ตอนที่ 163 เด็กสาวมีโรคคุณหนู
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ทันได้พูด หันถงข้างๆ ก็ดีใจกล่าวกับพวกเจิ้งจื้อซิ่งข้างๆ ว่า “พี่สะใภ้ทำอาหารอร่อยมาก ไม่ด้อยกว่าร้านอาหารเลยสักนิด ไม่สิ อร่อยกว่าร้านอาหารทำอีก”
หันถงมักรู้สึกได้ว่าพอได้กินอาหารที่พี่สะใภ้ทำแล้ว ตนเองก็มีแรงกระปรี้กระเปร่ามาก
เพราะลู่เจียวเห็นความเป็นมิตรของหันถง ตอนทำอาหารก็เติมน้ำพุจิตวิญญาณลงไปสองหยด ดังนั้นหันถงกินแล้วก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
แต่วันนี้ลู่เจียวตั้งใจจะไม่เติมน้ำพุจิตวิญญาณ นางเห็นเจิ้งจื้อซิ่งแล้วไม่ชอบใจ ดังนั้นจะไม่เติมน้ำพุจิตวิญญาณลงไป
พวกเจิ้งจื้อซิ่งต่างไม่เชื่อคำพูดหันถง แต่ก็ยังขอบคุณลู่เจียวตามมารยาท “ขอบคุณพี่สะใภ้”
“รบกวนแล้ว”
ลู่เจียวยิ้มพลางส่ายหน้า ออกไปเตรียมอาหารกลางวัน
เพียงแต่พอนางเพิ่งออกไป นอกรั้วบ้านก็มีคนมาอย่างรีบร้อน เป็นเซี่ยหลาน น้องสาวสามีที่แสนวุ่นวายของนางผู้นั้น
เซี่ยหลานเห็นลู่เจียว สีหน้าก็อึกอัก แต่ก็ปรับสีหน้าให้มีรอยยิ้มก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทักทายลู่เจียว
“พี่สะใภ้สาม ท่านแม่บอกว่าพี่ต้องดูแลพี่สาม ยังต้องดูแลเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ย่อมยุ่งมาก ก็เลยให้ข้ามาช่วยพี่ทำงาน”
ลู่เจียวมองเซี่ยหลานด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ นี่พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกหรือไง ถึงกับคิดมาช่วยงานนาง เกรงว่ามีจุดมุ่งหมายอะไรกระมัง
ลู่เจียวคิดถึงว่าเซี่ยหลานอายุไม่น้อยแล้ว ส่วนใหญ่คนอายุเท่านาง ก็หมั้นหมายแต่งงานกันไปนานแล้ว แต่ถึงตอนนี้นางยังไม่มีใครมาสู่ขอ วันนี้เซี่ยหลานมาบ้านนาง คงไม่ได้มาเมียงมองคิดอะไรกับสหายร่วมชั้นเรียนของเซี่ยอวิ๋นจิ่นพวกนั้นกระมัง
ลู่เจียวคิดไปถึงสี่คนในเรือนนอนตะวันออก หันถงเหมือนมีภรรยาแล้ว อีกสามคนนางไม่รู้ แต่นางดูอายุพวกเขา น่าจะแต่งงานแล้วถึงจะถูก
อย่างไรยุคสมัยนี้ ใครๆ ก็แต่งงานกันไว แต่แม้ยังไม่แต่งงาน คนเขาก็ไม่แน่ว่าจะต้องตาต้องใจเซี่ยหลาน และหากต้องใจขึ้นมา เกี่ยวอะไรกับนาง
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็รีบสั่งงานเซี่ยหลานอย่างไม่เกรงใจ “งั้นรีบไปช่วยข้าผ่าฟืน อีกเดี๋ยวจะติดเตาแล้ว”
สีหน้าเซี่ยหลานแข็งค้าง ค่อยๆ หันไปมองกองฟืนหน้าประตูครัว แม้ว่านางเป็นหญิงชาวนา แต่ก็ไม่เคยผ่าฟืนมาก่อนจริงๆ เรื่องพวกนี้พี่รองนางเป็นคนทำทั้งหมด
เซี่ยหลานคิดจะปฏิเสธ แต่ก็คิดถึงท่านแม่นางขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว วันนี้ท่านแม่นางให้นางมา ประการแรก ให้นางสร้างสัมพันธ์อันดีกับพี่สามและพี่สะใภ้สาม
ประการที่สอง เพราะท่านแม่นางไม่วางใจในสัญญา มักรู้สึกว่ามีสิ่งนี้อยู่แล้วไม่สบายใจ ดังนั้นจึงให้นางมาดูว่าจะกล่อมให้พี่สามและพี่สะใภ้สามยอมมอบสัญญาให้พวกนางได้ไหม หากไม่ได้ ก็ดูว่าจะขโมยกลับไปได้ไหม
เซี่ยหลานเดิมไม่อยากมา สุดท้ายได้ยินว่าสหายร่วมชั้นเรียนพี่สามมา เซี่ยหลานก็หวั่นไหวคิดได้ทันที
ตอนนี้นางอายุสิบเจ็ดแล้ว ยังไม่ได้หมั้นหมาย หากยังรีรอต่อไป นางก็ต้องแต่งกับพวกไม่เอาไหนในหมู่บ้านแล้ว นี่จะได้อย่างไร ดังนั้นพอนางได้ฟังว่าสหายร่วมชั้นเรียนเซี่ยอวิ๋นจิ่นมา ก็รีบแล่นมา
ลู่เจียวเห็นเซี่ยหลานเงียบไปนาน เสียงก็ดังขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “ทำไม ไม่ยอมช่วยข้าผ่าฟืน งั้นเจ้าก็รีบ…”
เซี่ยหลานรีบหยุดลู่เจียวไว้ “พี่สะใภ้สาม ข้าผ่า”
กล่าวจบนางหันหลังเดินไปทางครัว ไปผ่าฟืนหน้าประตูครัว
ลู่เจียวไม่ไปไหน หากแต่ยืนอยู่หน้าประตูครัวแนะนำว่า “เจ้ายกมือสูงหน่อย เช่นนี้จึงจะมีแรงผ่า ยกสูงไปหน่อยแล้ว ผ่าฟืนไม่ได้ ไม่ใช่ เจ้าไม่ได้กินข้าวหรือว่าอะไรกัน ยกสูงอีกหน่อย ใช่ อย่างนั้นแหละ เล็งฟืนให้แม่น ฟันลงไปแรงๆ”
“น้องห้า ไม่ใช่พี่สะใภ้ว่าเจ้านะ เจ้าอย่างนี้แต่งไปบ้านแม่สามีจะทำอย่างไร ไม่มีดวงคุณหนู กลับมีโรคคุณหนู หรือวันหน้าจะต้องซื้อสาวใช้ไปรับใช้เจ้า เช่นนี้บ้านไหนเลี้ยงไหว”
ลู่เจียวยิ้มตาหยีพูด เซี่ยหลานโมโหคิดด่าลู่เจียว แต่พอเงยหน้าสบตาลู่เจียว นางก็กลัว หญิงผู้นี้แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่นางยังถูกจัดการ นับประสาอันใดกับนาง
เซี่ยหลานโมโหจนร้องไห้ ร้องไปผ่าฟืนไป
ลู่เจียวพูดไปสองคำแล้วก็ขี้เกียจจะสนใจนางอีก หันหลังเดินไปเตรียมอาหารกลางวัน
เพราะวันนี้มีสหายร่วมชั้นเรียนมาสี่คน ดังนั้นลู่เจียวจึงเอาของที่ซื้อจากในเมืองครั้งก่อนออกมาหมด
ไก่ เป็ด ปลา เนื้อ ล้วนยังเหลืออีกหน่อย อีกอย่างคนในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ยังมอบของให้มาไม่น้อย พอดีจะได้เอามาทำอาหารสักโต๊ะ
ไก่ผัดเผ็ด ถั่วฝักยาวผัดแห้งเป็ด เนื้อปลาน้ำแดง ต้นกระเทียมผัดเนื้อเส้น กุ้งแห้งผัดผักกวางตุ้ง ต้นหอมตุ๋นไข่ แตงกวาซอสเปรี้ยว กะหรี่ปั๊บกุยช่าย เห็ดหูหนูผัดฮ่วยซัว
เห็ดหูหนูได้มาจากชาวบ้านในหมู่บ้าน ฮ่วยซัวนั้นลู่เจียวขึ้นเขาไปขุดมา
สมัยนี้ฮ่วยซัวยังเป็นยา คนมากมายยังไม่รู้ว่าทำอาหารได้ ลู่เจียวจึงเอาทำเป็นกับข้าวได้หนึ่งอย่างพอดี
พออาหารขึ้นโต๊ะ พวกเจิ้งจื้อซิ่งก็ต้องเชื่อคำพูดของหันถง อาหารพวกนี้ดูแล้วสีสันกลิ่นรสครบครัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องลิ้มลอง ต้องอร่อยแน่
เจิ้งจื้อซิ่งมองเห็นดังนี้ก็อดประเมินมองลู่เจียวมากอีกหน่อยไม่ได้ พอมองไปก็พบว่าหญิงผู้นี้ผอมลงกว่าครั้งก่อนไม่น้อย หน้าตาสวยมาก โดยเฉพาะผิวพรรณ ขาวราวกับหยก ไม่เหมือนหญิงบ้านนอกแม้แต่น้อย
สายตาประเมินมองของเจิ้งจื้อซิ่งทำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนเตียงสังเกตเห็น สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันไม่พอใจขึ้นมา สีหน้าเข้มเล็กน้อยกล่าวว่า “เอาละ กินข้าวกันเถอะ”
เพราะวันนี้คนมาก โต๊ะเดียวนั่งไม่พอ ดังนั้นลู่เจียวจึงเอาโต๊ะเล็กตัวเก่าของที่บ้านออกมายัง เรือนนอนตะวันออก วางข้างเตียงเซี่ยอวิ๋นจิ่นบอกกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่า “วันนี้คนมาก พวกเจ้านั่งตรงนี้กินเป็นเพื่อนท่านพ่อดีไหม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองจำนวนคน คิดแล้วก็เห็นด้วย ท่านพ่อเคยบอกกับพวกเขาว่า คนที่มาล้วนเป็นแขก พวกเราเป็นเจ้าของบ้าน ต้องยอมให้แขก
“ได้เลยท่านแม่”
ลู่เจียวยิ้มพอใจ หันหลังเดินไปยังคีบอาหารแต่ละอย่างบนโต๊ะมาวางไว้ที่โต๊ะเล็ก จากนั้นนางยังตักอาหารมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น ก่อนจะหันไปเรียกแขกในห้อง
“บ้านช่องคับแคบ ขอทุกท่านอย่าได้รังเกียจ”
เจิ้งจื้อซิ่งยากจะเอ่ยวาจาเป็นมิตรสักหน่อยว่า “พวกเรามารบกวนแล้ว”
ตู้อี้ยิ้มรับคำกล่าวว่า “ฝีมือพี่สะใภ้ไม่เลวเลยจริงๆ ไม่เหมือนภรรยาข้า อาหารที่ทำเพียงแค่กินได้”
หญิงบ้านนอกทำอาหาร สนใจแค่สุกก็กินได้แล้ว ย่อมไม่สนใจเรื่องอื่น และไม่มีเงื่อนไขให้ทำได้
หลี่เหวินปินยิ้มกล่าวว่า “บ้านเจ้ายังดีที่ยังทำเป็น บ้านข้าแม้แต่ทำก็ยังไม่เป็น”
หลี่เหวินปินกล่าวจบ เจิ้งจื้อซิ่งก็เอ่ยว่า “บ้านเจ้าท่านนั้นยังต้องทำเองด้วยหรือ ไม่ใช่มีสาวใช้ปรนนิบัติหรือ”
เจิ้งจื้อซิ่งกล่าวจบ หลี่เหวินปินก็สีหน้าอึดอัด ลู่เจียวรู้ว่าต้องมีอะไรในเรื่องนี้ ดังนั้นก็รีบเรียกให้ทุกคนกินข้าว
“เอาละ กินข้าวกันเถอะ ไม่กินก็จะเย็นหมดแล้ว”
สหายร่วมชั้นเรียนนั่งลงเตรียมกินอาหารกลางวัน
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นขาเจ็บ ไม่อาจร่วมกินกับสหายร่วมชั้นเรียน ลู่เจียวเป็นเจ้าบ้าน ก็ย่อมกินเป็นเพื่อนแขก
แต่ทางโต๊ะพวกนาง นอกจากลู่เจียว ยังมีเซี่ยหลาน