ตอนที่ 137 ผู้ป่วยเที่ยงคืน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวไปคำหนึ่งก็รีบเปลี่ยนบทสนทนา “การสอบย่วนซื่อในเดือนเก้าปีนี้ไม่มีปัญหากระมัง”
หันถงพอได้ฟังคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมา แม้เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเขา แต่คอยสอนความรู้เขามาตลอด ดังนั้นทุกครั้งที่เขาถาม เขาก็มักรู้สึกว่าเป็นอาจารย์ของเขา ก็พลันอดเคร่งเครียดขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเหลือบมองหันถง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “เจ้าก็ทำแบบทบทวนที่ข้าได้เคยอธิบายไว้ ถึงตอนนั้นจิตใจสงบร่วมการสอบซิ่วไฉน่าจะสอบติด”
“พรุ่งนี้กลับไปก็จงเริ่มทบทวนจริงจัง อย่าได้คิดโน่นคิดนี่ การสอบย่วนซื่อครั้งนี้ หากเจ้าสอบไม่ติดซิ่วไฉอีก ท่านพ่อเจ้าต้องจัดการเจ้าแน่”
หันถงได้ฟังคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่น สีหน้าก็พลันดำมืด เขามีลูกสองคนแล้ว หากท่านพ่อเขาจัดการเขา เขาต้องถูกลูกๆ หัวเราะเยาะเอาแน่
แต่พอหันถงคิดไปมา ก็รู้สึกว่าท่านพ่อเขาอาจจัดการเขาจริงๆ ดังนั้นการสอบครั้งนี้ เขาต้องสอบให้ติด
ตกค่ำ หมู่บ้านตระกูลเซี่ยเงียบสงบไปทั้งหมู่บ้าน แต่ละครอบครัวก็พากันเข้านอน
ถนนปากทางตะวันตกในหมู่บ้านก็พลันมีเสียงฝีเท้ามาควบมาอย่างรวดเร็ว เสียงนี้ทำลายความเงียบสงบในค่ำคืนดึกดื่น
คนไม่น้อยในหมู่บ้านต่างตกใจ แต่ละคนต่างพากันลุกขึ้นนั่งด้วยสัญชาตญาณ สุนัขบ้านฮูหยินเฒ่าสามส่งเสียงเห่าดังขรม
ผู้ใหญ่บ้านเซี่ยฟู่กุ้ยสวมเสื้อลงจากเตียง ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านไม่น้อยก็พากันสวมเสื้อผ้าเดินออกมา
เสียงฝีเท้าตะบึงไปทางตะวันออกของหมู่บ้าน ไปทางตะวันออกสุดของหมู่บ้าน เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวก็ตื่นตั้งแต่วินาทีแรกแล้ว
โดยเฉพาะลู่เจียวที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าไวเป็นพิเศษ พอตั้งสมาธิฟัง ก็ได้ยินเสียงรถม้ากำลังวิ่งมาทางบ้านพวกเขา
ลู่เจียวไม่ห่วงว่าคนพวกนี้จะมาทำร้ายพวกนาง หากทำร้ายคน ย่อมไม่อาจตะบึงมากันอย่างเปิดเผยอลังการเช่นนี้
ดังนั้นถ้าไม่เหนือความคาดหมาย คนที่มาน่าจะเป็นคนหอยาเป่าเหอ หอยาเป่าเหอรับผู้ป่วยหนักมากระมัง
ลู่เจียวเพิ่งคิดจบ ก็สวมเสื้อผ้าลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่บนเตียงต่างตกใจ แต่ละคนโผเข้าหาด้วยลู่เจียวด้วยสัญชาตญาณ “ท่านแม่”
ลู่เจียวยกมือไปลูบหัวแฝดสี่ ปลอบใจกล่าวว่า “ไม่เป็นไร น่าจะมีคนป่วยมาหาแม่ให้รักษาอาการป่วย”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รู้ว่าท่านแม่รักษาอาการป่วยได้ร้ายกาจ ดังนั้นพอได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย
ลู่เจียวปลอบใจเด็กๆ อยู่สองสามคำ ก่อนจะเดินไปยังลานด้านนอกห้องโถง
นางเพิ่งเดินไปถึงลานด้านนอก ก็เห็นรถม้าหยุดลงตรงด้านนอกบ้านนางอย่างเร่งรีบ คนในรถรีบกระโดดลงมา พอเห็นลู่เจียวในลานบ้าน เขาก็เรียกเสียงดังด้วยสัญชาตญาณว่า “อา…”
คำว่าจารย์ไม่ได้กล่าวออกมา ก็คิดได้ว่าลู่เจียวยังไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขาคารวะนางเป็นอาจารย์ในตอนนี้ ก็พลันเปลี่ยนคำเรียก
“ลู่เหนียงจื่อ หอยาเป่าเหอมีผู้ป่วยมาคนหนึ่ง ข้าไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้ คิดเชิญลู่เหนียงจื่อไปดูสักครั้ง ขอลู่เหนียงจื่อโปรดยื่นมือช่วยเหลือ”
ลู่เจียวมองท่าทางร้อนใจของฉีเหล่ย ดูท่าอาการผู้ป่วยหนักหนาสาหัสมาก
นางไม่ได้รั้งรอชักช้า กล่าวกับฉีเหล่ยว่า “ข้าบอกท่านพี่สักคำ จะรีบตามพวกเจ้าเข้าเมือง”
“ได้ รบกวนแล้ว”
นอกลานบ้าน ผู้ใหญ่บ้านนำคนมาได้ยินคำพูดฉีเหล่ยพอดี ผู้ใหญ่บ้านอดตกใจไม่ได้ หมอฉีไม่ใช่หมอเก่งกาจที่มาจากเมืองหลวงหรือ คนที่เขารักษาไม่ได้ ถึงกับมาหาภรรยาอวิ๋นจิ่นรักษา หรือว่าวิชาการแพทย์ภรรยาอวิ๋นจิ่นสูงกว่าหมอฉี
ผู้ใหญ่บ้านพลันไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี
ลู่เจียวเข้าไปในเรือนนอนตะวันออกบอกกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นสักคำหนึ่ง “หอยาเป่าเหอในเมืองมีผู้ป่วยหนักมา หมอฉีขอให้ข้าไปดูหน่อย ข้าไปก่อน เจ้าดูแลลูกๆ ทั้งสี่นะ”
ลู่เจียวกล่าวจบก็เดินไป มองเห็นท่าทางแตกตื่นร้อนใจของฉีเหล่ย อาการผู้ป่วยน่าจะหนักมาก
เพียงแต่ลู่เจียวยังไม่ทันได้เดินไปไกล เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังพลันส่งเสียงดังขึ้น “หมอฉีไม่ใช่ว่าเก่งกาจมากหรือ ทำไมต้องให้เจ้าไปรักษาผู้ป่วยแทนด้วย”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “คนเรามีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกัน เขาเก่งกาจไม่ได้หมายความว่าเป็นหมด ข้าไม่เก่งกาจก็ไม่ได้หมายความว่ารักษาผู้ป่วยไม่ได้ เขามารับข้าน่าจะเพราะอาการผู้ป่วยหนักมาก คนเดียวไม่มั่นใจ สองคนหารือกันน่าจะดีหน่อย”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ไม่สนใจเขาอีก อาการผู้ป่วยรอไม่ได้
เพียงแต่ลู่เจียวเพิ่งเดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังก็ส่งเสียงดังออกมา “หันถง เจ้าเข้าเมืองไปกับลู่เจียว รอนางตรวจผู้ป่วยเสร็จ เจ้าก็ให้รถม้าส่งนางกลับมา จากนั้นเจ้าค่อยกลับอำเภอชิงเหอ”
หันถงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นห่วงลู่เจียว ก็เห็นด้วยทันที
นอกห้อง ลู่เจียวย่อมได้ยินคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่น นางไม่สนใจจะคัดค้าน ก้าวเท้าไปยังเรือนนอนตะวันตกบอกเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่า
“ท่านอาหันจะไปส่งท่านแม่เข้าเมือง พวกเจ้าไปเรือนนอนตะวันออกนอนกับท่านพ่อ”
ลู่เจียวเป็นห่วงว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่จะกลัว ดังนั้นจึงเสนอให้พวกเขาไปนอนกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เจ้าแฝดสี่เห็นด้วย นางก็ก้มลงอุ้มสองคนไปยังเรือนนอนตะวันออก
หันถงเดินออกมาจากเรือนนอนตะวันออก รีบเข้าไปอุ้มเด็กอีกสองคนจากเรือนนอนตะวันตกมาส่งเรือนนอนตะวันออก
ลู่เจียวจัดการเด็กๆ เรียบร้อย ก็ก้าวเท้าออกไป หันถงด้านหลังก็รีบตามมา
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงมองทั้งสองคนจากไป สายตาเขาค่อยๆ มองไปที่ขาตนเอง รออีกหน่อย เขาก็จะเดินเองได้แล้ว วันหน้าเขาจะเป็นเพื่อนลู่เจียวไปรักษาผู้ป่วย
แต่มีหันถงตามไป เขาก็พอไว้วางใจได้สักหน่อย
ลู่เจียวเข้าครัวแบกกระบุงมาด้วย จะไปขึ้นรถม้าหน้าประตูไปกับหันถง ระหว่างลู่เจียวเดินไปก็กล่าวกับหันถงไปว่า “ความจริงก็ไม่ต้องให้เจ้ามาด้วย เจ้ากลับไปพักผ่อนดีกว่า”
หันถงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “อวิ๋นจิ่นเป็นห่วงพี่สะใภ้ ข้าเองก็มาเป็นเพื่อนพี่สะใภ้สักครั้ง”
ลู่เจียวรู้สึกขำ เซี่ยอวิ๋นจิ่นจะเป็นห่วงนางได้อย่างไร ก็ไม่รู้ว่าค่ำนี้เขาอยู่ดีๆ เป็นอะไรขึ้นมา
ขณะลู่เจียวกำลังคิดอยู่นั้น ฉีเหล่ยก็ก้าวมาข้างรถม้า สายตาเขามองไปยังหันถงทันที
ลู่เจียวชี้ไปทางหันถงบอกกับฉีเหล่ยว่า “นี่คือเพื่อนร่วมชั้นเรียนท่านพี่ เขาจะเป็นเพื่อนพวกเราเข้าเมือง”
ฉีเหล่ยพยักหน้าเล็กน้อยเข้าใจทันที เซี่ยซิ่วไฉไม่วางใจให้อาจารย์เข้าเมืองคนเดียว?
ความสนใจลู่เจียวย้ายไปที่ผู้ป่วย นางถามฉีเหล่ย “ผู้ป่วยอาการเป็นอย่างไร”
สามคนคุยไปก็ก้าวขึ้นรถม้าไป คนขับรถม้าก็เร่งขับมุ่งไปยังทางตะวันตกของหมู่บ้านทันที ผู้ใหญ่บ้านด้านหลังโบกมือให้พวกชาวบ้านในหมู่บ้านกลับไปนอน
ลานบ้านตระกูลเซี่ย เสี่ยวเฮยกับฮวาฮวาส่งเสียงเห่า น่าเสียดายเสียงเบาเกินไป ไม่ได้ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
บนรถที่กำลังขับเคลื่อนไป ลู่เจียวถามฉีเหล่ยอีกครั้งว่า “ผู้ป่วยอาการเป็นอย่างไร”
เห็นสีหน้าฉีเหล่ย คนป่วยอาการเห็นชัดว่าหนักมาก ไม่รู้ป่วยเป็นโรคอะไร
ฉีเหล่ยมองหันถง ลู่เจียวกล่าวว่า “ไม่เป็นไร หันถงสนิทกับท่านพี่ข้ามาก อาการเป็นอย่างไร เจ้าเล่ามา”
ฉีเหล่ยหันไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “ตอนเที่ยงคืนพวกเราได้รับผู้ป่วยหนักมาคนหนึ่ง ผู้ป่วยถูกยิงด้วยลูกธนูแฉกกลับหัวที่ตรงนี้”