได้เสียที นางเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตัวเองอ่อนล้ามาก ทั้งร่างราวกับไร้เรี่ยวแรง เช้าวันนี้ผ่าตัดให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ต่อมายังต้องปั๊มหัวใจกู้ชีพให้ซย่าเหลียนอีก ตอนนี้นางเหนื่อยจนไม่อยากขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ส่วนกลุ่มชาวบ้านก็เริ่มส่งเสียงฮือฮา
“ซย่าเหลียนฟื้นแล้ว”
“ตอนแรกนางไม่มีลมหายใจแล้วชัดๆ ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะกลับมามีชีวิตได้”
“ภรรยาอวิ๋นจิ่นช่างเก่งกาจเหลือเกิน”
“ใช่แล้ว นางเก่งกาจจริงๆ ขนาดคนตายก็ยังทำให้ฟื้นขึ้นมาได้”
ลู่เจียวไม่สนใจผู้คนที่อยู่ข้างกาย นางหันไปมองเสิ่นเสี่ยวซาน แล้วกล่าวอย่างหงุดหงิดว่า “นางไม่เป็นอะไรแล้ว รีบพาตัวกลับบ้านไป”
ลู่เจียวพูดจบแล้วลุกขึ้นยืน เตรียมจะกลับเรือน ข้างกายมีคนในหมู่บ้านเซี่ยพากันกล่าวชมนางไม่หยุด
“ภรรยาอวิ๋นจิ่น เจ้าเยี่ยมยอดจริงๆ”
“ใช่ ขนาดคนตายแล้วเจ้ายังทำให้ฟื้นขึ้นมาได้”
“ความสามารถในการช่วยชีวิตคนยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
ลู่เจียวไม่อยากให้พวกชาวบ้านกล่าวเยินยอทักษะทางการแพทย์ของตัวเองเกินไป จึงอธิบายว่า “ซย่าเหลียนยังไม่ได้ตายเสียหน่อย ก่อนหน้านี้ตายปลอมเท่านั้น ที่จริงแล้วยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นจึงไม่เพราะฝีมือของข้าเพียงอย่างเดียวหรอก”
เมื่อพูดจบนางก็กล่าวอำลาคนในหมู่บ้าน แล้วกลับเรือนตัวเองไป
แม้ลู่เจียวจะอธิบายเช่นนั้นแล้ว แต่คนในหมู่บ้านเซี่ยก็ยังรู้สึกว่าทักษะทางการแพทย์ของนางยอดเยี่ยมมากอยู่ดี ถ้าแค่ครั้งสองครั้งก็ว่าไปอย่าง แต่นี่รักษาคนให้หายได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังรักษาโรคที่คนอื่นตรวจไม่พบได้ เพียงเท่านี้ก็เห็นชัดแล้วว่าภรรยาอวิ๋นจิ่นมีฝีมือยอดเยี่ยมเพียงใด
ตอนที่ลู่เจียวกลับมาถึงเรือน พวกสวี่ตัวจินก็ไปหมดแล้ว เดิมทีคนในบ้านควรจะกินมื้อเย็นแล้ว ทว่ายังไม่มีใครได้กินสักคน ทุกคนล้วนรอนางกลับมา
“ทำไมพวกเจ้าไม่กินกันก่อน รอข้าทำไม”
เถียนซื่อชี้แฝดสี่พร้อมบอกว่า “พวกเขาไม่ยอมกินก่อน จะรอให้เจ้ากลับมากินด้วยกัน”
ลู่เจียวได้ยินแล้วทั้งดีใจทั้งเป็นห่วงเด็กน้อยพวกนี้ นางนั่งยองๆ กอดพวกเขาครู่หนึ่ง
“ต่อไปนี้หากแม่มีธุระอะไร พวกเจ้ากินก่อนได้เลย”
แฝดสี่คนถูกลู่เจียวกอดครู่หนึ่ง ใบหน้าเล็กๆ ประดับด้วยรอยยิ้ม พวกเขาชอบกอดมารดา เพราะกอดของมารดาผ่อนคลายมาก พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรักที่มารดามีต่อพวกเขา
ไม่ใช่แค่เพียงเอ้อร์เป่า ซานเป่า และซื่อเป่า แม้แต่ต้าเป่าเองก็ตาเป็นประกายเช่นกัน มุมปากยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
แต่ลู่เจียวเห็นท่าทางเล็กน้อยนั้นของเขา น่าเอ็นดูจนไม่อาจบรรยายได้ นี่ต่างหากถึงสมกับวัยของเขา ไม่ใช่ทำหน้านิ่งเป็นไม้กระดานทั้งวันเลียนแบบผู้เป็นบิดา
ลู่เจียวโน้มตัวลงไปหอมใบหน้าเล็กๆ ของเขาอย่างอดไม่ได้
ใบหน้าน้อยๆ ของต้าเป่าแดงระเรื่อทันที เดินบิดตัวไปบิดตัวมา ลู่เจียวเห็นแล้วเริ่มขำ เจ้าเด็กน้อยคนนี้เขินอายเป็นแล้วหรือ พอเอ้อร์เป่า ซานเป่า และซื่อเป่าน้อยเห็นลู่เจียวหอมต้าเป่า พวกเขาก็ยื่นใบหน้าเล็กๆ เข้ามาใกล้ทันที
“ท่านแม่ ท่านหอมข้าด้วย”
ลู่เจียวหอมพวกเขาสามคน ทำให้เจ้าเด็กน้อยสามคนยิ้มอย่างพึงพอใจ
เถียนซื่อเห็นท่าทางชื่นมื่นของแม่ลูกเหล่านี้ นางก็ยินดียิ่ง ในที่สุดบุตรสาวคนนี้ก็ได้มีความสุขเสียที หลังจากผ่านความทุกข์ยากมามาก เช่นนี้นางก็วางใจแล้ว
“พอแล้ว ไปกินข้าวกัน ฟ้ามืดมานานแล้ว”
ลู่เจียวลุกขึ้นแล้วจูงเด็กน้อยสามคนเดินเข้าไปในห้อง
กับข้าวในคืนนี้รสอ่อนมาก นางต้มโจ๊กกวางตุ้ง ทำยำแตงกวา ผัดถั่วลันเตา
แม้จะกินอาหารรสอ่อน แต่โจ๊กกวางตุ้งกลับได้รับคำชมเป็นเสียงเดียวกันจากทุกคน เถียนซื่อเองก็ยังชมไม่ขาดปาก
“เจียวเจียว ผักกวางตุ้งบ้านเจ้าทั้งชุ่มฉ่ำทั้งอร่อย รสชาติดีกว่าผักกวางตุ้งที่อื่นมาก”
เจ้าตัวเล็กทั้งสี่ก็พยักหน้าเห็นด้วยรัวๆ รู้สึกว่าโจ๊กผักกวางตุ้งอร่อยมาก
ลู่เจียวโค้งมุมปากวาดรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ ผักกวางตุ้งนี้นางใช้น้ำจากน้ำพุจิตวิญญาณรด จะอร่อยกว่าผักกวางตุ้งบ้านอื่นก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรอกหรือ อีกทั้งผักกวางตุ้งพวกนี้ยังมีสรรพคุณบำรุงร่างกายด้วย
ลู่เจียวคิดแล้วก็มองเถียนซื่อพร้อมบอกว่า “หากท่านแม่ชอบก็นำกลับไปที่เรือนสักหน่อยสิ”
เถียนซื่อไม่ได้ปฏิเสธ เพราะนางเห็นว่าบุตรสาวปลูกผักกวางตุ้งไว้ไม่น้อย
“ได้สิ”
ลู่เจียวไม่ได้พูดอะไรอีก กินโจ๊กจนหมดไปชามหนึ่ง แล้วไปเติมโจ๊กที่ห้องครัวเพื่อนำไปป้อนให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ขาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ยังเจ็บอยู่หรือไม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่ายหน้า ก่อนหน้านี้กินยาแก้ปวดไป ตอนนี้จึงไม่ปวดขาแล้ว เพียงแต่เขากังวลนิดหน่อย ว่ายานี้จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูขาของเขาหรือไม่
“ยาที่เจ้าให้ข้ากิน เป็นยาที่ท่านหมอฉีให้มาใช่หรือไม่”
ลู่เจียวพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านหมอฉีบอกไว้ ว่าหากปวดรุนแรงก็กินได้อีก วางใจได้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“จะไม่มีปัญหาอะไรจริงหรือ”
ลู่เจียวสบตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อเขาเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางก็วางใจในที่สุด เขาพยักหน้าแล้วกินโจ๊ก แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะบอกว่า “พรุ่งนี้ไม่ต้องให้ข้ากินยานั่นแล้ว ข้าทนไหว”
ลู่เจียวเห็นเขาดึงดันเช่นนี้ก็ไม่ฝืนให้เขากินยาแก้ปวดอีก จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบต่อการฟื้นฟู หากผ่านคืนนี้ไปได้ พรุ่งนี้ก็จะปวดน้อยลงเท่านั้น เขาคงพอทนไหว
“ได้”
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดไป ลู่เจียวจึงไม่ได้ให้เขากินอย่างอื่นนอกจากโจ๊กกวางตุ้งหนึ่งชามใหญ่
ก่อนหน้านี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอนกายนอนอยู่บนเตียง ได้ยินเสียงบทสนทนาข้างนอกดังมา รู้ว่าทุกคนต่างก็บอกว่าผักกวางตุ้งบ้านตนอร่อย
หลังจากเขากินหมด ก็กล่าวออกมาอย่างเห็นพ้องด้วย “ผักกวางตุ้งเหมือนจะสดกว่าของบ้านอื่นมาก รสชาติดีจริงๆ”
ลู่เจียวยิ้มมุมปาก นางอารมณ์ดีมาก