ตอนที่ 147 เช่นนั้นก็ให้พวกเขาได้กระโดดโลดเต้นไปอีกสองสามวัน
ด้านหน้านอกประตูรั้ว มีคนชราอายุมากหลายคน พวกนางรีบพากันมาดูสถานการณ์ ได้ฟังคำพูดลู่เจียว คนชราหลายคนก็อดวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิเฉินหลิ่วไม่ได้
“ครอบครัวพวกเจ้าแท้จริงสอนลูกอย่างไรกัน ด่าอาสะใภ้ตนเองว่าหญิงชั้นต่ำ ด่าน้องชายว่าเดรัจฉาน นี่ล้วนเป็นวาจาเด็กน้อยหรือ”
“เจ้าหนูนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกแล้ว วันหน้าไม่แน่อาจเป็นคนไร้ความรู้ความสามารถ”
“หมู่บ้านตระกูลเซี่ยเรามีเด็กเช่นนี้ ขายหน้าจริง”
เฉินหลิ่วได้ยินคำตำหนินี่นั่น สีหน้าอย่าได้เอ่ยว่าย่ำแย่เพียงใด
นางหันไปมองลู่เจียว กล่าวว่า “วาจาเด็กน้อยจะถือสาเอาเป็นจริงได้อย่างไร เจ้าดูลูกๆ เจ้าจัดการไช่โต้วจนเป็นเช่นนี้ พวกเขาเป็นพี่น้องเลือดเนื้อเชื้อไขสัมพันธ์กันนะ พี่น้องกันแท้ๆ ทำไมลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ได้”
ยามนี้เฉินหลิ่วยังคิดให้ลูกตนคืนดีกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เหมือนแรกเริ่ม
ลู่เจียวยังไม่ทันได้กล่าวอะไร เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เดินออกมาจากในห้องโถง ยืดอกมองเฉินหลิ่วกล่าวว่า
“พวกเราไม่มีพี่น้องอย่างพวกเขา ถึงกับด่าท่านแม่เรา วันหน้าพวกเขาก็คือศัตรูพวกเรา”
ต้าเป่ากล่าวจบ เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่าก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่”
ซื่อเป่าคิดถึงที่ไช่โต้วถึงกับด่าท่านแม่เขาก็โมโหเสียงดังกล่าวว่า “เขาด่าท่านแม่ข้าว่าชั้นต่ำ พวกเจ้าสิชั้นต่ำ ชั้นต่ำทั้งบ้าน”
ลู่เจียวรีบกระแอมไอ ซื่อเป่าหันไปมองลู่เจียวทันที “ท่านแม่ วันหน้าข้าไม่ด่าคนแล้ว”
ลู่เจียวฮึเบาๆ ในลำคอ หันไปมองเฉินหลิ่วกล่าวว่า “รีบไปได้แล้ว หากเจ้าไม่ไป ข้าจะโยนพวกเจ้าออกไป”
นางกล่าวจบก็ยกขาก้าวเข้าหาเฉินหลิ่วสองแม่ลูก เฉินหลิ่วคิดภาพลู่เจียวจัดการคนอื่นแล้วก็กลัวสะดุ้งโหยง ลากไช่โต้วหันหลังวิ่งทันที
นอกรั้วด้านหน้า พวกฮูหยินเฒ่ารองตักเตือนเฉินหลิ่วจริงใจว่า
“ภรรยาต้าเฉียงเอ๊ย เด็กคนนี้ต้องอบรมสั่งสอนให้ดี ไม่เช่นนั้นวันหน้าพวกเจ้าสองสามีภรรยาคงต้องรับกรรมแล้ว”
“ใช่แล้ว ไม่ตีไม่ดุไม่อาจเป็นคนดี อบรมพวกเขาดีๆ ให้เป็นคนดี วันหน้าพวกเจ้าก็จะได้มีวาสนา”
เฉินหลิ่วลากไช่โต้วออกไปด้วยสีหน้าดำคล้ำ ไม่สนใจคนข้างๆ แม้แต่น้อย จนไปถึงที่ไม่มีคนก็หันมาด่าลูกชายตนเอง
“เจ้าทำไมโง่เง่าได้ขนาดนี้ ข้าให้พวกเจ้าเอาใจเจ้าแฝดสี่ เจ้าไม่มีอะไรไปด่าพวกเขาทำไม”
ไช่โต้วแต่เล็กถูกเอาใจจนโต เคยเสียเปรียบเช่นนี้ที่ไหน ได้ฟังคำพูดเฉินหลิ่ว ก็โมโหเสียงดังว่า “เจ้าไม่ใช่ท่านแม่ข้า ข้าถูกพวกเขาต่อยแล้วเจ้ายังด่าข้า”
กล่าวจบก็หันหลังวิ่งออกไป ยามนี้เขาอิจฉาท่านแม่แฝดสี่มาก เห็นท่านแม่คนอื่นดีขนาดไหน คนอื่นเขาลงมือต่อยตี ยังเอาลูกอมเป็นรางวัลให้คนที่ช่วยพวกเขาต่อยตี แต่ท่านแม่เขานี้ เขาโดนต่อยมายังถูกด่าซ้ำอีก นางเองถูกอาสะใภ้สามทำตกใจ วิ่งหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่าย ไร้ประโยชน์แท้
ลานบ้านตระกูลเซี่ย ลู่เจียวไล่เฉินหลิ่วกับไช่โต้วไปแล้วก็ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สอนเพื่อนๆ อ่านหนังสือต่อ
เพราะเด็กๆ ในหมู่บ้านแต่ไรมาไม่เคยเรียนหนังสือ ดังนั้นทุกวันเจ้าหนูน้อยทั้งสี่สอนเพื่อนๆ เพียงแค่คัมภีร์สามอักษรสองสามวรรค
ต้าเป่ารับหน้าที่สอนพวกเขาอ่าน เอ้อร์เป่ารับหน้าที่สอนพวกเขารู้อักษร
สำหรับซานเป่า ทุกวันรับหน้าที่สุ่มตรวจอักษร ดูว่าพวกเขาลืมที่สอนไปก่อนหน้าหรือไม่
ซื่อเป่าถาม ให้เพื่อนหาตัวอักษรที่เข้ากันจากคัมภีร์ออกมา เช่นนี้ ประการแรกรับประกันได้ว่า คัมภีร์สามอักษรที่สอนไป พวกเขาล้วนรู้หมดแล้ว
ลู่เจียวไม่สนใจพวกลูกทั้งสี่อีก ก้าวเท้าไปยังเรือนนอนตะวันออก
ในเรือนนอนตะวันออกใบหน้าหล่อเหลาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบ
อารมณ์ลู่เจียวไม่ค่อยดีเท่าไร คิดถึงพวกไม่ได้เรื่องตระกูลเซี่ยพวกนั้นแล้ว สีหน้าก็ยิ่งไม่ค่อยดี
แต่นางแอบดีใจ ตนเองใกล้หย่าจากเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว ไม่งั้นทั้งชีวิตต้องมาคอยดูหน้าคนพวกนี้ตลอดเวลา น่ารำคาญตายเลย และยังไม่อาจคว้าไม้กระบองตีพวกเขาให้ตายได้อีก
ลู่เจียวก้าวเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า
“พวกเจ้า นี่เลเวลเยอะจริงนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแม้ไม่รู้ว่า ‘เลเวล’ หมายความว่าอะไร แต่กลับพอรู้ว่าไม่ใช่วาจาดีอะไร เขาหันไปมองลู่เจียวเม้มมุมปากเล็กน้อย กล่าวว่า “ลำบากเจ้าอีกสองสามวัน”
เขากล่าวเช่นนี้ ลู่เจียวก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงมองนาง สีหน้าอ่อนโยนกล่าวต่อว่า “รอให้ข้าเคลื่อนไหวได้ก่อน จะไม่ให้พวกเขามีโอกาสมาหาเรื่องต่อหน้าเจ้าได้อีก”
ลู่เจียวคิดถึงวิธีการเหี้ยมโหดที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นแอบลงมือกับหร่วนซื่อ ตอนนี้ยังไม่เป็นเรื่องแดงขึ้นมา รอให้แดงขึ้นมาก่อน ดูว่าหร่วนซื่อยังจะมีเวลามาหาเรื่องนางไหม
สำหรับพวกเซี่ยต้าเฉียง ก็เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นตอนนี้ขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ รอให้เขาขยับเคลื่อนไหวได้ เดาว่าพวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้กระโดดโลดเต้นแล้ว
ลู่เจียวครุ่นคิด อารมณ์ก็ดีขึ้นหน่อย ยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “รอให้เจ้าขยับเคลื่อนไหวได้ก่อน หากพวกเซี่ยต้าเฉียงมาวุ่นวายอีก เจ้ามีหน้าที่ไล่พวกเขาไป”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับคำทันที “ได้”
ลู่เจียวเห็นเขารับปากนาง อารมณ์ก็ดีขึ้น นางส่งยิ้มมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “งั้นพวกเราก็ให้พวกเขาได้กระโดดโลดเต้นไปสักสองสามวันละกัน”
กล่าวจบก็ยิ้มตาหยีเดินออกไป เดินไปกล่าวไปว่า “ข้าไปเทน้ำมาให้เจ้าดื่ม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองสีหน้าเบิกบานมีความสุขของนาง ยิ้มราวกับดอกไม้แย้มบาน อารมณ์ก็อ่อนโยนขึ้นมา
ลู่เจียวก้าวเข้าไปในห้องครัวเทน้ำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นและเติมน้ำพุจิตวิญญาณลงไป เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นใจ กว้างให้นางดูแลเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ดังนั้นระยะนี้นางก็จะดูแลเขาให้ดีๆ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นท่าทางนาง ก็เข้าใจผิดคิดไปว่าลู่เจียวอารมณ์ดี ก็เพราะเขาบอกว่าไม่หย่า หญิงผู้นี้จึงได้หน้าตายิ้มแย้มทั้งวัน
ดูท่านางไม่เพียงแต่ชอบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ยังชอบเขามากด้วย ดังนั้นพอรู้ว่าเขาไม่หย่า ก็เลยกลายเป็นเบิกบานมีความสุขขึ้นมา
เขามองดูท่าทางเบิกบานมีความสุขของนาง อารมณ์ในใจก็ดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ใกล้เย็นแล้ว ลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปขึ้นเขา เอ้อร์เป่าพกหนังสติ๊กไปด้วย และยังว่าตนเองจะต้องยิงไก่ป่าได้อย่างแน่นอน ซื่อเป่าเอากระบี่ไม้ไผ่ไปด้วย คุยโวว่าจะปกป้องท่านแม่
ลู่เจียวแทบอยากจะร้องไห้ พาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นเขาไป
ครั้งนี้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยืนหยัดจะขึ้นเขา แต่ระหว่างทางยังพักผ่อนครู่หนึ่ง
พอบรรดาแม่ลูกขึ้นเขา ลู่เจียวก็หยิบห่อลูกอมสองสามห่อออกมาจากกระบุงหลัง ให้พวกลูกทั้งสี่กินกัน
พวกลูกทั้งสี่กินและพักผ่อนสักครู่แล้วก็กระปรี้กระเปร่ากันขึ้นมา เดินเขาอย่างตื่นเต้นฮึกเหิม
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาขึ้นเขา จึงสนใจทุกเรื่องบนเขา แม้แต่ดอกไม้ป่าที่พื้นก็ดึงลู่เจียวมาถามอย่างตื่นเต้น
“ท่านแม่ นี่คือดอกอะไร”
“นี่คือดอกชื่อเอ่อร์ไช่ แม้เป็นดอกไม้ป่าชนิดหนึ่ง แต่มีคุณค่าทางยา ใช้ห้ามเลือดได้”
“ท่านแม่ อันนี้คืออะไร เหมือนหางหมาเลย”
ต้าเป่าเด็ดหญ้าหางสุนัขกำหนึ่งพลางมองลู่เจียว ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “นี่คือหญ้าหางหมา ก็เป็นยาสมุนไพรตัวหนึ่ง ใช้รักษาโรคได้”
ต้าเป่าได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็มองลู่เจียวด้วยสีหน้าเลื่อมใส กล่าวว่า “ท่านแม่ ท่านร้ายกาจมาก อะไรก็รู้ไปหมด”
ลู่เจียวไม่ทันได้กล่าวอะไร ซื่อเป่าข้างๆ ก็รีบยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่ข้าย่อมร้ายกาจ”
เขาทำเอาลู่เจียวกับต้าเป่าพากันหัวเราะ ทั้งสองคนไม่ทันได้กล่าวอะไร เอ้อร์เป่าข้างหน้าก็ตะโกนร้องอย่างดีอกดีใจ
“ท่านแม่ รีบมาดูเร็ว นี่คืออะไร อันนี้กินได้ไหม”