ตอนที่ 192 เจ้าคงไม่ได้ชอบข้ากระมัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังกล่าวยังไม่ทันจบ ลู่เจียวในรถม้าก็ร้องเตือนขึ้น “เซี่ยอวิ๋นจิ่น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงยหน้ามองลู่เจียว ลู่เจียวมองเขาอย่างไม่พอใจ เอ่ยเตือนว่า “ข้าไม่สนใจว่าเมื่อครู่เจ้าจะเกิดบ้าอะไรขึ้นมา แต่ขอเจ้าอย่าได้เอาอารมณ์ส่วนตัวไปสาดใส่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขา”
พอลู่เจียวเตือน เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ได้สติ ใช่แล้ว เขาไม่ควรเอาอารมณ์ส่วนตัวไปใส่เจ้าแฝดสี่ หากเขาว่าคนผู้นั้นเป็นคนเลว เจ้าแฝดสี่ย่อมรังเกียจคนผู้นั้น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเหลือบมองไปยังซื่อเป่า สุดท้ายสายตาก็นิ่งสงบลงมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวว่า “คนผู้นั้นเมื่อก่อนเคยทะเลาะกับพ่อ ดังนั้นพอพ่อเห็นเขาก็โมโห จึงได้ลงมือกับเขา”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเพิ่งกล่าวจบ ต้าเป่าก็ทำหน้าบึ้ง กล่าวว่า “เขาเป็นคนเลวใช่ไหม”
เจ้าหนูอีกสามคนก็พากันเดือดดาลมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ทันได้ตอบ ลู่เจียวก็ส่งสายตากำราบเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ สอนว่า “พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ทะเลาะกันไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลว บางครั้งทะเลาะกันก็เพื่อเรื่องบางอย่าง ของบางอย่าง เช่น คนผู้นี้ว่าของนี้ไม่อร่อย ข้าว่าอร่อย ทั้งสองคนโต้เถียงกันขึ้นมา ก็ลงมือกัน เช่นนั้นเจ้าว่าเขาเป็นคนเลวไหม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็แก้ตัว กล่าวว่า “เช่นเหมาโต้ว ไช่โต้วทะเลาะกับพวกเรา พวกเราก็คิดว่าเขาเป็นคนเลว”
“นี่คือความขัดแย้งของเด็ก บางทีวันหน้าโตขึ้นเหมาโต้วกับไช่โต้วก็อาจกลายเป็นคนดี บางทีวันหน้าพวกเขาอาจยังเป็นคนเลว ไม่อาจตัดสินว่าคนผู้นี้เป็นคนเลวหรือไม่เพราะว่าเคยทะเลาะกัน เจ้าต้องดูการกระทำของคนผู้นี้ให้มากๆ”
“ดังนั้นวันนี้ท่านพ่อเจ้าทะเลาะกับคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลว เจ้าต้องดูว่าคนผู้นี้ทำเรื่องไม่ดีหรือไม่ หากเขาทำเรื่องไม่ดีถึงจะเป็นคนเลว หากไม่ได้ทำ ไม่อาจเพราะว่าเขาทะเลาะกับท่านพ่อเจ้า เขาก็คือคนเลว”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังก็เหมือนจะพอเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ แต่ยังพอจับสารที่ท่านแม่ของเขาต้องการจะกล่าวได้ ไม่อาจตัดสินว่าใครเป็นคนเลวเพียงเพราะเคยทะเลาะกัน ต้องดูว่าอีกฝ่ายทำเรื่องไม่ดีหรือไม่
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้าสนับสนุนลู่เจียว
โชคดีที่ลู่เจียวเตือนเขาได้ทันเวลา ดูท่าข้างกายเขาต้องมีคนเช่นลู่เจียวคอยเป็นไม้ฟาดเตือนสติ เขาจึงจะรักษาความสงบสุขุมไว้ได้
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สงบลงแล้ว รุมล้อมเซี่ยอวิ๋นจิ่นปลอบใจเขา “ท่านพ่อ งั้นท่านพ่อก็อย่าได้โมโหเลย พวกเราไม่สนใจเขาแล้ว”
“รอใหข้าโต ข้าจะช่วยท่านต่อยเขา”
“ใช่ ข้าจะเรียนวิชาแพทย์กับท่านแม่ วันหน้าเอาเข็มแทงเขา”
“ท่านพ่อ ท่านรอนะ วันหน้าข้าหาเงินได้มากๆ จะจ้างคนห้าคนไปจัดการคนผู้นั้น”
มีเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ปลอบใจ โทสะในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็คลายลงไปมาก ลู่เจียวกลัวว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่จะล้มในรถม้า ก็เตือนพวกเขาว่า “รีบนั่งให้ดีๆ หากยังเป็นเช่นนี้อีก ครั้งหน้าไม่พาพวกเจ้ามาแล้ว”
ประโยคนี้ข่มขู่จนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กลัว พากันนั่งที่ตัวเองอย่างว่านอนสอนง่าย
ในรถม้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียว “ทำไมเจ้าไม่ถามข้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ลู่เจียวไม่สนใจ กล่าวว่า “ข้าไม่อยากรู้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดนางก็โมโห นางไม่อยากฟัง เขาก็จะเล่าให้นางฟัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอ้าปากกำลังจะบอกลู่เจียว รถม้าพลันเอียงข้าง ลู่เจียวยื่นมือไปกดขาเซี่ยอวิ๋นจิ่นด้วยสัญชาตญาณ ปรากฏนางถลาเข้าหาเซี่ยอวิ๋นจิ่นทั้งตัว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลัวนางจะรีบเบี่ยงตัวหนีแล้วล้มลง จึงยื่นมือไปกอดเอวนางไว้อย่างรวดเร็ว
รถม้ากลับมาแล่นปกติได้อย่างรวดเร็ว คนขับรถด้านหน้าขออภัย กล่าวว่า “ขออภัย ลู่เหนียงจื่อ ด้านหน้ามีเด็กวิ่งตัดหน้ากะทันหัน ข้าเลยรีบหลบ”
ลู่เจียวส่งเสียงตอบกลับไป “ไม่เป็นไร”
นางกล่าวจบก็คิดจะลุก ไม่คิดว่าคนที่กอดนางไว้ กลับไม่ยอมปล่อยนาง
ลู่เจียวเงยหน้ามองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหนือศีรษะ พบว่าแววตาเขาจ้องมองนางลุ่มลึก คล้ายมีคบไฟส่องประกายเต้นระริกอยู่ในดวงตา
ลู่เจียวมองจนตกตะลึง สัญชาตญาณทำให้คิดได้ถึงท่าทีต่างๆ ที่แปลกไปของเซี่ยอวิ๋นจิ่นในระยะนี้ขึ้นมา สมองนางคาดเดาได้ทันทีว่า หรือว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นชอบนาง ดังนั้นระยะนี้จึงได้มีปฏิกิริยาผิดปกติ
ลู่เจียวคิดได้ก็ปากไวถามออกไปว่า “เจ้าคงไม่ได้ชอบข้ากระมัง”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินลู่เจียว แขนก็แข็งทื่อเก้กังไปหมด ใบหน้าหล่อเหลามีแววเขินอาย แม้แต่ใบหูก็แอบแดง แต่ปากกลับไวกว่าสมอง กล่าวว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน สมองวันๆ ไม่รู้คิดแต่เรื่องอะไรกัน”
พอเขากล่าวเช่นนี้ ลู่เจียวก็ได้สติ ใช่แล้ว สมองนางนี่วันๆ ไม่รู้คิดแต่เรื่องอะไรกัน จากนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ตนได้ถามเซี่ยอวิ๋นจิ่นไป ลู่เจียวก็รู้สึกอายขึ้นมาทันที ผลักเซี่ยอวิ๋นจิ่นออก กลับไปนั่งที่ตนเอง
อ้อมกอดเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันว่างเปล่า คิดถึงคำพูดตนเอง เขาก็แอบกินปูนร้อนท้อง รีบเงยหน้ามองไปยังลู่เจียวที่นั่งด้านของรถม้าก็พบว่านางนิ่งเงียบมาก ไม่ได้มีอาการโมโหแม้แต่น้อย
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็โล่งอก จากนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนักเขามักรู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง
บนรถม้า ลู่เจียวเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นจ้องมองนาง ก็คิดถึงคำถามที่นางถามก่อนหน้านี้ทันที แก้มอดร้อนผ่าวขึ้นมาไม่ได้ วันๆ คิดอะไรกันนี่ วันหน้าต้องอย่าคิดเองเออเองอย่างเด็ดขาด
ลู่เจียวไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องนี้อีก หันไปถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้ารู้จักผู้ชายคนนั้นหรือ”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ เซี่ยอวิ๋นจิ่นลืมความรู้สึกแปลกๆ ในใจไป เขามองลู่เจียวกล่าวเสียงนิ่งว่า “ยังจำได้ไหม ก่อนหน้านี้ที่ข้าเคยบอกเจ้าเรื่องเฉินอิง”
ลู่เจียวพยักหน้า จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมาในบัดดล เมื่อก่อนเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหมือนจะแต่งกับเฉินอิง เช่นนั้นเขาต้องชอบเฉินอิง ดังนั้นคำถามนางก่อนหน้านี้จึงหุนหันพลันแล่นไปหน่อยจริงๆ วันหน้าอย่าได้ถามคำถามไร้เหตุไร้ผลเช่นนี้อีก
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วสีหน้าก็เป็นปกติ เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่รู้ความคิดในใจนาง เขาอ้าปากจะบอกลู่เจียว ทันใดนั้นก็นึกถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่บนรถได้ก็หันไปมองทันที
ปรากฏพบว่าเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ใกล้จะหลับเพราะรถม้าโยกเยกไปมาตลอดทาง ลู่เจียวรีบยื่นมือออกไปอุ้มพวกเขานอนราบไปกับเก้าอี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่หลับแล้ว ก็หันไปมองลู่เจียวค่อยๆ เล่าว่า “สี่ปีก่อน ผู้ชายผู้นั้นถูกลอบสังหาร บาดเจ็บสาหัสอยู่นอกวัดชิงเยว่ เฉินอิงช่วยเขาไว้ เฉินอิงดูแลเขามาตลอด จนเขาหายดี ทั้งสองคนเกิดความผูกพันกันในช่วงระยะเวลานี้”
“ผู้ใดจะรู้ว่าพอชายผู้นั้นหายบาดเจ็บแล้ว ก็หายตัวไปทันที เพราะคนผู้นี้ เฉินอิง…”
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างเห็นใจ ที่แท้เฉินอิงไม่ได้ชอบเจ้าหมอนี่ แต่ชอบผู้ชายที่นางช่วยไว้ มิน่าพอเขาเห็นคนผู้นั้นจึงได้ลงมือ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองสีหน้าลู่เจียว มักรู้สึกว่าในแววตานางเหมือนมีความคิดหลากหลาย แต่แท้จริงคืออะไร เขาเองก็ไม่อาจหยั่งรู้
“แววตาเจ้านั้นหมายความว่าอย่างไร”
ลู่เจียวรีบส่ายหน้า “เปล่า”
นางกล่าวจบก็ถามเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ดังนั้นเพราะผู้ชายคนนี้ เฉินอิงจึงได้ล้มป่วยรักษาไม่หายจนจากไป?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงียบไป ลู่เจียวก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว