ตอนที่ 109 น่ากลัวเกินไปแล้ว
ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างเป็นคนฉลาดหลักแหลม แค่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หร่วนซื่อมาหวีดร้องโวยวายอีกแล้ว จู๋จ่างเกรี้ยวโกรธจนขมวดคิ้วมองนาง
สี่แฝดที่อยู่ในเรือนไม่เข้าใจสิ่งที่หร่วนซื่อและลู่เจียวพูด พวกเขาแค่เอ่ยตามใจตัวเอง “ท่านแม่ ข้าไม่อยากให้นางอยู่บ้านพวกเรา”
“ใช่ นางร้องไห้บ่อยมาก”
ลู่เจียวก้มหน้ามองแฝดสี่คนและพูดอย่างแผ่วเบา “นี่เป็นคนที่ท่านย่าส่งมาช่วยพวกเราทำงาน มีเรื่องอะไรในบ้านก็ให้นางทำได้หมด แม่จะได้มีเวลาเล่นกับพวกเจ้ามากขึ้นไง”
“จริงหรือ”
สี่แฝดหันไปมองหร่วนซื่อด้วยความสงสัย พลางมองโจวเสี่ยวเถาสลับกันไป
มีเรื่องอะไรในบ้านก็ให้นางทำอย่างนั้นหรือ
โจวเสี่ยวเถามีสีหน้าเปลี่ยนไป นางอยากแย้งกลับไปว่า นางมาดูแลญาติผู้พี่ ไม่ได้มารับใช้พวกเขา
ทว่าหร่วนซื่อพลันส่งสายตาที่สื่อให้โจวเสี่ยวเถารู้ว่าอย่าพูดอะไรเหลวไหลเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะไม่ให้นางอยู่ที่นี่ต่อ
โจวเสี่ยวเถามองบุรุษหน้าตาหล่อเหลาดั่งหยก ราวกับภาพวาดพู่กัน สุดท้ายก็กลืนคำพูดกลับไป
เพื่อให้ได้แต่งงานกับพี่อวิ๋นจิ่น นางต้องอดทนให้ได้
โจวเสี่ยวเถาครุ่นคิดพลางมองลู่เจียวปราดเดียว คอยดูเถิด ข้าจะไล่เจ้าออกจากบ้านให้ได้
ลู่เจียวกลอกตามองบนใส่นาง เพ้อฝันเก่งจริงๆ เซี่ยอวิ๋นจิ่นต้องตาต้องใจเจ้าแล้วหรือ
หร่วนซื่อที่เจรจากับจู๋จ่างและเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลเซี่ย จู่ๆ รู้สึกกดดันยิ่งนัก “เอาเถอะ ให้นางอาศัยอยู่ที่นี่ ข้าขอตัวก่อน”
หร่วนซื่อหันหลังแล้วเดินจากไป โจวเสี่ยวเถากลับรู้สึกหวาดหวั่นใจเล็กน้อย
ลู่เจียวกำลังจะสั่งงานนาง แต่นึกไม่ถึงว่าต้าเป่าจะเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้า มาช่วยงานพวกเราที”
โจวเสี่ยวเถาได้ยินคำพูดต้าเป่าก็แสดงสีหน้ายิ้มแย้ม ทำตัวอ่อนโยนกับสี่แฝด
“ได้”
ต้าเป่ามองนาง ร่างน้อยสั่นเทาชั่วขณะ สตรีคนนี้อัปลักษณ์เหลือเกิน
คนอื่นในเรือนก็รู้สึกว่าหน้าตาของนางน่าผวา ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างพลันละสายตาไปทางอื่น
ลู่เจียวเห็นโจวเสี่ยวเถาเดินตามสี่แฝดออกมาด้านนอก นางไม่กลัวว่าเด็กๆ จะโดนถูกหลอก เพราะพวกเขาฉลาดหลักแหลมมาก
ลู่เจียวเชิญผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างนั่งลง เอาถ้วยชาที่นางซื้อมาครั้งที่แล้วมาชงชาให้ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ดื่ม
“อวิ๋นจิ่น พวกเรามานี่เพราะมีเรื่องจะขอคำปรึกษาจากเจ้า พวกเราหารือกันอย่างไรก็ตัดสินใจไม่ได้เสียที”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นซิ่วไฉคนเดียวของหมู่บ้าน ในหมู่บ้านมีเรื่องสำคัญอะไร ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างมักจะมาถามความเห็นของเขาเสมอ
ฉะนั้น เมื่อใดที่พวกเขาตัดสินใจอะไรไม่ได้ ก็จะหารือกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นเสมอ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่เคยปฏิเสธ เขามองเหล่าผู้อาวุโสด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เรื่องอะไรหรือ”
จู๋จ่างเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าจะให้ภรรยาของเจ้าให้ความรู้ด้านสมุนไพรกับชาวบ้าน นี่เป็นความคิดที่ดี แต่ตอนนี้พวกเราตัดสินใจไม่ได้ว่าจะให้สอนแค่คนแซ่เซี่ยหรือคนทั้งหมู่บ้านไปพร้อมกันเลย”
“คนในหมู่บ้านเซี่ยถือว่าสามัคคีกว่าหมู่บ้านอื่น แม้มีคนบางกลุ่มที่คอยสร้างความปั่นป่วนให้หมู่บ้าน แต่นั่นก็แค่คนส่วนน้อยเท่านั้น”
“ถ้าครั้งนี้สอนแค่คนสกุลเซี่ย คนสกุลอื่นอาจแบ่งพรรคแบ่งพวกออกไป ต่อไปหมู่บ้านเซี่ยคงแบ่งเป็นสองฝ่าย นี่คงไม่ค่อยดีกับหมู่บ้านเซี่ยสักเท่าไหร่”
“แต่ถ้าสอนทั้งหมู่บ้านก็กลัวว่าคนสกุลเซี่ยจะไม่พอใจ คนรู้จักสมุนไพรน้อย โอกาสหาเงินก็ยิ่งมาก แต่ถ้าคนรู้จักสมุนไพรมาก เกรงว่าคงจะหาเงินได้น้อยลง”
จู๋จ่างรู้สึกกดดันมาก ก่อนหน้านี้เขาดีใจที่ลู่เจียวบอกว่าจะสอนเกี่ยวกับสมุนไพร พอมาครุ่นคิดดูดีๆ แล้ว เรื่องนี้ก็ยุ่งยากอยู่เหมือนกัน พวกเขาตัดสินใจไม่ได้ ถึงได้มาปรึกษาหารือกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่นานก็เงยหน้ามองผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่าง
“เช่นนั้นก็สอนกันทั้งหมดนี่แหละ ผู้ใหญ่บ้านนัดทั้งคนสกุลเซี่ยและสกุลอื่นมาประชุมพร้อมกัน ให้คนสกุลอื่นปฏิญาณตนว่าจะไม่เก็บสมุนไพรบนภูเขาที่ใกล้หมู่บ้านเซี่ย ภูเขาแถวนี้คนสกุลเซี่ยมีสิทธิ์เก็บเท่านั้น”
“ละแวกนี้มีภูเขาไม่น้อย ไม่ได้มีแค่ภูเขาที่ล้อมหมู่บ้านเซี่ยนี้เท่านั้น อีกอย่างท่านต้องบอกทุกคนว่าอาชีพนี้ไม่ยั่งยืน เป็นการหารายได้ชั่วคราวเท่านั้น ไว้ข้าจะหาอาชีพที่ยั่งยืนให้พวกเขาอีกที บอกให้ทุกคนอย่าโลภในผลประโยชน์ชั่วคราวจนมองหน้ากันไม่ติด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดจบ ผู้ใหญ่บ้าน จู๋จ่างและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าวิธีนี้ไม่เลว ก่อนอื่นต้องให้ชาวบ้านแซ่อื่นไปเก็บสมุนไพรในป่าอื่น เช่นนี้จะได้ปลอบโยนคนสกุลเซี่ย แล้วยังให้โอกาสคนสกุลอื่นได้งานส่วนนี้ด้วย เสียแต่ต้องเดินทางไปไกลหน่อยก็เท่านั้น
ประโยคหลังที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นทิ้งท้าย คือไม่อยากให้คนสกุลเซี่ยหรือสกุลอื่นทะเลาะกันเพราะอาชีพนี้
จู๋จ่างลุกขึ้นอย่างดีใจ “ได้ เช่นนั้นก็ทำตามที่อวิ๋นจิ่นพูดเถอะ”
จู๋จ่างพูดจบ ก็นึกถึงลู่เจียวและชาวบ้านที่เรื่องมาก นางคงไม่ยอมให้คนพวกนั้นมาเรียนด้วยแน่นอน
“ภรรยาของอวิ๋นจิ่นมีอะไรจะพูดหรือไม่”
ลู่เจียวมองจู๋จ่าง “ข้าจะให้พี่สะใภ้รองมาฝึกกับข้าคนเดียว คนอื่นในบ้านข้าไม่อยากให้มาฝึกด้วย”
นางพูดจบก็เอ่ยถึงแม่หม้ายหลี่ “ส่วนบ้านของแม่หม้ายหลี่ ให้ซย่าเหลียนมาเรียนคนเดียวก็พอ อย่าให้แม่หม้ายหลี่มาเป็นอันขาด”
ถ้าไม่ใช่เพราะสงสารซย่าเหลียน นางคงไม่ยอมให้คนของบ้านแม่หม้ายหลี่มาเข้าร่วมแม้แต่คนเดียว
สำหรับป้ากุ้ยฮวาที่เคยทะเลาะกับนางก่อนหน้านี้ ก็ได้มาขอโทษนางแล้ว นางจะไม่ยกโทษให้ก็คงไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น แม้นางจะให้ความรู้เกี่ยวกับด้านสมุนไพร ก็ใช่ว่าจะนำความรู้นี้ไปทำเงินได้มากมาย แต่อย่างน้อยก็พอทำให้ชีวิตพวกเขาดีขึ้นเล็กน้อย
จู๋จ่างตอบตกลงโดยไม่ลังเล “ได้ เรื่องนี้ให้พี่ฟู่กุ้ยไปจัดการเถอะ”
เซี่ยฟู่กุ้ยพลันพยักหน้า “ได้ ข้าจะไปจัดการเอง พรุ่งนี้จะให้ทุกคนมาเข้าอบรมสมุนไพร”
เซี่ยฟู่กุ้ยพูดจบก็นึกถึงว่าในหมู่บ้านมีครัวเรือนอยู่ไม่น้อย ต่อให้มากันบ้านละคน บ้านเซี่ยนี้ก็คงรองรับคนมากมายไม่ได้แน่
“ภรรยาของอวิ๋นจิ่น ถ้าให้คนมากันครบ ในเรือนคงมีที่ยืนไม่พอแน่”
ลู่เจียวก็นึกถึงปัญหานี้ จึงชี้ไปที่ลานด้านนอก “ทุกคนยกเก้าอี้ของตัวเองมานั่งที่ลานด้านนอกแล้วกัน ที่จริงแค่แนะนำสมุนไพรให้ชาวบ้านรู้จักเท่านั้น บางคนก็อาจจะรู้จักสมุนไพรที่ข้าจะสอน แต่ถ้าไม่รู้ ข้าจะให้สมุนไพรตัวอย่างให้พวกเขาลองไปหาเด็ดดูในป่า หาเด็ดดูสักสองสามรอบก็น่าจะจำได้กันแล้ว”
ลู่เจียวรู้สึกว่าสมุนไพรที่นางเด็ดมาก่อนหน้านี้คงไม่พอ พรุ่งนี้เช้านางจะขึ้นไปเด็ดบนเขาอีก
ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างได้ยินคำพูดของนางก็พยักหน้าทันที “ได้ เช่นนั้นพวกเรากลับไปมอบหมายเรื่องนี้กันก่อนเถอะ”
คนในเรือนต่างก็ยิ้มแย้ม แต่จู่ๆ เสียงร้องไห้ก็ดังมาจากด้านนอก
ทุกคนมองไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว โจวเสี่ยวเถาเดินร้องไห้เข้ามาด้านใน
“พี่อวิ๋นจิ่น พวกเขา… พวกเขาใช้ให้ข้าไปกวาดขี้หมา ทั้งยังทำความสะอาดคอกหมาด้วย”
โจวเสี่ยวเถามองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงด้วยท่าทีน่าสงสาร ประหนึ่งนางโดนรังแก
น่าเสียดายที่เวลานี้ต่อให้นางจะนึกว่าตัวเองงดงามเพียงใด คราบน้ำตาที่ไหลรินทำให้แป้งบนใบหน้าเลอะ เกิดคราบเหลืองเป็นหย่อมๆ นางเลยดูอัปลักษณ์ยิ่งกว่าเก่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงอดขมวดคิ้วขึ้นไม่ได้ แล้วใช้แววตาเย็นเฉียบมองโจวเสี่ยวเถา
โจวเสี่ยวเถารู้สึกขวัญเสียไปถึงขนาดหยุดร้องไห้
ผู้ใหญ่บ้านและจู๋จ่างมองไปที่โจวเสี่ยวเถา พลางมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นและลู่เจียว ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ทุกคนล้วนลอบด่าหร่วนซื่อที่รู้จักแต่สร้างปัญหาให้คนอื่นในใจ
ลู่เจียวไม่ได้มองโจวเสี่ยวเถา เพียงพูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรว่า “ให้เจ้าไปกวาดคอกสุนัข เจ้าก็ร้องไห้ขนาดนี้แล้ว ดูท่าแล้วตอนอยู่บ้านโจวคงไม่ได้ทำงานทำการอะไรสินะ เอาแต่กินๆ นอนๆ ใช่หรือไม่”
แค่มองจากใบหน้าซีดเหลืองและซูบตอบ ก็รู้ทันทีว่าตระกูลโจวของนางต้องไม่ร่ำรวยอะไรแน่นอน
ไหนๆ ก็ไม่ใช่เศรษฐี เรื่องให้อาหารและทำความสะอาดคอกหมูหมากาไก่น่าจะเป็นเรื่องปกติ เหตุใดนางต้องมาโวยวายที่นี่ด้วย