ตอนที่ 143 ช่วยเจ้าสักครั้ง
ป้ากุ้ยฮวากล่าวจบก็ยิ้มให้ลู่เจียว กล่าวว่า “เจียวเจียว งั้นป้าก็ไปเก็บสมุนไพรละ เจ้าไม่รู้ วันนี้คนทั้งหมู่บ้านล้วนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ข้าก็หาจังหวะว่างแล่นมาบ้านเจ้า ไม่คุยละ ข้าไปละ”
ป้ากุ้ยฮวาหันหลังเดินจากไป เดินทางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร
ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านล้วนขึ้นเขาเก็บสมุนไพร คนมากเกินไป ของก็ถูกแบ่ง พวกนางไม่รีบเก็บไปขาย สมุนไพรก็ถูกคนอื่นเก็บไปแล้ว
ลู่เจียวรอป้ากุ้ยฮวาไปแล้ว ก็ก้าวไปยังเรือนนอนตะวันออก
ในเรือนนอนตะวันออก เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำลังพิงเตียงอ่านหนังสืออยู่ ตอนนี้เขาจิตใจแจ่มใสไม่เลว ขาก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอเพียงพักรักษาตัวไปก็พอ ดังนั้นตอนเขาไม่มีอะไรทำก็จะอ่านหนังสือ
พอลู่เจียวเข้ามา เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รู้สึกตัว เขาหยุดพลิกหน้าหนังสือ เงยหน้ามองลู่เจียว
ลู่เจียวก้าวเท้าเขามาข้างกายเขา กระซิบกระซาบเบาๆ
“เมื่อครู่ป้ากุ้ยฮวาว่า เมื่อคืนเห็นท่านพ่อไปบ้านแม่หม้ายหวัง”
แม้ว่าต่อหน้าป้ากุ้ยฮวา ลู่เจียวยืนยันไม่ยอมรับว่าคนนั้นก็คือบิดาสามีนาง แต่ในส่วนตัวแล้ว ใจนางคิดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นไปได้มากว่าคือบิดาสามีนาง
ผู้ใดให้ระยะนี้มารดาสามีนางทำแต่เรื่องไม่น่ายินดีกัน คิดว่าบิดาสามีนางก็คงฝืนทนมาก ยามนี้มีสาวงามรู้ใจปรากฏกายขึ้น ไม่ตรงใจบิดาสามีนางพอดีหรือ เขาจะไม่ไปได้อย่างไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงแววตาเคร่งขรึมลง มุมปากค่อยๆ ส่งเสียงหัวเราะเยาะ
คิดถึงท่านแม่เขาแล้ว เขาก็รู้สึกน่าขัน นางเองคิดว่าคุมคนทุกคนไว้ในกำมือได้หมด ปรากฏผู้ชายตนเองเปลี่ยนใจ บุตรชายเอาใจออกหาก ไม่รู้ว่าหากนางรู้เรื่องนี้ จะคิดอย่างไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เสียใจสิ่งที่ตนเองทำลงไป หากไม่ใช่เขาหยุดยั้งไว้ ท่านพ่อเขาก็ได้กับแม่หม้ายหวังนานแล้ว เขาช่วยเขาท่านแม่หยุดยั้งสตรีภายนอกไว้ แต่ท่านแม่เขากลับขับไล่เขาที่ล้มป่วยหนักออกจากตระกูลเซี่ย ยังคิดว่าเขาไม่ดี ไม่กตัญญู ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็ไม่กตัญญูละกัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเก็บงำแววตาพิงเตียง ค่อยๆ กล่าวว่า “ไม่ต้องสนใจ”
ลู่เจียวได้ฟังรีบพยักหน้ารับคำ “ได้ ข้ารู้แล้ว”
เรื่องเช่นนี้นางย่อมไม่เข้าร่วม อย่าทำจนสุดท้ายทำดีแต่กลับโดนเสียเอง เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นลูกชาย ทำอย่างไรก็เรื่องของเขา อย่างไรนางจะไม่เข้าร่วมวงเรื่องราวในตระกูลเซี่ย
ลู่เจียวกล่าวเรื่องนี้กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นจบ ก็คิดออกไปเตรียมอาหารกลางวัน เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังเรียกนางไว้
“ลู่เจียว ภาพเก้าอี้เข็นที่เจ้าวาดก่อนหน้านี้ให้ท่านอาโหย่วไฉทำได้แล้ว”
ขาเขาน่าจะใกล้นั่งเก้าอี้เข็นได้แล้ว ขอเพียงไม่ออกแรงขา ก็ไม่มีปัญหา
ลู่เจียวได้ฟังรีบยิ้มบอกว่า “กินข้าวกลางวันเสร็จ ข้าก็จะไปหาท่านอาโหย่วไฉเพื่อสั่งทำ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนาง พบว่าวันนี้นางอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ มีรอยยิ้มบนใบหน้าตลอดเวลา แววตาทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ราวกับตะวันร้อนแรงสาดแสงอุ่นใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองนางเช่นนี้ ก็อดรู้สึกถูกกระทบไปด้วยไม่ได้ ในใจก็เป็นสุขขึ้นมามาก หากรู้มาก่อนว่าเรื่องไม่หย่านี้จะทำให้นางดีใจขนาดนี้ เขาก็คงบอกนางหลายวันแล้ว
ลู่เจียวไม่รู้สิ่งที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิด ในใจก็สุขใจ หันหลังเดินไปยังห้องครัวเตรียมอาหารกลางวัน
อาหารตอนกลางวันย่อมอุดมสมบูรณ์ดังคาด นอกจากน้ำแกงลูกชิ้นปลา เนื้อน้ำแดง ยังมีน้ำแกงหัวปลา นอกจากนี้ยังมีไข่ตุ๋นหมูสับ เห็ดหอมผัดผักกวางตุ้ง กูไช่ผัดเนื้อเส้น ที่สำคัญที่สุดก็คือลู่เจียวยังเอาซี่โครงหมูที่ซื้อกลับมาทำตุ๋นเป็นน้ำแกงครึ่งหม้อ ใส่บะหมี่แผ่นแป้งให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นกิน
นี่ไม่เพียงแต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกว่าลู่เจียวอารมณ์ดี แม้แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็รู้สึกว่าท่านแม่วันนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ซื่อเป่ากอดลู่เจียวออดอ้อนว่า “ท่านแม่ วันนี้ท่านแม่เหมือนว่าดีใจมากเป็นพิเศษ ทำอาหารอร่อยมากมายขนาดนี้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองอาหารบนโต๊ะ กวาดตามองไม่หมด ท่านแม่พวกเขาร้ายกาจมาก ทำอาหารอร่อยมากมายขนาดนี้ได้ ดูแล้วน่ากินมากๆ
ลู่เจียวยิ้มบีบแก้มซื่อเป่า “แม่เจ้าวันไหนอารมณ์ไม่ดีกัน?”
วันนี้ดีเป็นพิเศษเท่านั้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมอบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ให้นางเลี้ยงดูแล้ว หรือว่าไม่ควรดีใจกัน เดิมนางคิดว่าต้องแยกจากเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ อารมณ์ก็เลยไม่ดีเท่าไร ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นมอบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ให้นางดูแล นางย่อมดีใจมาก
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็ก้มลงหอมแก้มเจ้าหนูน้อยทั้งสี่คนละที หยอกล้อจนเด็กๆ ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก
ลู่เจียวยกมือขึ้นโบกท่าทางใหญ่โต กล่าวว่า “เริ่มกินได้ กินให้เต็มที่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นท่าทางนางก็ยิ่งสนุกสนาน แม้แต่ต้าเป่าก็ยกยิ้มมุมปากอย่างมีความสุข
ลู่เจียวตักบะหมี่แผ่นแป้งน้ำแกงซี่โครงหมู ก่อนจะตักลูกชิ้นปลาสองสามลูกเติมเนื้อน้ำแดงยกเข้าไปในเรือนนอนตะวันออกให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
“ลองลูกชิ้นปลากับเนื้อน้ำแดง นี่เป็นอาหารที่ข้าถนัด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินเสียงหัวเราะดังจากห้องโถงแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนลงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าฉายประกายอบอุ่นมองลู่เจียวที่เดินเข้ามา
“อืม”
ชีวิตเช่นนี้ไม่เลวจริงๆ มารดาเมตตา บุตรกตัญญู วันหน้าเขาจะตั้งใจสอบจอหงวน ให้พวกนางแม่ลูกได้มีชีวิตที่สุขสบายที่สุด
ลู่เจียวยกบะหมี่แผ่นแป้งน้ำซี่โครงหมูกับลูกชิ้นปลาไปวางข้างเตียง ไม่รีบออกไป แต่สีหน้ายิ้มแย้มพอใจมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า
“วันนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านทุกคนขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร”
พูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็นึกถึงลู่เจียวสอนชาวบ้านในหมู่บ้านให้รู้จักยาสมุนไพร เขารู้สึกซาบซึ้งใจนางในเรื่องนี้มาก
“ขอบคุณเจ้าที่สอนพวกเขาให้รู้จักยาสมุนไพร”
ลู่เจียวส่ายหน้า ไม่คิดอะไร นางก็แค่ทำไปตามทำนองเท่านั้น แต่คนทั้งหมู่บ้านขึ้นเขาเก็บสมุนไพร สมุนไพรบนเขาก็คงหมดลงอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่แผนดำรงชีพระยะยาว
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นมอบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ให้นางดูแล ทำให้ลู่เจียวอารมณ์ดี ตัดสินใจจะช่วยคนหมู่บ้านตระกูลเซี่ยสักหน่อย
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็เพราะคนหมู่บ้านตระกูลเซี่ยเป็นคนไม่เลว และนางร่วมมือกับจ้าวหลิงเฟิงเปิดโรงผลิตยาก็ต้องการยาสมุนไพรจำนวนมาก อย่าว่าแต่หมู่บ้านตระกูลเซี่ย หมู่บ้านในอำเภอชิงเหอที่เหมาะกับการปลูกสมุนไพร สุดท้ายเกรงว่าก็คงปลูกสมุนไพรกันหลากหลาย
ลู่เจียวคิดไปก็กล่าวไปว่า
“ความจริงขึ้นเขาเก็บสมุนไพรไม่ใช่การดำรงชีพที่ยืนยาว ข้ามีวิธีการดำรงชีพยืนยาวที่เหมาะกับชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังเลิกคิ้วทันที แววตาดำลุ่มลึกจ้องมองลู่เจียว “วิธีอะไร”
สามารถทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยไม่ยากจน เซี่ยอวิ๋นจิ่นดีใจมาก เมื่อก่อนเขาเอาแต่ครุ่นคิดว่ารอให้ตนเองสอบคัดเลือกขุนนางระดับประเทศติด ย่อมคิดหาทางให้พวกเขาแน่ แต่ตอนนี้มีทางออก เซี่ยอวิ๋นจิ่นย่อมยินดี อย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เขาเติบโตมา
ลู่เจียวมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “เจ้าก็รู้หมู่บ้านตระกูลเซี่ยติดภูเขา อากาศชื้นมาก ที่นามากมายแสงแดดสาดส่องไม่ถึง ดังนั้นปลูกธัญญาหารเก็บเกี่ยวจึงไม่ดี ข้าสอนให้ทุกคนเลี้ยงปลิงได้ ปลิงเป็นตัวยาชนิดหนึ่ง ราคาแพงมาก ชาวบ้านในหมู่บ้านหากเลี้ยงปลิงเป็น หมู่บ้านตระกูลเซี่ยวันหน้าก็จะไม่ยากจนอีกแล้ว”
“อีกอย่าง เขาละแวกนี้บุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกจินอิ๋นฮวาได้ จินอิ๋นฮวา[1]ก็เป็นยาชนิดหนึ่ง สมุนไพรตัวนี้ไม่นับว่าราคาแพงมาก แต่เติบโตระยะสั้น เพาะปลูกเชิงเขาได้ นับว่าเป็นรายได้เสริมอีกทาง”
———————————————-
[1] จินอิ๋นฮวา ดอกสายน้ำผึ้ง