ตอนที่ 155 พี่เองที่ขี้ขลาดไม่เอาไหน
ลู่เจียวกำลังบอกเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าพี่สะใภ้รองสอนเฉินหลิ่วกับเซี่ยหลานเก็บสมุนไพร
นอกห้องโถงมีเสียงฝีเท้าดังมา เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ก้าวเท้ายาวๆ เข้ามา พอเข้ามาก็เดินไปข้างเตียงมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงก่อนจะส่งเสียงร้องไห้ดังขึ้น
“น้องสาม ข้าทนไม่ไหวแล้ว ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”
ร้องไห้จนทรุดตัวลง ยังใช้สองมือทุบพื้น ท่าทางอเนจอนาถอย่างบอกไม่ถูก
ในเรือนนอนตะวันออกเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตกใจมองเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ที่หลุดร้องไห้เสียงดัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงมองเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ด้วยแววตาเข้ม กล่าวว่า “พี่รอง เกิดอะไรขึ้น”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้แผดเสียงร้องไห้ดัง ชายชาตรีร้องไห้นานถึงหนึ่งก้านธูป จากนั้นเขาก็หยุดร้องมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น บนเตียงกล่าวว่า
“ทำไมพวกเขาทุกคนจึงรังแกครอบครัวข้า ท่านพ่อท่านแม่ไม่พอใจ พวกเราก็ซวย พี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่พอใจ พวกเราก็ซวย เจ้าสี่กับน้องเล็กไม่พอใจ ยังเป็นพวกเราซวย พวกเราทำงานมากสุด กินน้อยสุด เอะอะอะไรก็เป็นที่รองรับอารมณ์พวกเขา”
“ทุกวันข้าทำงานไม่ได้พัก กินก็ไม่ได้ดีเหมือนพี่ใหญ่กับน้องสี่ พี่สะใภ้รองไม่เพียงแต่ลงนาทำนา ยังต้องซักผ้าทำกับข้าว แม้แต่ลูกสาวสองคนก็ต้องทำงานบ้าน แต่น้องสี่กับน้องห้าไม่ต้องทำ เสื้อผ้าน้องสี่น้องห้ายังให้ลูกสาวข้าซัก”
ตั้งแต่รู้ว่าเขาเอาเงินมาซื้อยาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ครอบครัวพวกเขาก็กลายเป็นที่ระบายอารมณ์ ไม่เพียงแต่เป็นที่ระบายอารมณ์ของสองผู้เฒ่า ยังเป็นเป็นที่ระบายอารมณ์ของพวกน้องๆ หรือว่าพวกเขาไม่ใช่คน เป็นเดรัจฉานกัน?
เมื่อวานพี่สะใภ้ใหญ่เสียทีที่บ้านน้องสาม กลับไปก็ไปยุยงท่านแม่ ท่านแม่รีบสั่งเขาว่าห้ามมาที่นี่อีก ถึงกับให้ไช่โต้วคอยจับตาเขาไว้
วันนี้เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ทำงานในนา ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ สุดท้ายทนไม่ไหววิ่งไปที่บ้านน้องสามร่ำไห้ เขาไม่รู้ว่าจะไประบายทุกข์ในใจตนต่อหน้าผู้ใดได้อีก
ในห้องเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เปล่งประกายเย็นเยียบออกมารอบกาย ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยประกายเยียบเย็น
แต่เขาไม่ทันได้เอ่ยปาก ลู่เจียวก็เอ่ยขึ้นก่อน “พี่รอง ข้าขอพูดไม่ถูกหูพี่รองสักคำ ครอบครัวพี่เป็นเช่นนี้ ความจริงสาเหตุก็เพราะพี่รองเองที่ขี้ขลาดไม่เอาไหน”
“เพราะพี่ขี้ขลาดไม่เอาไหน ดังนั้นพี่สะใภ้รองจึงต้องรองรับอารมณ์ไปด้วย ต้ายากับเอ้อร์ยาก็รับทุกข์ไปด้วย แต่หากพี่เข้มแข็งสักหน่อย พวกเขาก็รังแกมาถึงหัวพี่ไม่ได้”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็อึ้งไป หันไปมองลู่เจียวอึ้งๆ
“หากข้ามีเรื่องกับพวกเขา ย่อมถูกคนในหมู่บ้านตำหนิ ทุกคนจะว่าข้าไม่กตัญญู”
ลู่เจียวค่อยๆ กล่าวว่า “หากพี่ไม่มีเหตุผล คนอื่นก็ย่อมว่าพี่ไม่กตัญญู แต่หากพี่มีเหตุผล พี่ดูข้าระยะนี้ปะทะกับพวกเขา คนในหมู่บ้านมีใครว่าข้าไม่ดี ข้าไม่กตัญญู? เพราะข้ามีเหตุผล”
ลู่เจียวกล่าวจบมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ในห้อง ถือโอกาสสอนว่า
“คนเราทำอะไรล้วนอาศัยเหตุผล เรื่องไร้เหตุผลไม่อาจกระทำ มีเหตุผลก็ต้องทุ่มเทแรงกายลงมือตามหลักการ อย่าได้ทำตัวเป็นคนขี้ขลาดไม่เอาไหน ผู้ชายก็ต้องมีความเป็นชาย วันหน้าจะปกป้องคนที่ตนเองใส่ใจได้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังคำพูดลู่เจียว รีบยืดอกแสดงท่าทางว่า “ท่านแม่ พวกเราทำได้ วันหน้าพวกเราจะปกป้องท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มหันไปมองเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ “เห็นไหม แม้แต่ลูกชายข้าก็รู้จักปกป้องข้า พี่ล่ะ เป็นสามี เป็นพ่อคน กลับไม่รู้จักปกป้องภรรยาและลูกสาว พี่ว่าแท้จริงแล้วความผิดใคร”
“ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลเซี่ย ไหนเลยไม่รู้ว่าเซี่ี่ยเอ้อร์จู้อดทนงานหนักและน่าคับแค้นที่สุด เชื่อฟังบิดามารดาที่สุด พี่คิดว่าหากพี่ทำอะไรสักหน่อย จะถูกพวกเขาบีบหรือ”
ลู่เจียวกล่าวประโยคนี้เรียกว่าชี้ตรงจุด หากเป็นเช่นนี้ เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ยังไม่รู้จักลุกขึ้นต่อต้าน งั้นนางก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว คนผู้นี้กตัญญูอย่างโง่เง่า ทำตัวเอง
ดีที่พอลู่เจียวพูด สมองเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ก็พลันคิดได้มากมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือเขานึกถึงลู่เจียว ลู่เจียวระยะนี้มีเรื่องกับท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่เรื่อยมาไม่หยุด ประเด็นคือนางยังไม่เป็นไร คนอื่นต่างว่านางดี
ตอนนี้เขาฟังลู่เจียวแนะอีกนิด ก็กระจ่างแล้ว
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้หันหลังคิดกลับไปเอาเรื่องกับบิดามารดา
“ข้ากลับไปจะบอกพวกเขา วันหน้าอย่าได้รังแกครอบครัวข้าอีก”
ลู่เจียวมองเขา สีหน้านางราวกับมีแสงดำพาดผ่าน “ตอนนี้พี่กลับไปเอาเรื่อง ไม่ใช่จงใจหาเรื่องหรือ รอให้พวกเขารังแกพี่อีกค่อยระเบิด”
ลู่เจียวกล่าวจบก็มองเซี่ี่ยเอ้อร์จู้กล่าวว่า “เอาละ ในเมื่อมาแล้วก็กินข้าวบ้านข้าสักมื้อละกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงก็เอ่ยปากเรียกเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ไว้ “พี่รอง อยู่กินข้าวก่อนค่อยกลับ ทำอะไรอย่าใจร้อน รอโอกาสค่อยพุ่งชน อย่าวู่วาม”
อย่าเห็นว่าลู่เจียวระเบิดอารมณ์เหิมเกริมเป็นพิเศษ นั่นเพราะนางจับจังหวะได้
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ได้ฟังลู่เจียวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็หันไปมองที่โต๊ะ เห็นลู่กุ้ยอยู่ก็พลันรู้สึกเขินขึ้นมา
“ข้า กลับไปกินที่บ้านดีกว่า”
ลู่เจียวเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องข้านานๆ มาที ข้าทำอาหารมากอีกสองสามอย่าง พี่รองก็อยู่กินก่อนเถอะ อากาศตอนนี้ไม่กินก็บูดแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เอ่ยสำทับว่า “อยู่กินก่อนค่อยกลับ ที่บ้านไม่เหลือข้าวไว้ให้พี่หรอก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งกล่าวจบ หน้าประตูห้องโถงก็มีศีรษะโผล่เข้ามามอง เป็นไช่โต้ว ลูกชายรองของเซี่ยต้าเฉียง ไช่โต้วแอบกลัวลู่เจียว ไม่กล้าเข้ามา ผลุบโผล่ชะเง้ออยู่ที่ห้องโถง พร้อมกับเรียกเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ “ลุงรอง พวกเรากลับได้แล้ว”
ลู่เจียวเห็นไช่โต้วก็รังเกียจ ตวาดเยียบเย็นว่า “รีบไปเลย มาผลุบโผล่ที่บ้านข้าอีก ดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
ไช่โต้วตกใจสะดุ้ง รีบหันหลังวิ่งหนีไป ไม่กล้าเรียกเซี่ี่ยเอ้อร์จู้อีก
ลู่เจียวไม่สนใจเขา ตักข้าวชามหนึ่งให้เซี่ี่ยเอ้อร์จู้นั่งลงกินข้าว
วันนี้เพราะลู่กุ้ยมา ลู่เจียวทำอาหารไม่น้อยจริงๆ เซี่ี่ยเอ้อร์จู้เห็นลู่เจียวตักข้าวให้เขา ก็อยู่กินข้าว กินเสร็จค่อยกลับ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกำชับเขา “พี่รองอย่ากลับไปก็มีเรื่องเลย รอให้เจอกับเรื่องอะไรก่อนค่อยมีเรื่องกับพวกเขา”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้รับคำเห็นด้วย “ตกลง”
หากตอนนี้เขากลับไปแล้วมีเรื่อง ทางนั้นย่อมว่าน้องสามกับน้องสะใภ้สามยุยงเขา ดังนั้นเขาจึงต้องหาเวลาอื่นค่อยมีเรื่อง
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ไปแล้ว ลู่กุ้ยพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเล่นธนูที่เรือนนอนตะวันตก ลู่เจียวเก็บจานชามบนโต๊ะ
ในห้องเซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงเรื่องที่จ้าวซื่อมาก่อนหน้านี้แล้วสีหน้าลู่เจียวไม่ค่อยดีนัก เขาถามลู่เจียวอย่างห่วงใย
“ก่อนหน้านี้ภรรยาไหลฝูมาคุยอะไรกับเจ้า สีหน้าเจ้าไม่ค่อยดี”
ลู่เจียววางจานชามในมือลง มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ภรรยาไหลฝูเห็นพี่สะใภ้รองสอนพี่สะใภ้ใหญ่กับน้องห้าให้รู้จักสมุนไพรแล้ว ข้าฟังแล้วไม่พอใจ”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “คนอย่างข้าจดจำแค้น คนล่วงเกินข้า อย่าคิดได้อานิสงส์อะไรจากข้าแม้แต่นิดก็ไม่ให้”
“หากข้ายินยอมให้พี่สะใภ้ใหญ่กับน้องห้าได้รู้จักสมุนไพร ก่อนหน้านี้ก็เห็นด้วยแล้ว ไยต้องลำบากทำตัวเป็นศัตรู ตอนนี้ดีเลย พี่สะใภ้รองถึงกับสอนพวกนางแล้ว”
ลู่เจียวเล่าถึงสุดท้าย สีหน้าก็เคร่งเครียด กล่าวไม่พอใจว่า “นี่เป็นครั้งแรกและจะเป็นครั้งสุดท้าย หากครั้งหน้าพี่รองและพี่สะใภ้รองเจ้าฝืนทำเรื่องที่ข้าไม่ยินยอมอีก อย่าคิดข้าจะให้พวกเขาเอาเปรียบได้อีกแม้แต่น้อย”