ตอนที่ 191 เป็นบ้าอะไรขึ้นมา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “วันหน้าหากเขาผ่าตัดเช่นนี้อีก เจ้าก็อย่าเข้าไป”
สตรีนางหนึ่งต้องพบเจอสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่ตกใจได้อย่างไร
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองฉีเหล่ยสีหน้าไม่เป็นมิตร ฉีเหล่ยแทบอยากก้มลงคุกเข่า เซี่ยซิ่วไฉ เจ้าทำความเข้าใจใหม่นะ ข้าสิที่เป็นคนที่ตกใจจนแทบเป็นลม
ลู่เจียวไม่สนใจฉีเหล่ย สนใจแต่ดื่มน้ำกินขนม เห็นว่าเที่ยงแล้วก็เตรียมจะกลับ
จ้าวหลิงเฟิงเดินมายิ้มกล่าวว่า “เที่ยงแล้ว พวกเจ้าไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารก่อนเถิด กินเสร็จค่อยกลับ”
ลู่เจียวไม่ได้ปฏิเสธ และเซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไม่ได้ปฏิเสธออกนอกหน้า เช่นนั้นจะแสดงให้เห็นว่าตนเองจิตใจคับแคบเกินไป
ทุกคนเดินไปที่เรือนด้านหลังหอยาเป่าเหอ ห้องโถงเรือนตะวันตกของหอยาเป่าเหอ มีโต๊ะกลมตัวใหญ่ตั้งอยู่ บนโต๊ะมีอาหารปรุงอย่างประณีตวางอยู่เต็มโต๊ะ
อาหารนี้ไม่ใช่คนหอยาเป่าเหอทำ แต่ผู้จัดการหลี่ไปซื้อมาจากร้านอาหารข้างๆ
ลู่เจียวเข็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เดินมาถึงข้างโต๊ะกลม
ในตอนนี้เอง นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าขึ้น มีคนสองสามคนเดินเข้ามา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวหันไปมอง ลู่เจียวจำได้ว่าคนผู้นี้ก็คือคนที่นางช่วยไว้ก่อนหน้านี้ ดูท่าเจ้าหมอนี่หายไวไม่เลว สีหน้าท่าทางก็ดี มองไม่ออกสักนิดว่าก่อนหน้านี้ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
คนที่เดินเข้ามา พอเห็นลู่เจียวก็เลิกคิ้วทักขึ้น “ลู่เหนียงจื่อมาหรือ”
คนผู้นี้เพิ่งกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นมาตลอดก็ลุกขึ้นยืนทันที
เหมือนเขาลืมว่าขาเขาบาดเจ็บ ก้าวไปด้านหน้าซัดหมัดใส่คนตรงหน้าที่ดูสูงศักดิ์ไม่ธรรมดา
สีหน้าบุรุษผู้นั้นพลันแปรเปลี่ยน ผงะถอยหลัง ม่อเป่ยข้างกายเขารีบออกมารับมือ
ลู่เจียวด้านหลังเซี่ยอวิ๋นจิ่นหน้าเปลี่ยนสี ม่อเป่ยฝีมือร้ายกาจมาก ฝ่ามือนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรับมือไม่ไหว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสู้กับเขา ต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน ไม่แน่ขาเขาอาจได้รับบาดเจ็บอีกครั้งเพราะหมัดนี้
ลู่เจียวร้องลั่น “ม่อเป่ย หยุด!”
ม่อเป่ยปล่อยหมัดไปปะทะหมัดเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว แต่กลับลดแรงลงไปมาก แม้เช่นนี้ หมัดเดียวของเขาก็ทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นผงะถอยหลังสามก้าว
ลู่เจียวรีบเข้าไปประคองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ยามนี้สีหน้านางไม่ดีอย่างมาก จ้องมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นเยียบเย็น “เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมาฮะ!”
อยู่ดีๆ ลงไม้ลงมือกับคนอื่นเขาทำไม
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเปล่งรัศมีเย็นยะเยือกรอบกาย สีหน้าเย็นเยียบดุดัน ดวงตาดำขลับจ้องมองบุรุษตรงหน้าอย่างเกรี้ยวโกรธ
“เจ้าคนเนรคุณ เจ้าทุรชน ถึงกลับกล้าปรากฏตัว”
พอบุรุษผู้นั้นได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที ม่อเป่ยข้างกายยิ่งโมโหมากขึ้น ชี้เซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “บังอาจมาก ถึงกับกล้าด่าเจ้านายพวกเรา รนหาที่ตายชัดๆ”
เขากล่าวจบ ก็ขยับตัวคิดจะพุ่งเข้าจับตัวเซี่ยอวิ๋นจิ่น
บุรุษข้างม่อเป่ยรีบตวาดเขาทันที “หยุด”
เขาตวาดจบก็หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวน้ำเสียงเย็นว่า “คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักท่านกระมัง ทำไมจึงกลายเป็นทุรชนเนร คนคุณไปได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มเยาะกล่าวว่า “เจ้ายังจำเรื่องบาดเจ็บเมื่อสี่ปีก่อนได้ไหม หากไม่มีคนช่วยเจ้าไว้ เจ้ายังมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรือ แต่เจ้าตอบแทนคนที่ช่วยเจ้าไว้อย่างไร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ คนตรงหน้าพลันเปลี่ยนสีหน้าทันที เขาก้าวไปหยุดตรงหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่น “เจ้าหมายความว่า?”
เขากล่าวจบก็เหมือนคิดอะไรได้ รีบหยุดปาก จากนั้นมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอเชิญคุณชายท่านนี้ไปหารือด้านหลังสักครู่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วจ้องมองเขาเขม็ง สายตาประหนึ่งลูกธนูคมกริบพุ่งใส่บุรุษตรงหน้า
ม่อเป่ย ลูกน้องข้างกายเห็นสีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเช่นนี้ก็เป็นห่วงมาก กล่าวว่า “คุณชาย ท่านต้องระวังคนผู้นี้”
เขาหันไปจ้องใส่ม่อเป่ย ก่อนจะหันไปทำท่าเชิญเซี่ยอวิ๋นจิ่น “คุณชายท่านนี้ เชิญ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไม่กลัวเขา เข็นเก้าอี้เข็นออกไป บุรุษผู้นั้นก็รีบตามหลังออกไป พวกม่อเป่ยด้านหลังอยากจะตามไปด้วย แต่กลับถูกเจ้านายตวาดลั่น “ไม่ต้องตามมา”
แม้ว่าม่อเป่ยเป็นห่วงแต่กลับไม่กล้าฝืนคำสั่งนาย จึงได้แต่มองอยู่ไกลๆ
ห้องโถงในเรือนปีกตะวันตก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นที่ออกไปอย่างเป็นห่วง ก่อนจะหันไปเรียกลู่เจียว
“ท่านแม่ ท่านพ่อจะไม่ถูกตีใช่ไหม”
“หากพวกเขาตีท่านพ่อจะทำอย่างไร”
ลู่เจียวกลับขี้เกียจจะคิดเรื่องขัดแย้งระหว่างเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับชายผู้นั้น ตอนนี้นางคิดแค่อยากกินแล้วก็กลับบ้าน
“เอาละ พวกเขาไม่ตีท่านพ่อหรอก หากจะตีก็ตีตรงนี้แล้ว ย่อมไม่ไปหาที่ตีที่อื่นหรอก พวกเขามีเรื่องคุยกัน”
เอ้อร์เป่า ซานเป่า ซื่อเป่ามองไปยังต้าเป่า ต้าเป่าขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งลงข้างท่านแม่ตนเอง แม่ลูกห้าคนเริ่มกินอาหาร
ในห้องโถง จ้าวหลิงเฟิงกับฉีเหล่ยมองลู่เจียวที่แสนจะแล้งน้ำใจแล้วก็เลื่อมใสมาก
สามีตนเองออกไปกับคนอื่น ไม่เป็นห่วงแม้แต่น้อย ทั้งยังกินข้าวลง
กลับเป็นพวกเขาที่เป็นห่วงแทบตาย ข้าวปลาก็กินไม่ลง
ลู่เจียวกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กินเสร็จ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ออกมา แต่สีหน้าเขายังคงไม่ดีนัก รอบกายเปล่งรัศมีเย็นยะเยือก
“ไป พวกเรากลับ”
ต้าเป่าได้ฟังก็เอ่ยอย่างเป็นห่วง “ท่านพ่อ ท่านพ่อกินอะไรหน่อยไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยายามสะกดกลั้นกลิ่นอายเย็นเยียบรอบกาย กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “พ่อไม่หิว กลับบ้านค่อยกิน”
ต้าเป่าไม่ดึงดันอีก วิ่งไปคว้ามือเซี่ยอวิ๋นจิ่นไว้ กล่าวว่า “ได้ พวกเรากลับ”
ท่านพ่อไม่ชอบคนพวกนี้ เขาก็จะไม่ชอบคนพวกนี้ พวกเขาจะกลับบ้านแล้ว
ต้าเป่าคิดไปก็มองลู่เจียวไป กล่าวว่า “ท่านแม่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
ลู่เจียวกินอิ่มแล้ว ย่อมไม่คัดค้าน “ได้ กลับบ้านกัน”
นางกล่าวจบก็มองไปยังฉีเหล่ย “ให้รถม้าส่งพวกเรากลับได้แล้ว”
ฉีเหล่ยรีบพยักหน้าไปจัดการ ทั้งขบวนเดินออกจากประตูหอยาเป่าเหอ รถม้าหอยาเป่าเหอก็ขับมาพอดี ลู่เจียวยกเซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นรถ ก่อนจะอุ้มเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นรถต่อ สุดท้ายตนเองจึงได้ขึ้นตาม ฉีเหล่ยด้านหลังกระซิบว่า “หากหญิงตั้งครรภ์เกิดเรื่อง ข้าจะให้คนไปเชิญท่านมา”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยขึ้นรถ บนรถเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้สนใจฉีเหล่ยคุยกับลู่เจียว เขากำลังจมอยู่กับไฟโทสะ เหมือนกับรูปปั้นน้ำแข็งแกะสลัก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่บนรถเห็นท่าทางเขา ก็แอบเป็นห่วง
“ท่านแม่ ท่านพ่อเป็นอะไรไป”
“น่ากลัวมาก”
“คงไม่ใช่เจ็บขากระมัง”
ลู่เจียวเหลือบมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ปลอบใจเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ท่านพ่อย่อมไม่เป็นอะไร ก็แค่มีเรื่องในใจเท่านั้น”
รถม้าวิ่งทะยานไปหมู่บ้านตระกูลเซี่ย ตลอดทาง เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับคืนสู่ความสุขุมดังเดิม เขาหันไปกวาดตามองแม่ลูกห้าคนในรถม้า
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เหมือนถูกเขาทำให้ตกใจ ลู่เจียวกำลังปลอบใจพวกเขา
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็มองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ด้วยสีหน้าอ่อนโยน กล่าวว่า พ่อได้พบคนเลวคนหนึ่ง…”