ตอนที่ 211 พวกเราค่อนข้างเหมาะสมกันใช่หรือไม่
จ้าวหลิงเฟิงเห็นลู่เจียวจ้องมองชื่อสามโรงงานผลิตก็อธิบายว่า “เดิมโรงผลิตยาก็คิดใช้ชื่อเจ้าตั้ง แต่พอคิดไปคิดมาก็หาชื่อที่เหมาะสมไม่ได้ สุดท้ายข้าก็เลยตัดสินใจเองว่าใช้ชื่อโรงผลิตยาหมิงเหริน เจ้าไม่มีความเห็นต่างกระมัง แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ชอบใจ เปลี่ยนได้ ถึงตอนนั้นพวกเราสามคนไปแก้ไขที่ที่ว่าการอำเภอด้วยกัน”
ลู่เจียวยิ้มพลางส่ายหน้ากล่าวว่า “ดีมาก ข้าเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับเอาชื่อข้าไปตั้งโรงหีบน้ำมันกับโรงเวชสำอาง”
จ้าวหลิงเฟิงได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็โล่งใจ ดูท่าเขาทำถูกต้องแล้ว
“สามอย่างนี้ล้วนเป็นเคล็ดลับของเจ้า ใช้ชื่อเจ้าก็สมควรแล้ว เดิมโรงผลิตยายังคิดใช้ชื่อเจ้าด้วย แต่ปรากฏว่าตั้งยาก จึงได้ตั้งเป็นชื่อหมิงเหริน”
จ้าวหลิงเฟิงพูดอย่างเปิดเผยมาก ลู่เจียวอารมณ์ยิ่งดีขึ้น สีหน้ามีแต่รอยยิ้มเบิกบาน
ฉีเหล่ยมองลู่เจียวที มองจ้าวหลิงเฟิงที แอบพึมพำว่า เขาไม่รู้ว่าจ้าวหลิงเฟิงจะมีความคิดแยบยลเช่นนี้ด้วย ดูท่าอาจารย์เขาถูกเขาหลอกล่อจนเบิกบานใจมาก
จ้าวหลิงเฟิงคิดขุดมุมกำแพงเซี่ยซิ่วไฉ[1]ไหมนะ ฉีเหล่ยหรี่ตามอง
ลู่เจียวลุกขึ้นเตรียมกลับ จ้าวหลิงเฟิงก็ยิ้มเอ่ยเสนอว่า “วันนี้ตอนเที่ยงสั่งโต๊ะเลี้ยงฉลองเรื่องหาเงินกันหน่อย”
หญิงผู้นี้พอลงมือ เขาไม่ต้องออกทุนเลยสักนิด ไม่ต้องจ่ายสักแดง เขาก็เปิดสามโรงงานได้แล้ว และยังเหลือเงินอีกไม่น้อย
จ้าวหลิงเฟิงยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ แววตาเปล่งประกายอ่อนโยนมองไปยังลู่เจียว แววตานั้นมีความร้อนแรงอย่างบอกไม่ถูก คนไม่รู้คงได้คิดว่ามองคนรักลึกซึ้ง ความจริงแววตานี้ของเขาก็คือมองเทพเจ้าเงินตราต่างหาก
แต่คนข้างๆ ไม่รู้ พากันคิดว่าเขาคิดออกนอกลู่นอกทาง
ลู่เจียวคิดถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ที่บ้านก็โบกมือกล่าวว่า “ไม่ต้องแล้ว ที่บ้านยังมีเด็กๆ ที่ต้องดูแลอีก”
นางกล่าวจบก็ก้าวเท้าออกไปทันที จ้าวหลิงเฟิงมองส่งนางจากไป ฉีเหล่ยข้างๆ คว้าจ้าวหลิงเฟิงไว้กล่าวว่า “นี่ไม่ถูกต้อง เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
จ้าวหลิงเฟิงรีบเก็บงำรอยยิ้มอ่อนโยน หันไปมองฉีเหล่ย “ทำไมหรือ”
ฉีเหล่ยกดเสียงให้เบาลงกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้คิดขุดมุมกำแพงเซี่ยซิ่วไฉกระมัง”
จ้าวหลิงเฟิงมองฉีเหล่ยด้วยสีหน้าประหลาด กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “วันๆ คิดแต่เรื่องอะไรกัน นางคือเทพเจ้าเงินตรานะ ข้าจะไม่เกรงใจนางสักหน่อยได้อย่างไร”
จ้าวหลิงเฟิงกล่าวจบ ก็พลันคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำไมทุกคนจึงคิดว่าเขาจะขุดมุมกำแพงเซี่ยซิ่วไฉ หรือว่าเขากับลู่เหนียงจื่อค่อนข้างเหมาะสมกัน
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ถึงกับไม่อาจขจัดทิ้งไปได้
จ้าวหลิงเฟิงหันไปมองฉีเหล่ยด้วยแววตาลุ่มลึกกล่าวว่า “เจ้าว่าข้าเหมาะกับลู่เหนียงจื่อมากกว่าเซี่ยซิ่วไฉหรือ”
จ้าวหลิงเฟิงคิดไตร่ตรองอย่างละเอียด รู้สึกว่าแต่งกับลู่เหนียงจื่อก็ไม่เลว ไม่เพียงแต่เป็นสาวงาม แต่ยังมากความสามารถ ที่สำคัญที่สุดก็คือลู่เหนียงจื่อสอนลูกเป็น เจ้าตัวน้อยบ้านนางพวกนั้นถูกนางสอนจนรู้ความอย่างมาก
จ้าวหลิงเฟิงคิดถึงจ้าวอวี้หลัวบุตรสาวห้าขวบตนเองขึ้นมาก็ปวดหัวมาก
จ้าวหลิงเฟิงเป็นคุณชายที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากภรรยาเอกในจวนหย่งหนิงโหว จึงมีชีวิตไม่ดีนัก ห้าปีก่อน ท่านแม่ใหญ่เขาใช้อุบายจับคู่เขากับบุตรสาวพ่อบ้านรองในจวน เขาทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แต่งกับบุตรสาวพ่อบ้านรองเป็นภรรยา ปรากฏว่าตอนคลอดลูกสาวก็คลอดยากจนสิ้นลมจากไป
จ้าวหลิงเฟิงเป็นผู้ชายย่อมไม่รู้ว่าควรอบรมลูกสาวอย่างไร ปรากฏสอนสั่งจนจ้าวอวี้หลัวอายุไม่น้อยแล้ว แต่กลับเจ้าอารมณ์อย่างมาก
ทุกครั้งที่จ้าวหลิงเฟิงคิดถึงบุตรสาวคนนี้ก็ปวดหัวมาก
ตอนนี้ได้ฟังฉีเหล่ยเอ่ยถึงลู่เจียว เขาก็คิดถึงเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ที่รู้มารยาทของครอบครัวลู่เจียว
ในห้องโถง ฉีเหล่ยได้ฟังจ้าวหลิงเฟิงก็รีบเตือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด กล่าวว่า “จ้าวหลิงเฟิง อาจารย์ข้ามีสามีมีลูกแล้ว เจ้าอย่ามาทำอะไรมั่วซั่ว หากให้ข้ารู้ ข้าจะรีบรายงานคุณชายหมิง ให้เจ้ากลับเมืองหลวงไป”
วาจานี้เตือนสติจ้าวหลิงเฟิงได้อย่างดี เขามาทำงานเป็นเรื่องเป็นราว ไม่อาจเสียงานใหญ่เพราะเรื่องอื่น
เขาเลิกคิ้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ลู่เจียวไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านหลัง นางให้ผู้จัดการหลี่นำรถม้าหอยาเป่าเหอไปส่งนางกลับหมู่บ้าน
ผู้จัดการหลี่รีบให้คนส่งนางกลับ ลู่เจียวซื้อของกินในเมืองไม่น้อยก่อนนั่งรถม้ากลับบ้าน
ที่บ้าน เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กำลังนั่งยองอยู่หน้าประตูรั้ว มองถนนตาปริบๆ ท่าทางน่าสงสาร
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นรถม้ามา ก็ดีใจวิ่งออกไปรับท่านแม่ตนทันที
คนขับรถม้าตกใจ รีบหยุดรถ
ลู่เจียวขนของลงจากบนรถ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รีบเข้าไปรุมล้อมกล่าวว่า
“ท่านแม่ ท่านกลับมาแล้ว พวกเรากำลังรอท่านแม่อยู่”
“ท่านแม่เหนื่อยไหม รีบเข้าไปนั่งพักในบ้าน”
ซานเป่าวิ่งไปห้องครัวอย่างคล่องแคล่ว ไปรินน้ำหวานมาให้ลู่เจียว
ซื่อเป่ารอให้ลู่เจียวนั่งลง ก็ยกเก้าอี้มายืนด้านหลังนาง นวดไหล่ให้นาง
ลู่เจียวพลันหัวเราะดังขึ้น ทำไมรู้สึกว่านางเหมือนฮองไทเฮานะ
“เอาล่ะ ท่านแม่ไม่เหนื่อย พวกเจ้าหิวแล้วใช่ไหม กินอะไรหน่อย”
ลู่เจียวหยิบขนมเปี๊ยะไส้เนื้อออกมาส่งให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ให้พวกเขากินอะไรหน่อย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่รีบร้อนกิน หยิบขนมเปี๊ยะไส้เนื้อยัดใส่มือลู่เจียว “ท่านแม่ ท่านต้องหิวแล้วแน่เลย รีบกิน”
ซานเป่ายกน้ำหวานเดินเข้ามา “ท่านแม่ น้ำหวานมาแล้ว”
ลู่เจียวยื่นมือไปรับน้ำหวานมาดื่มไปคำหนึ่ง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ยิ้มแป้นกันขึ้นมา
ลู่เจียวรู้สึกว่าเจ้าแฝดสี่ตอนนี้ตามติดนางยิ่งกว่าก่อนหน้า ดูท่าเรื่องหย่านางกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น สร้างรอยดำมืดในใจเจ้าหนูน้อยทั้งสี่แล้ว พวกลูกทั้งสี่ตอนนี้เหมือนเอาแต่เป็นห่วงว่านางจะจากไป ดังนั้นจึงได้กังวลกับนางเช่นนี้
ลู่เจียวตัดสินใจว่าสองวันนี้ไม่ทำอะไรแล้ว จะอยู่เป็นเพื่อนลูกๆ ให้พวกเขามีความเชื่อมั่นสักหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงว่านางจะจากไป
“เอาละ รีบกินขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ เอาชิ้นนึงไปให้ท่านพ่อเจ้า คิดว่าเขาก็คงหิวแล้ว”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็คิดถึงท่านพ่อตนเองขึ้นมา ต้าเป่ารีบหยิบขนมเปี๊ยะไส้เนื้อชิ้นหนึ่งเดินเข้าไปในห้อง
เรือนนอนตะวันออก แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะหนังสือตลอด แต่ความเป็นจริงกลับไม่ได้พลิกหนังสือสักหน้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่รอลู่เจียวอยู่ด้านนอก เพราะความกลัวพวกเขาจึงวิ่งไปทั่ว เอาแต่คอยระวัง ตอนนี้ลู่เจียวกลับมา เขาก็วางใจ
ไม่รอให้ต้าเป่าเอาขนมเปี๊ยะไส้เนื้อเข้ามา เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็กลับไปอ่านหนังสือต่อด้วยสีหน้าเย็นชา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ซื้อขนมเปี๊ยะไส้เนื้อมาให้ท่านพ่อ”
ต้าเป่ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น พลางขยิบตาไม่หยุด แสดงท่าทีบอกว่ารีบขอบคุณท่านแม่สิ ชมว่าท่านแม่ช่างดีจริงๆ อะไรทำนองนั้น
น่าเสียดายสีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นนิ่งเฉย ยื่นมือไปรับขนมเปี๊ยะไส้เนื้อแล้วก็ไม่กล่าวอะไรสักคำ
ต้าเป่าอัดอั้นตันใจมาก แอบบ่นกับตัวเอง แม้ท่านพ่อเรียนหนังสือฉลาด แต่เรื่องอื่นๆ เหมือนไม่ฉลาด ช่างโง่มากจริง
ต้าเป่าเอาขนมไปให้เสร็จก็หันหลังออกไป ในห้องโถง ลู่เจียวกวักมือเรียกเขาให้รีบมากินขนมเปี๊ยะไส้เนื้อ
“วันนี้ตอนเที่ยง แม่ทำหมี่เซ่าจื่อเมี่ยนให้พวกเจ้าดีไหม”
เซ่าจื่อเมี่ยนที่ทำเมื่อวานไม่ได้กิน เพราะพวกเขาเกิดเรื่อง วันนี้ทำใหม่อีกรอบ
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พอได้ฟังลู่เจียว ก็มีสีหน้าดีใจกันทันทีตอบรับว่า “เยี่ยมเลย ท่านแม่”
ครู่หนึ่ง ต้าเป่าก็เอ่ยขึ้นว่า “หากท่านแม่เหนื่อย ก็ไม่ต้องทำ กินอะไรก็ได้”
เด็กสามคนก็พยักหน้าเต็มแรง “ใช่ ท่านแม่เหนื่อยก็ไม่ต้องทำ”
[1] ขุดมุมกำแพงเป็นสำนวนจีนหมายถึงแย่งภรรยา