ตอนที่ 159 ลูกที่เอาแต่พูดชมอย่างไร้สมอง
ลู่เจียวกำลังคิดจะออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังก็เรียกนางไว้ “ลู่เจียว”
ลู่เจียวชะงักฝีเท้าหันมามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วถามว่า “ข้าจะนั่งเก้าอี้เข็นได้เมื่อไร”
หากเขาเคลื่อนไหวได้ ไหนเลยจะให้คนพวกนี้มารังแกถึงบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าได้ คงได้ทำให้พวกเขาแม้แต่ตัวเองก็หนีไม่ทันแล้ว
ลู่เจียวได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็มองขาเขา ความจริงขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นฟื้นตัวเร็วกว่าที่นางคิดไว้มาก อย่างไรนางก็เติมน้ำพุจิตวิญญาณลงไปในยาเขา น้ำพุจิตวิญญาณมีประสิทธิภาพในการประสานกระดูกให้เชื่อมได้อย่างดีมาก ดังนั้นขาเขาจึงหายเร็วกว่าคนทั่วไป
ตอนนี้ขอเพียงไม่แตะโดนขา นั่งเก้าอี้เข็นก็นั่งละกัน แค่อย่านั่งนานเกินไป
“นั่งเก้าอี้เข็นก็นั่งได้ แต่ไม่อาจนั่งนานเกินไป ยังต้องระวังถูกคนชนโดนขาเจ้าด้วย”
โดนนิดหน่อยก็ไม่ได้อะไรมาก ที่กลัวที่สุดก็คือถูกชนล้ม หรือไปลื่นล้มที่ไหน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว แววตาก็เปล่งประกายขึ้นมา “เจ้าหมายความว่า ความจริงตอนนี้ก็นั่งเก้าอี้เข็นได้แล้วใช่ไหม”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย “นั่งก็นั่งได้ แต่ต้องระวังอย่าได้ถูกคนชนล้ม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวอย่างดีใจว่า “ข้าจะระวัง วางใจได้”
ขานี้กว่าจะรักษาหายได้ เขาจะปล่อยให้ขาเขาโดนชนอีกได้อย่างไร
“เจ้ามีเวลาก็ไปหาท่านอาโหย่วไฉดูว่าเก้าอี้เข็นทำเสร็จหรือยัง หากเสร็จแล้วก็เอากลับมา ไม่แน่ข้าอาจต้องใช้”
“ได้”
ลู่เจียวกล่าวจบก็เดินออกไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังเลิกคิ้วคิดไตร่ตรอง จะให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่มาหาเรื่องอีกได้อย่างไร ให้พวกเขาไม่มีเวลามารบกวนทั้งคู่ได้อย่างไร
ลู่เจียวเข้าครัวต้มโจ๊กผัก และยังอุ่นซาลาเปามาด้วย
อาหารเย็นก็กินโจ๊กผักกับซาลาเปา กับปลาที่เหลือจากตอนเที่ยง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ถูกพวกเซี่ยเหล่าเกินกับหร่วนซื่อทำเอาตกใจ แต่ไม่นานอารมณ์ก็ค่อยๆ สงบลง เจ้าแฝดสี่กินอาหารเย็นไปก็เล่าเรื่องวันนี้ที่ได้ปีนต้นไม้และยิงธนูให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟังอย่างดีใจไปด้วย
ซื่อเป่าวาดไม้วาดมือชมลู่เจียว “ท่านพ่อ ท่านรู้ไหม ท่านแม่เป็นทุกอย่างเลย ไม่เพียงปีนต้นไม้เป็น ยังยิงธนูเป็นด้วย เดิมพวกเรายิงไม่โดน ท่านแม่สอนพวกเรา พวกเราก็ยิงโดนทันทีเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียว แววตาดำลึกล้ำเหมือนมีคลื่นน้ำไหลทะลัก ในห้องเหมือนว่ามีแม่เหล็กดึงดึงดูดขนาดใหญ่ซ่อนอยู่
“ท่านแม่เจ้าร้ายกาจจริง”
เขากล่าวจบมุมปากก็ยกยิ้มเล็กน้อย ก่อให้เกิดความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาอย่างบอกไม่ถูก ราวกับต้นไผ่กลางสายฝน
ลู่เจียวเห็นสายตาเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็หันไปมองซื่อเป่า “เจ้าช่างชมแม่เก่งจริง”
เจ้าเด็กนี่ชมนางลอยขึ้นฟ้าได้เลย และนับวันฝีปากก็ยิ่งร้ายกาจ
วันหน้าลูกนางคนนี้จะกลายเป็นลูกที่เอาแต่พูดชมอย่างไร้สมองไหมนะ
แต่ซื่อเป่ากลับไม่รู้ตัว ยังคงยืดอกออดอ้อนเอาใจ “ผู้ใดให้ท่านแม่ข้าเก่งกาจกัน”
ลู่เจียวถูกเขาทำเอาหัวเราะขัน “เอาละ รีบกินเถอะ วันนี้ขึ้นเขามา เหงื่อออกไม่น้อย อีกสักครู่จะได้อาบน้ำกันให้สะอาด”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบพยักหน้า ลู่เจียวพลันนึกถึงเซี่ยอวิ๋นจิ่น แอบพึมพำว่า คืนนี้เซี่ี่ยเอ้อร์จู้จะมาไหมนะ นางคงไม่ต้องเช็ดตัวให้เจ้าหมอนี่อีกกระมัง
เดิมเช็ดตัวคนอื่นเป็นเรื่องปกติ แต่พอคิดถึงสีหน้าท่าทางอัดอั้นฝืนใจของเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว หนังศีรษะนางก็ชาหนึบ นางเห็นท่าทางเขา มักทำเอานางรู้สึกว่าตนเองเป็นปีศาจร้ายที่เด็ดดอกไม้อย่างรุนแรง
ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ เสียงหลินชุนเยี่ยนด้านนอกก็ดังเข้ามา “พี่สะใภ้สาม ไม่ได้การแล้ว ผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยทางนั่นเกิดเรื่องแล้ว”
หลินชุนเยี่ยนส่งเสียงดังจากด้านนอก แต่พอนางเข้ามาเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ทำตัวไม่ถูก
ลู่เจียวรู้ว่านางพูดถึงผู้เฒ่าตระกูลเซี่ยก็คือบิดาและมารดาของสามีนาง
“ทางนั้นเกิดเรื่องอะไร”
“หู่จื่อไปตลาดในเมืองขายสมุนไพร ขากลับผ่านบ้านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย เห็นท่านอารองอาละวาดขว้างปาสิ่งของในลานบ้านอย่างคลุ้มคลั่ง ชุลมุนกันไปหมด แม่สามีข้าไปดูแล้ว ให้ข้ามาตามเจ้า”
หลินชุนเยี่ยนกล่าวจบก็มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นทันที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าโมโหเย็นเยียบแสดงออกมาทางสีหน้าเต็มที่ ปากบางเม้มแน่น
ลู่เจียวรู้ว่าเขาเป็นห่วงเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ ไม่อย่างนั้นทางตระกูลเซี่ยเกิดเรื่องอะไร เขาย่อมไม่คิดสนใจ
ลู่เจียวครุ่นคิด มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “หรือให้ข้าไปดูหน่อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า “อย่าปล่อยให้พี่รองโดนรังแก”
ลู่เจียวพยักหน้า ลุกขึ้นจะออกไป เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วงว่า “ท่านแม่”
พวกเขากลัวท่านแม่โดนรังแก
ลู่เจียวรีบหันมาปลอบใจพวกเขา “ไม่ต้องห่วง แม่ไม่เป็นไร แม่เจ้าเก่งอยู่แล้ว”
กล่าวจบนางก็กำหมัด แสดงให้เห็นท่าทางร้ายกาจของตนเอง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ยังเป็นห่วง เพราะแม้ท่านแม่ร้ายกาจ แต่ทางนั้นคนชั่วเยอะขนาดนั้น
ต้าเป่าไถลตัวลงจากเก้าอี้ กล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไปเป็นเพื่อนท่านแม่”
เอ้อร์เป่าก็ไถลตัวลงมา กำลังจะไปเอาธนู “ท่านแม่ ข้าเอาธนูไปด้วย หากพวกเขารังแกท่านแม่ ข้าจะยิงพวกเขาให้ตาย”
ลู่เจียวอบรมเขาอย่างไม่พอใจว่า “เหลวไหลอะไรกัน อยู่บ้านเป็นเพื่อนท่านพ่อ ท่านพ่ออยู่บ้านคนเดียว แม่ไม่วางใจ”
ลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อยู่บ้านอย่างสบายใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงย่อมเข้าใจความหมายนาง รีบกล่าวว่า “พวกเจ้าอยู่บ้านเป็นเพื่อนพ่อ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น สีหน้าเป็นห่วง กล่าวว่า “แต่ท่านแม่จะถูกพวกเขารังแกไหม”
ซื่อเป่าไถลตัวลงจากเก้าอี้ไปกอดขาลู่เจียวไว้ร้องไห้ดังลั่น “ท่านแม่ ท่านอย่าไป พวกเขาจะตีท่านแม่”
ลู่เจียวย่อตัวลงกอดเขาไว้ ปลอบใจกล่าวว่า “พวกเขาสู้แม่ไม่ได้ แม่ไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา หากแม่ไม่กลับมา พวกเจ้าก็พกธนูไปปกป้องแม่”
พอกล่าวเช่นนี้ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็เห็นด้วย “ได้ หากท่านแม่ไม่กลับมา พวกเราก็จะพกธนูไปปกป้องท่านแม่”
ลู่เจียวลูบหัวเจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันหลังตามหลินชุนเยี่ยนไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังเอ่ยว่า “เจ้าเองก็ระวังหน่อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นแววตาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบราวกับน้ำค้างแข็ง สีหน้ารังเกียจอย่างไม่อาจบรรยาย เขารังเกียจคนครอบครัวเช่นนี้อย่างมากจริงๆ
มีคนในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยไม่น้อยพากันวิ่งมามุงดูกันที่หน้าบ้านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย
ทุกคนพอเห็นลู่เจียวมา ก็รีบทักทาย “ภรรยาอวิ๋นจิ่นมาแล้ว รีบเข้าไปดู พี่รองเจ้ามีเรื่องแล้ว”
“ดูเหมือนอาเหล่าเกินให้เอ้อร์จู้ยกเรื่องเลี้ยงปลิงให้กับต้าเฉียง จากนั้นเอ้อร์จู้ก็เลยอาละวาดขึ้นมา”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบ นางเลิกคิ้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เคยเห็นคนลำเอียง แต่ไม่เคยเห็นลำเอียงขนาดนี้ เห็นๆ ว่าในครอบครัว พี่รองรับภาระหน้าที่ทำงานและเป็นที่รองรับอารมณ์ที่สุด แต่ผลที่ได้ล่ะ ถึงกับถูกรังแก”
“กระต่ายน้อยก็มีวันที่โดนบีบจนทนไม่ไหวนะ พวกเขาบีบคั้นพี่รองแบบนี้ มิน่าเขาจึงได้อาละวาดขึ้นมา”
แต่ละคนในหมู่บ้านตอนนี้ต่างเคารพลู่เจียว ลู่เจียวว่าแบบนี้ ทุกคนก็พากันว่าครอบครัวเซี่ยเหล่าเกิน ไม่มีสักคนที่ว่าครอบครัวเขาดี
ลู่เจียวได้ฟังก็พอใจ หันหลังเดินเข้าตระกูลเซี่ยไป
ณ ลานบ้านตระกูลเซี่ย ตอนนี้เละเทะไปหมด เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ดวงตาแดงก่ำจ้องมองบิดามารดาตนตวาดเสียงดังลั่น
“พวกเจ้าบีบข้าตายได้จึงจะพอใจใช่ไหม ในบ้านนี้ข้าทำงานหนักยิ่งกว่าวัวควาย กินก็น้อยกว่ากระต่าย ครอบครัวข้าวันๆ ทำงานไม่จบไม่สิ้น พวกเจ้าไม่ว่าใคร พออารมณ์ดีไม่ดี ก็มาระบายกับครอบครัวข้า พวกเราเป็นที่รองรับอารมณ์พวกเจ้าหรือไง”