ตอนที่ 103 ตอนนี้ท่านแม่เป็นคนดีแล้ว
ลู่เจียวตกใจจนหน้าถอดสี เพราะในหลุมกับดักนอกจากไก่ป่ากับกระต่ายป่าแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ายังมีงูตัวใหญ่เท่าเด็กอยู่อีกหนึ่งตัว
แม้ตอนนี้งูจะตายไปแล้ว แต่ลู่เจียวเห็นแล้วก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง นางไม่ได้กลัวงู แต่สัตว์ตัวอ่อนลื่นประเภทนี้ทำให้นางรู้สึกถึงแรงกดดันทางจิตใจอย่างน่าประหลาด
ลู่เจียวไม่กล้าไปเก็บไก่ป่ากับกระต่ายป่า นางมองลู่กุ้ย “เจ้าไปเอาไก่กับกระต่ายขึ้นมา งูไม่ต้อง”
ไก่ป่าหนึ่งตัวกับกระต่ายป่าหนึ่งตัวยังมีชีวิตอยู่ ให้เถียนซื่อนำกลับไปขุนให้อ้วนก่อนอีกสักหลายวัน
เมื่อลู่กุ้ยได้ยินคำพูดของลู่เจียว เขากลับไม่เห็นด้วย “งูนี่ไม่มีพิษ เป็นงูดอกไช่ฮวา ความยาวประมาณหนึ่งจั้ง หลังจากถลกหนังออกก็จะได้เนื้อกองใหญ่เชียวนะ”
ขณะที่พูดลู่กุ้ยก็ตาเป็นประกายแล้ว ยังดีที่หลายวันมานี้ได้กินเนื้อที่บ้านลู่เจียวมาตลอด หากเป็นเมื่อก่อน เขาก็อาจจะกระโจนเข้าไปกัดทั้งเป็นๆ สักคำหนึ่งแล้ว
พอลู่เจียวได้ยินเช่นนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปดูแวบหนึ่ง เพื่อยืนยันว่าเป็นงูไม่มีพิษจริงหรือไม่
นางหันกลับมามองลู่กุ้ย “เช่นนั้นเจ้าก็รีบนำมันออกมาถลกหนังแล้วหั่นเป็นท่อนเสีย”
พอเป็นเช่นนี้ นางจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดใจตอนที่มองมันแล้ว
เมื่อลู่กุ้ยไม่รอช้า นำไก่ป่า กระต่ายป่า และซากงูขึ้นมาอย่างคล่องแคล่ว เขากลัวว่าลู่เจียวเห็นงูแล้วจะรู้สึกแย่ จึงใช้มีดผ่าฟืนตัดงูออกเป็นท่อนๆ อย่างว่องไว
พอจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว สองพี่น้องก็แบกสมุนไพรและฟืนกลับบ้านด้วยกัน
แฝดสี่คนที่อยู่ในเรือนตื่นแล้ว ลู่เจียวเพิ่งจะเดินเข้าไปในลานบ้านเล็ก ต้าเป่าก็วิ่งเข้ามาหานางแล้ว มาดึงมือนางพร้อมบอกว่า “ท่านแม่ รีบไปดูเร็วเข้า ท่านพ่อปวดขา”
ลู่เจียวได้ยินแล้วก็บอกใบ้ให้ต้าเป่าปล่อยมือนาง นางวางสมุนไพรลง แล้วจูงมือต้าเป่าเดินไปทางเรือนตะวันออก
บนเตียงนอนในเรือนตะวันออก เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าแย่มากจริงๆ เมื่อวานลู่เจียวป้อนยาแก้ปวดให้เขาเม็ดหนึ่งแล้วก็จริง แต่แค่เที่ยงคืนยาก็หมดฤทธิ์แล้ว
ตอนกลางดึกเซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกปวดขามาก แต่เขากลัวว่าจะทำให้เด็กๆ ตื่น จึงอดทนเอาไว้ตลอด
คิดไม่ถึงว่าพอฟ้าสาง ต้าเป่ากลับสังเกตเห็นเข้า เด็กน้อยกระวนกระวายใจแทบแย่ เมื่อเห็นลู่เจียวกลับมา เขาก็รีบมาดึงมือลู่เจียวให้เดินไปดู
“เป็นอย่างไรบ้าง ปวดมากไหม”
บนเตียงนอน เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลัวว่าลู่เจียวจะให้เขากินยาแก้ปวดอีก จึงส่ายหน้าตอบ “ไม่ปวดแล้ว”
“ท่านพ่อปวดมาก ข้าเห็น” ต้าเป่าพูดแย้ง
ลู่เจียวยืนมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ข้างเตียง พร้อมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ปวดรุนแรงเลยใช่ไหม”
เห็นได้ชัดว่าบนใบหน้าของเซี่ยอวิ๋นจิ่นมีเหงื่อซึมเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด แต่เขาก็ยังยืนกรานปฏิเสธ
“ปวดนิดหน่อย ข้าอดทนได้”
ลู่เจียวรู้ว่าเจ้าหมอนี่ปวดขามาก แต่ก็รู้เช่นกันว่าเขาไม่อยากกินยาแก้ปวดอีก เพราะกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูขาของตัวเอง
อันที่จริงกินยาแก้ปวดแค่เม็ดสองเม็ดก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เจ้าหมอนี่ขี้กังวลเกินไป
ลู่เจียวไม่ได้บังคับให้เขากินยาแก้ปวด แต่นางก็รู้ว่าประสาทสัมผัสของเขาอ่อนไหวกว่าคนปกติ ถึงได้ปวดจนกลายเป็นอย่างนี้
“ได้ ในเมื่อเจ้าทนได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องกินยาแก้ปวด ข้าจะให้เจ้ากินไม่ใช่ยาแก้อักเสบไปก่อน”
ลู่เจียวตัดสินใจจะให้ยาแก้อักเสบกับเขาโดยผสมไว้กับน้ำเกลือ แต่นางก็ไม่อยากให้เขารู้
ดังนั้นนางต้องให้ยาระงับประสาทเขาก่อน เมื่อเขาหลับแล้ว นางค่อยฉวยโอกาสนั้นให้น้ำเกลือเขา
ขณะที่ลู่เจียวกำลังคิด เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่นอนอยู่บนเตียงก็จ้องนางด้วยสีหน้าระแวดระวัง “เจ้าคงไม่ได้กำลังคิดจะฉวยโอกาสให้ข้ากินยาแก้ปวดหรอกใช่ไหม ข้าไม่กิน”
ลู่เจียวมองเขาอย่างจนใจ ได้แต่บอกอย่างหงุดหงิดว่า “เจ้าคิดว่าแค่เจ้าผ่าตัดแล้วก็จะไม่เป็นอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ นั่นคือการเอามีดกรีดเนื้อทั้งเป็นๆ นะ หลายวันนี้ต้องกินยาแก้อักเสบ ไม่อย่างนั้นหากอักเสบขึ้นมาก็จะยุ่งยาก”
เมื่อเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดของลู่เจียว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผล แต่ก็ยังมองลู่เจียวด้วยความระแวง
“ข้ากินยาแก้อักเสบก็ได้ แต่ไม่กินยาแก้ปวด”
“ได้ๆๆ ข้ารู้แล้ว”
ลู่เจียวเพิ่งจะพูดจบ ต้าเป่าที่อยู่ข้างกันก็เงยหน้ามองนางอย่างกังวล “ท่านแม่ ท่านพ่อปวดขา”
เป็นเด็กน้อยอายุสี่ขวบแท้ๆ แต่ดูท่าทางเวลาเป็นห่วงเป็นใยนั่นสิ ดูจริงจังยิ่งกว่าชายชราคนหนึ่งเสียอีก
“ตอนนี้พ่อเจ้าไม่ได้ปวดแผลมากเท่าเมื่อวานแล้ว อีกประเดี๋ยวกินยาแก้อักเสบก็จะดีขึ้น เป็นเพราะเพิ่งผ่าตัดมา สองสามวันแรกจึงค่อนข้างปวด แต่หลังจากนี้ก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ”
พอลู่เจียวพูดจบ คิ้วเล็กๆ ของต้าเป่าก็ขมวดมุ่นอย่างเป็นกังวล เขาเงยหน้ามองนาง “ท่านแม่ ให้ท่านพ่อกินลูกกวาดเถอะนะ”
ลู่เจียวไม่ได้ปฏิเสธ นางหยิบลูกกวาดให้ต้าเป่า “แกะห่อแล้วให้ท่านพ่อของเจ้ากิน แม่จะไปรินน้ำมาป้อนยาเขา”
ต้าเป่ารับลูกกวาดมาอย่างว่านอนสอนง่าย แล้วแกะห่อป้อนใส่ปากเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ลู่เจียวเดินออกไปแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่ในห้องราวกับเพิ่งได้สติ เมื่อครู่นี้ ตอนที่ได้ยินต้าเป่าเรียกลู่เจียวว่าท่านแม่ ทำเอาเขาตะลึงงันไปชั่วขณะ
เขานึกว่าต้องรอให้ผ่านไปสักระยะก่อน เด็กน้อยคนนี้ถึงจะยอมเรียกลู่เจียวว่าท่านแม่ อย่างไรเสียในความคิดของเขา บุตรชายคนโตก็ความรู้สึกอ่อนไหวมากกว่าเอ้อร์เป่า ซานเป่า และซื่อเป่าน้อย
นึกไม่ถึงว่าเด็กน้อยคนนี้จะเอ่ยปากเรียกลู่เจียวว่าท่านแม่แล้ว
ต้าเป่าไม่รู้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังคิดอะไร ได้แต่แกะห่อลูกกวาดป้อนเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าหากเขาไม่กิน เด็กน้อยคนนี้ก็จะเป็นห่วง เขาจึงอ้าปากรับลูกกวาดนั้นไว้
ต้าเป่ายิ้มออกมาดังคาด เมื่อเด็กน้อยอีกสามคนบนเตียงเห็นต้าเป่ายิ้มแล้ว แถมท่านพ่อก็กินลูกกวาดแล้วด้วย พวกเขาทุกคนก็ยิ้มตาม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นถามต้าเป่าเสียงเบา “เจ้ายอมเรียกนางว่าท่านแม่แล้วหรือ”
เมื่อต้าเป่าได้ยินคำถามของเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาก็รู้สึกเก้อเขินทันที ใบหน้าเล็กๆ แดงเรื่อ เขาก้มหน้าเล่นมือตัวเอง ผ่านไปนานกว่าจะยอมเอ่ยตอบเสียงแผ่ว
“ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ถ้าท่านแม่นิสัยดีขึ้นแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยื่นมือลูบศีรษะต้าเป่า ดูท่าต้าเป่าคงจะค่อยๆ เปิดใจยอมรับลู่เจียวแล้ว เช่นนั้นก็ดี
“เจ้าทำถูกแล้ว ตอนนี้ท่านแม่ของเจ้าเปลี่ยนเป็นคนใหม่แล้ว จากนี้ไปนางจะเป็นมารดาที่ดี เรื่องในอดีตก็ลืมไปเสีย เกิดเป็นคนล้วนเคยผิดพลาดกันทั้งนั้น”
ต้าเป่านึกถึงเรื่องที่ตัวเองเคยวางยาพิษมารดา ใช่แล้ว เขายังเคยวางยาพิษมารดาเลย แต่นางก็ไม่ถือสา ดังนั้นเขาจึงให้อภัยนางเช่นกัน ต่อไปนี้จะไม่เรียกนางว่าผู้หญิงชั่วอีก
ต้าเป่าเงยหน้าส่งยิ้มให้บิดา
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ทำให้ไม่รู้สึกปวดขามากขนาดนั้นแล้ว
แฝดสี่คนล้อมเข้ามาดูเขาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านพ่อ ท่านหายปวดขาแล้วใช่หรือไม่”
“กินลูกกวาดแล้วก็ไม่ปวดแล้ว”
“ใช่แล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกขำ แต่ก็ยังให้ความร่วมมือกับพวกเขา กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “อืม พ่อไม่ปวดเลยสักนิด”
ต้าเป่ารีบเสนอ “เช่นนั้นตอนที่ท่านปวด ข้าจะให้ท่านแม่ป้อนลูกกวาดท่าน”
“ได้”
ในที่สุดเด็กน้อยทั้งสี่ก็โล่งใจแล้ว
ลู่เจียวเดินถือยาและน้ำเข้ามา นางเห็นแฝดสี่ที่ก่อนหน้านี้ยังเป็นกังวลดูร่าเริงแจ่มใสขึ้นแล้ว
“มา กินยาได้แล้ว”
ลู่เจียวนำยาระงับประสาทมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น เขามองยาในมือของนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน พบว่าแตกต่างจากยาเมื่อวาน
ยานี้เป็นเม็ดกลมสีขาวขนาดเล็กสองเม็ด เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เคยเห็นมาก่อน จึงอดสงสัยไม่ได้
“ข้าไม่เคยเห็นยาเช่นนี้มาก่อน”