ตอนที่ 200 ครบเดือนแล้ว
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นหวาไม่ได้ดีนัก เขาไม่รู้ว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ทำไมท่านพ่ออยู่ดีๆ จึงหย่ากับท่านแม่ ความจริงเขาอยากจะหยุดยั้งเรื่องนี้ มีท่านแม่อยู่ เขาจึงจะมีชีวิตที่ดี แต่ตอนนี้ท่านพ่อเขาราวกับปีศาจบ้าคลั่ง
เซี่ยอวิ๋นหวาหันไปมองแม่หม้ายหวัง ล้วนเป็นเพราะสตรีนางนี้
เซี่ยเหล่าเกินได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ดีใจมาก เพราะเฉินหลิ่วเป็นสะใภ้ใหญ่เขา นางดูแลบ้าน เขารู้สึกดีอย่างมาก
“ได้”
แม่หม้ายหวังข้างเซี่ยเหล่าเกินสีหน้าแปรเปลี่ยน แอบนึกแค้นใจ นางรู้สึกว่าตนเองมาซบเซี่ยเหล่าเกินเป็นแผนผิดพลาด ผู้ชายคนนี้เป็นคนขี้ขลาดไร้ความสามารถเหมือนดังที่หร่วนซื่อว่าไว้ แม่หม้ายหวังแอบแค้นใจเซี่ยเหล่าเกินมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา
ในห้องโถง เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองไปยังเฉินหลิ่ว กล่าวช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่ดูแลบ้านแล้วก็ต้องจัดการเรื่องทุกอย่างในบ้านให้เหมาะสม คนที่ทำงานได้ก็จัดการให้ออกไปทำงาน”
วาจาเช่นนี้ทำเอาเฉินหลิ่วดีใจ แม่หม้ายหวัง เซี่ยอวิ๋นหวากับเซี่ยหลานกลับมีสีหน้าไม่ดีนัก
น่าเสียดายเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่สนใจพวกเขา กล่าวต่อว่า “ส่วนหวังซื่อ แม้นางเป็นผู้หญิงของท่านพ่อ แต่นางก็เป็นอนุต่ำต้อย อะไรที่เรียกว่าอนุต่ำต้อย ก็คือทาสรับใช้ ดังนั้นจัดสรรงานให้นางทำได้ก็จัดสรรไป”
เซี่ยเหล่าเกินพอได้ฟังก็รีบกล่าวว่า “นางต้องปรนนิบัติข้านะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองเซี่ยเหล่าเกิน “ตกค่ำนางปรนนิบัติท่านพ่อก็พอ กลางวันต้องทำงาน”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นเต็มไปด้วยความเย็นเยียบ แม่หม้ายหวังกล้ายุแยงท่านพ่อเขาให้หย่าภรรยา ก็อย่าคิดว่าจะรอดตัวไปได้
เซี่ยเหล่าเกินไม่กล้ามีเรื่องกับลูกชายสาม ได้แต่เงียบกริบ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองเฉินหลิ่ว เฉินหลิ่วรับคำอย่างดีใจ “น้องสามวางใจ ข้ารู้ว่าควรจัดสรรเช่นไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่อยากจะสนใจเรื่องของตระกูลเซี่ยทางนี้อีก หันไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “พวกเรากลับกันได้แล้ว”
ลู่เจียวยิ้มตาหยีช่วยเซี่ยอวิ๋นจิ่นเข็นเก้าอี้ โอย ละครฉากนี้สุดยอดจริงๆ อีกอย่าง วันหน้าก็จะไม่มีแม่สามีคอยแล่นมาทำให้นางนึกสะอิดสะเอียนใจแล้ว ตอนนี้นับว่าท้องฟ้าเหนือศีรษะนางปลอดโปร่งแล้ว
ลู่เจียวเข็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับบ้านอย่างอารมณ์ดีมาตลอดทางมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นอดเอ่ยไม่ได้ “เจ้าว่าโลกนี้ทำไมจึงสร้างหญิงที่โง่เง่าได้ถึงเพียงนี้ ชีวิตดีๆ ก็ทำจนเป็นเช่นนี้ไปได้”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็รู้ว่าเขาหมายถึงมารดาเขา ก็เงียบไม่แสดงความเห็น นางไม่อยากยุ่งเรื่องตระกูลเซี่ย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองนาง เห็นนางไม่พูด ก็พลันหัวเราะเบาๆ ขึ้นกล่าวว่า “หากนางฉลาดได้เหมือนเจ้า ต้องไม่ทำชีวิตเป็นเช่นนี้แน่”
ลู่เจียวค้อนตาเขียว นางไม่ได้รู้สึกว่าควรดีใจกับคำพูดนี้สักนิด หร่วนซื่อเทียบกับนางได้หรือไง
“ข้าเทียบกับนาง หนึ่งฟ้า หนึ่งดิน ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นฟังออกว่าลู่เจียวไม่พอใจ ก็รีบรับคำเสียงอ่อนว่า “เจ้าพูดก็ถูก เจ้าฉลาดกว่านางมาก”
ดังนั้นเขาช่างโชคดีจริง ถึงกับได้พบเจอนางเช่นนี้
ทั้งสองคนพูดจาโต้ตอบกันตลอดทางเดินกลับตระกูลเซี่ย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นพวกเขากลับมา ก็วิ่งกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกลับมาแล้ว”
ลู่เจียวเห็นลูกๆ เหงื่อเต็มหน้าผาก ก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อให้พวกเขา
“วิ่งช้าหน่อยไม่ได้หรือ วิ่งกันจนเหงื่อออกเต็มหน้าผากแล้ว”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยิ้มตาหยีเงยหน้าให้ลู่เจียวเช็ดเหงื่อให้พวกเขา ไม่ตอบอะไร ใบหน้าน้อยๆ นุ่มละมุนแดงระเรื่อ ไม่ต้องกล่าวถึงว่าน่ามองน่ารักเพียงใด
ลู่เจียวเลยไปบีบแก้มต่อ แววตาเหมือนเปล่งประกายออกมา เซี่ยอวิ๋นจิ่นข้างๆ เห็นท่าทางของนาง ก็พลันรู้สึกอิจฉาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
เขาแอบบ่นในใจ ลู่เจียวเหมือนไม่ได้ดีกับเขาเหมือนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ นี่เขาคิดมากไปหรือว่านางแอบอาย ไม่กล้าชิดใกล้?
ลู่เจียวไม่สนใจสักนิดว่าในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดเช่นไร พาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปอาบน้ำนอนกลางวัน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไปนอนกลางวันสักครู่ ตื่นมายังต้องสอนหนังสือให้เด็กๆ ในหมู่บ้าน หลังจากผ่านการสอนหนังสือและสังเกตมาในระยะนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นพบเด็กมีแววเรียนหนังสือได้สองสามคน เขาเตรียมเสนอให้ครอบครัวเด็กส่งเด็กพวกนี้ไปเรียนในสำนักศึกษาส่วนตัวในเมือง
ตกค่ำพอลู่เจียวทำอาหารค่ำเสร็จก็ยกออกมาตั้งโต๊ะ เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ก็มา ดวงตาเขาแอบดูแดงๆ พอดูก็รู้ว่าเศร้าเสียใจกับเรื่องของหร่วนซื่อ
ลู่เจียวไม่รู้ว่าควรพูดว่าหร่วนซื่อล้มเหลวหรือพูดว่านางประสบความสำเร็จ เห็นๆ ว่ามีลูกกตัญญูสองคนก็ไม่ยอมดูแลให้ดีๆ กลับไปเอาใจพวกจิตใจหมาป่าพวกนั้น
“พี่รองมาแล้ว กำลังจะกินอาหารเย็นพอดี กินด้วยกันนะ”
ลู่เจียวทักทายเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ เซี่ี่ยเอ้อร์จู้กลับตอบน้ำเสียงหมดแรงว่า “กินไม่ลง”
กล่าวจบก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้อีกฟากในห้องโถง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่โต๊ะอาหารมองเขาก็รู้ว่าเขาทุกข์ใจด้วยเรื่องของหร่วนซื่อ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าเขาเป็นคนนิสัยเช่นนี้ ก็ไม่ได้คิดตำหนิอะไรเขา เพียงแต่ถามว่า “พี่ส่งท่านแม่ไปบ้านท่านน้าแล้วหรือ”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้พยักหน้า “อืม”
เขากล่าวจบเงยหน้ามองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “น้องสาม ทำไมท่านพ่อหย่ากับท่านแม่ แม้ว่าท่านแม่ไม่ดีกับพวกเรา แต่ก็ดีกับท่านพ่อมากจริงๆ ทำไมเขาใจร้ายหย่ากับท่านแม่ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วกล่าวว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้ พี่ก็อย่าได้เสียใจเกินไป”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้น้ำเสียงหมดแรง กล่าวว่า “ข้ารู้ กลัวแค่นางอยู่บ้านท่านน้าไม่เป็นสุข”
ความจริงเขาไม่ได้ปวดใจไปกับหร่วนซื่อ แต่เห็นมารดาตนมีสภาพเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์
เซี่ยอวิ๋นจิ่นปลอบใจเขาว่า “หากกลัวนางอยู่บ้านท่านน้าไม่เป็นสุข วันหน้าพี่ก็เอาของไปเยี่ยมนางหน่อย อย่าให้น้าสะใภ้รังแกนางก็พอ น้าสะใภ้เห็นพี่มาเยี่ยมบ่อยๆ ก็ไม่กล้าทำอะไรนางมากจนเกินไป”
นี่นับว่าเป็นความกตัญญูสุดท้ายที่เขาจะมอบให้หร่วนซื่อ มากกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบก็บอกเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ว่า “เอาละ อย่าเสียใจไปเลย รีบมากินข้าวกัน”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้ากลับไปกินดีกว่า”
ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นขับถ่ายอะไรได้เองแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ช่วยเหลือแล้ว ดังนั้นเซี่ี่ยเอ้อร์จู้ตั้งใจว่าจะกลับแล้ว
ลู่เจียวกลับรั้งเขาไว้ “ในเมื่อมาแล้วก็นั่งลงกินข้าวด้วยกันเถอะ”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้เห็นลู่เจียวกล่าวก็มิได้ปฏิเสธ นั่งลงที่โต๊ะเริ่มกินข้าว กินไปๆ เขาก็คิดได้เรื่องหนึ่ง เงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “น้องสาม ขาเจ้าผ่าตัดมาได้เดือนแล้วกระมัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มกล่าวว่า “พรุ่งนี้ครบเดือนแล้ว”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้หันไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้น้องสะใภ้สามว่า หมอฉีเคยบอกว่า หนึ่งเดือนน้องสามก็จะเดินเหินนิดๆ หน่อยๆ ได้ใช่หรือไม่”
ลู่เจียวพยักหน้า “ใช่”
เพราะเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ดื่มน้ำพุจิตวิญญาณ ตอนนี้เดินเหินไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย เพียงแต่ห้ามเหนื่อยเกินไปก็พอ อีกอย่างขาห้ามโดนชนเจ็บอีก
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้ได้ฟังก็ดีใจทันที มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “น้องสาม ยินดีกับเจ้าด้วย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มอย่างดีใจ เปล่งประกายความสุขรอบกาย เผยกระแสอบอุ่นนุ่มนวลแลดูสูงสง่า แววตาดำขลับของเขาส่องประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า
“ขอบคุณพี่รองที่คอยดูแลข้าในช่วงระยะเวลานี้”
เซี่ี่ยเอ้อร์จู้โบกมืออย่างรู้สึกเขิน “ไม่เป็นไร สมควรแล้วๆ”