ตอนที่ 172 อวิ๋นจิ่นหนักเท่าหมูป่าหรือ
ลู่เจียวพอได้ฟังก็รู้ว่าเก้าอี้เข็นท่านอาโหย่วไฉทำเสร็จแล้ว รีบแบกกระบุงหลังเข้าบ้านไปอย่างดีใจ
ในเรือนนอนตะวันออก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวข้างนอก ก็วิ่งออกมากันอย่างดีใจ พอเห็นลู่เจียวก็ส่งยิ้มหวานหยด
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้วหรือ”
ลู่เจียวลูบศีรษะพวกเขา พาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินเข้าไปในห้อง
ในห้อง ท่านอาโหย่วไฉกำลังคุยเรื่องเก้าอี้เข็นกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ข้าคิดว่าเก้าอี้เข็นตัวนี้สำคัญที่สุดก็คือท่อนไม้รองรับล้อนี้ ไม้ปกติเกรงว่าไม่ได้ ดังนั้นข้าขึ้นเขาไปหาถึงสองวัน จึงหาไม้ที่ค่อนข้างแข็งมาได้ เช่นนี้จึงทำให้เสียเวลาอยู่นาน”
ท่านอาโหย่วไฉยิ้มอย่างเกรงใจ ลู่เจียวเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านอาโหย่วไฉทำเก้าอี้เข็นมานานถึงตอนนี้ ที่แท้ก็ปัญหาเรื่องเพลาล้อตรงกลาง แต่เขาว่ามาก็มีเหตุผล หากใช้ไม้ปกติ เกรงว่าพอเซี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งลงก็จะหักในไม่ช้า
ลู่เจียวมองไปยังท่านอาโหย่วไฉ กล่าวขอบคุณว่า “ขอบคุณท่านอาโหย่วไฉแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ขอบคุณท่านอาโหย่วไฉสีหน้าจริงจัง
ท่านอาโหย่วไฉก็ยิ่งเกรงใจ ให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นไปนั่งดู ดูว่าผลเป็นเช่นไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียว
ตอนแรกลู่เจียวไม่เข้าใจ มองอยู่นานจึงได้เข้าใจ นี่คือให้นางอุ้มขึ้นเก้าอี้เข็นหรือ
ลู่เจียวมองสีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ไม่ได้มีทีท่าลำบากใจแม้แต่น้อย ก็อดแปลกใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้ยังไม่ยอมให้นางอุ้ม ท่าทางตอนนี้ธรรมชาติเกินไปหน่อยไหม
ในห้องมีคนยิ้มกล่าวเร่งว่า “พี่สะใภ้สาม รีบอุ้มท่านอาสามขึ้นไปลองเก้าอี้เข็นเร็ว”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นธรรมชาติ แต่ลู่เจียวกลับรู้สึกเขินอยู่บ้างแล้ว ทว่าพอเห็นสายตาทุกคนมองนาง ก็ไม่อาจพูดอะไรมาก เมื่อก่อนนางใช่ว่าไม่เคยอุ้มเซี่ยอวิ๋นจิ่น
ลู่เจียวคิดแล้วก็ก้มลงอุ้มเซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปวางลงบนเก้าอี้เข็น
เก้าอี้เข็นตัวใหญ่มาก เซี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งลงไปก็พอดี
พอเขาลงนั่งก็ร้อนใจยื่นมือออกไปทดลองล้อไม้ หมุนได้จริงด้วย แต่เพราะใช้ไม้ทำล้อ ดังนั้นหมุนทีก็เปลืองแรงไม่น้อย แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกพอใจแล้ว เช่นนี้เขาก็เคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระได้
คนในห้องมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นเลื่อนล้อไปมาด้วยตนเอง ก็อดอุทานประหลาดใจกันไม่ได้
“สวรรค์ เก้าอี้นี่ถึงกับเดินเองได้จริง”
“ท่านอาโหย่วไฉ ท่านร้ายกาจมาก ถึงกับคิดของนี่ออกมาได้”
ท่านอาโหย่วไฉกล่าวอย่างเขินอายว่า “นี่เป็นภาพที่ภรรยาอวิ๋นจิ่นวาด ไม่งั้นข้าจะทำสิ่งนี้ได้อย่างไร”
ท่านอาโหย่วไฉกล่าวจบ คนในห้องไม่น้อยก็พากันชมลู่เจียว “สมองภรรยาอวิ๋นจิ่นทำด้วยอะไรกัน ไม่เพียงแต่รักษาโรคได้ ยังรู้จักสมุนไพร ยังสอนเลี้ยงปลิงเป็น ตอนนี้ถึงกับแม้แต่ของแบบนี้ก็วาดเป็น”
“นางเป็นหมอเทวดา หมอเทวดาย่อมต้องร้ายกาจ เข้าใจไหม”
ป้ากุ้ยฮวาก้าวเข้ามาพอดี ก็รีบเริ่มกระบวนการยกยอของนางทันที
“สมองเจียวเจียวไม่ใช่คนธรรมดาเทียบได้ สมองนางก็คือสมองของหมอเทวดา เรื่องยากอะไรมาผ่านสมองนางก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยากแล้ว”
ลู่เจียวได้ยินก็ราวกับมีแสงดำพาดผ่านใบหน้า รีบช่วยเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข็นเก้าอี้เข็น “ข้าเข็นเจ้าออกไปตากแดดนะ ตากแดดเป็นผลดีต่อไขกระดูก ดีต่อขา”
หลังเซี่ยอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บเป็นอัมพาตได้แต่นอนอยู่บนเตียง ตอนนี้ได้ออกมา ในใจเขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก รีบเห็นด้วยทันที
“ตกลง”
แต่เก้าอี้เข็นเข็นมาเจอกรอบประตูขวางไว้ เพราะมีธรณีประตู แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับลู่เจียว ลู่เจียวยกทั้งคนและเก้าอี้พาเซี่ยอวิ๋นจิ่นออกไปได้
ในลานเล็กของตระกูลเซี่ยยามนี้มีคนไม่น้อย พอเห็นลู่เจียวยกเซี่ยอวิ๋นจิ่นพร้อมเก้าอี้ออกมาก็อดหัวเราะฮากันไม่ได้
“ภรรยาอวิ๋นจิ่นนี่แรงเยอะจริง”
“นั่นสิ นางยังแบกหมูป่าได้ อวิ๋นจิ่นจะหนักไปกว่าหมูป่าหรือไง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินชาวบ้านในหมู่บ้านพูดกัน ก็ไม่รู้จะกล่าวอันใดดี ทำไมเขาจึงไปรวมอยู่กับหมูป่าได้ แต่พอคิดถึงลู่เจียวยกเก้าอี้เข็นออกมา ทั้งสองคนได้สัมผัสใกล้ชิด เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ สดชื่นจากตัวนาง ใบหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นอดร้อนผ่าวไม่ได้ ใบหูก็แดงเล็กน้อย
แต่ความสนใจทุกคนอยู่ที่เก้าอี้เข็นของเขา ไม่มีคนสนใจสีหน้าท่าทางเขา เขาก็แอบโล่งอก
ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างพากันเข้ามารุมล้อม ถามนี่นั่นอย่างสนใจใคร่รู้
ลู่เจียวยิ้มตาหยีถอยหลังก้าวหนึ่ง หันหลังเดินไปเรือนนอนตะวันออก เอากระบุงหลังเข้าครัว เอาของออกมาเก็บ เริ่มทำอาหารกลางวัน
นอกห้อง ชาวบ้านในหมู่บ้านพากันกลับไป ใกล้เที่ยงแล้ว ทุกคนกลับไปทำอาหารกลางวัน
ในลานบ้าน เซี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งพิงเก้าอี้เข็นอย่างสบายใจ หลับตาอาบแสงแดดอย่างมีความสุข แสงอาทิตย์สาดส่องช่างสบายเหลือเกิน แม้ว่าร้อน แต่เขาก็รู้สึกเบิกบานใจมาก
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ล้อมอยู่รอบกายเขา กล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ท่านพ่อ ท่านจะไปไหน ข้าเข็นท่านพ่อไปเอง”
“ข้าก็เข็นได้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แย่งกันขึ้นมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปอมยิ้มมองพวกเขา กล่าวเอ็นดูว่า “ไม่ต้องแย่งกัน หากพ่อจะไปไหน พวกเจ้าก็ผลัดกันเข็น”
“ได้เลย”
ลู่เจียวเดินออกมาจากครัว ในมือมีลูกท้อมาด้วย กล่าวกับเจ้าแฝดสี่ว่า “อาหารกลางวันยังไม่เสร็จ พวกเจ้ากินลูกท้อกันก่อน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พอได้ฟังว่ามีลูกท้อกินก็เบิกบานใจ ถลาไปข้างกายลู่เจียวคว้าลูกท้อ แต่พอหยิบลูกสุดท้ายพบว่าท่านแม่ไม่มี ต้าเป่ารีบส่งลูกท้อในมือให้ลู่เจียว “ท่านแม่ ให้ท่าน”
อีกสามคนที่เหลือเห็นเข้าก็แย่งกันให้
ลู่เจียวลืมหยิบให้ตัวเอง พอเห็นท่าทางเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เช่นนี้ก็รีบยิ้มกล่าวว่า “แม่เหลืออีกลูกในครัว พวกเจ้ากินกับท่านพ่อเถอะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังก็ไม่ดึงดันต่อ ต้าเป่าเอาลูกหนึ่งส่งให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น พ่อลูกกินลูกท้อไปคุยกันไป ภาพนี้เป็นภาพอบอุ่นเกินบรรยาย
ใบหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองทุกอย่างรอบกาย รู้สึกว่าไม่ว่าอะไรก็ดีไปหมด เหมือนทุกอย่างในตอนนี้ล้วนเป็นไปตามที่เขาเคยจินตนาการไว้
ลู่เจียวทำหมี่แผ่นแป้งครึ่งหม้ออย่างคล่องแคล่ว ยังผัดเนื้อเส้นพะโล้อีกจาน และแตงกวาคลุกซอสเปรี้ยวอีกจาน
“เที่ยงนี้ทำอะไรยากๆ ไม่ทัน ก็กินกันง่ายๆ ละกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองหมี่แผ่นแป้งครึ่งหม้อ ผัดเนื้อเส้นพะโล้และแตงกวาคลุกซอสเปรี้ยวบนโต๊ะ
“ดีมากแล้ว”
เมื่อก่อนตอนพวกเขาอยู่บ้านเดิมในตระกูลเซี่ยนั่นแม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม ตอนนี้เป็นเช่นนี้ เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว เรียกได้ว่าสวรรค์กับนรกเลยทีเดียว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่อย่างจริงจัง ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูอ้วนขาวจ้ำม่ำ แก้มยังมีเนื้อหนัง เขาถึงกับมองออกว่ารูปร่างพวกเขาสูงขึ้นหน่อยแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่น่ารักเช่นนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความอิ่มเอิบ
สายตาที่เขามองลู่เจียวก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น
“นั่งลงกินเถอะ เจ้าไปมาครึ่งค่อนวันแล้ว คงหิวแล้วกระมัง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบเรียกตาม “ท่านแม่ รีบนั่งลงกินข้าวกัน”
ซื่อเป่ายื่นมือไปดึงลู่เจียวมานั่งข้างเขา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งครอบครัวได้นั่งกินข้าวด้วยกัน
เมื่อก่อนตอนอยู่กับท่านปู่ท่านย่า เพราะว่าคนมาก ทั้งครอบครัวเบียดเสียดกัน ตอนนี้นับเป็นครั้งแรก ที่ได้นั่งกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขเช่นนี้ ดีใจจริงๆ
ซื่อเป่ารีบใช้ตะเกียบคีบอาหารให้ลู่เจียว “ท่านแม่ กินเนื้อ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกการกระทำซื่อเป่าไม่ค่อยเหมาะ คิดเอ่ยว่าเขา
ลู่เจียวก็รีบรับอาหารที่ซื่อเป่าคีบให้มากินอย่างดีใจ กินหมดก็ยิ้มตาหยีกล่าวขอบคุณซื่อเป่า
“ขอบคุณเจ้าลูกชาย”
ยามนี้เอ้อร์เป่า ซานเป่าก็แย่งกันคีบ แต่ไม่เพียงคีบให้ลู่เจียว ยังคีบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น
แม้ลู่เจียวไม่ปฏิเสธอาหารที่เจ้าหนูน้อยคีบให้นางและเขา แต่สิ่งที่ต้องสอนก็ควรต้องสอน
“วันหน้าคีบอาหารให้ใช้ตะเกียบกลางเพียงคู่เดียว เข้าใจไหม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองนางแปลกใจ “ทำไมหรือ”
“เจ้าดู ตะเกียบที่พวกเรากินกันเช่นนี้เอามาคีบอาหารให้คนอื่นอีกเป็นการไม่สุภาพอย่างหนึ่ง รู้ไหม และคีบอาหารมั่วซั่วก็จะทำให้ท้องมีหนอนได้ง่ายๆ ด้วย”