Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1744 เก่ออวี้ผูและจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน

ตอนที่ 1744 เก่ออวี้ผูและจักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน
เสียงแหบพร่าสะท้อนอยู่ในห้วงอากาศว่างเปล่าของความมืดมิด ชวนให้รู้สึกขนพองสยองเกล้า
เจ้าเฒ่าโพธิ!
ล้างบางสำนักคีรีดวงกมล!
นัยน์ตาดำของหลินสวินไหววูบ ในใจพลันเกิดคลื่นถาโถม
ปีนั้นตอนที่เข้าไปในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรก ในแดนลับอสูรมารอริยะนั้น เขาเคยเข้าไปในสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า ‘แดนลับโพธิญาณ’ ได้รับ ‘มรรคคาถา’ ที่น่าอัศจรรย์บทหนึ่งมา
และด้วยประทับเจตจำนงของลั่วทงเทียนเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ ทำให้หลินสวินรู้ว่าเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ที่กรำศึกทั่วบริเวณ ซัดกวาดทั่วหล้ากลับเคยเสียเปรียบครั้งใหญ่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
คนผู้นั้นนั่งบนเมฆเก้าชั้นฟ้า ถือแส้หางม้ามหามรรค กุมเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุด ไม่ใช่ทั้งพุทธและมรรค ไม่ใช่ทั้งมารและนักพรต ถูกเรียกว่า ‘เจ้าแห่งคีรีดวงกมล’ !
ในช่วงเวลาสำคัญที่หลินสวินเปิดประตูสวรรค์ เขาเกือบถูกประทับเจตจำนงนั้นของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ชิงร่างไป
เป็นเพราะพลังของมรดกมรรคคาถาที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเหลือทิ้งไว้ จึงบดขยี้พลังประทับเจตจำนงของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ได้!
และมรดกมรรคคาถานี้ก็คือมรรคคาถาบทนั้นที่ถูกเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดเก็บไว้ เป็นสิ่งที่หลินสวินได้มาจาก ‘แดนลับโพธิญาณ’
นี่หมายความว่าแดนลับโพธิญาณมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งคีรีดวงกมลหรือไม่
เวลานี้ร่างผอมแห้งที่ถูกโซ่มัดกำราบบนแท่นมรรคนั้นก็ส่งเสียงคำรามอย่างอาฆาต พูดถึงคำว่าโพธิ และต้องการล้างบางสำนักคีรีดวงกมล จะไม่ให้หลินสวินตกใจได้อย่างไร
หลินสวินจำได้อย่างชัดเจน ปีนั้นตอนอยู่ที่ ‘เมืองมรณะ’ ราชันผีเสวียนคงเคยบอกว่า
‘ฉายาของอาจารย์ราวกับมหามรรค ใจสามารถตระหนักรู้ เจตจำนงไม่อาจสืบทอด!’
นี่ก็หมายความว่าฉายาของเจ้าแห่งคีรีดวงกมล ก็เหมือนมหามรรคที่ไม่อาจพูดถึง คล้ายมรรคที่อธิบายได้ไม่ใช่มรรคอันเที่ยงแท้ เหมือนนามที่เรียกขานได้ไม่ใช่นามที่แท้จริง!
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับมีความรู้สึกอย่างเด่นชัดว่า ‘เจ้าเฒ่าโพธิ’ ที่ถูกร่างผอมแห้งนั้นโกรธแค้น เกรงว่าคงเป็นเจ้าแห่งคีรีดวงกมล!
‘พี่หลิน พวกเราหนีไม่พ้นแล้ว ที่นี่มีพลังผนึกที่น่ากลัวปกคลุมเหมือนขุมนรก ละทิ้งกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างสิ้นเชิงราวตัดขาดจากโลกภายนอก…’
เวลานี้อาหูสื่อจิตรวดเร็ว สีหน้าของนางจริงจังหาใดเปรียบ ตื่นตระหนกอยู่ในใจ
หลินสวินสัมผัสเล็กน้อยก็สังเกตเห็นว่าไม่เข้าทีเช่นกัน สูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้
นี่คือแดนผีสิงอะไร เพื่อกำราบคนผู้หนึ่ง ถึงกับละทิ้งมหามรรคแห่งวัฏจักรทั้งหมด ไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ!
ทั้งร่างผอมแห้งบนแท่นมรรคนั้นแข็งแกร่งระดับใด ถึงได้ถูกดูแลเหมือนเป็น ‘สิ่งต้องห้าม’ เช่นนี้
“หึๆ เก่ออวี้ผู ทำไมเจ้าไม่พูดเล่า ไม่เห็นว่าข้าจับเหยื่อได้อีกสองตัวหรือ ฮ่าๆๆ…”
บนแท่นมรรคร่างผอมแห้งหัวเราะลั่นเจือแววเหน็บแนม “หลายปีแล้วที่ต่อให้ข้าถูกเจ้าเฒ่าโพธิกำราบ ไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวันอีก แต่ข้าก็ยังสังหารเหยื่อได้”
“ส่วนเจ้าเก่ออวี้ผู… ก็ได้แต่มองตาปริบๆ!”
ในโลกที่มืดมนนี้นอกจากหลินสวินและอาหูแล้ว ก็มีแค่ร่างผอมแห้งคนเดียวชัดๆ แต่เขากลับเหมือนพูดคุยกับคนที่ชื่อ ‘เก่ออวี้ผู’ อีกคน
ทั้งคำพูดยังเจือแววถากถางเก่ออวี้ผูเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่พูดรึ ดูท่าว่าหลายปีมานี้พลังของเจ้าคงอ่อนแอถึงขีดสุดแล้ว มิฉะนั้นทำไมตอนที่ข้าลงมือฆ่าคนเจ้าถึงขวางไม่ทัน”
ร่างผอมแห้งยิ้มหยัน น้ำเสียงอึมครึม
หลินสวินและอาหูแปลกใจสงสัยไม่หยุด
ยอดเขากักเทพสวรรค์
สิ่งที่กักขังคือโซ่หนึ่งพันแปดร้อยสาย คนที่ถูกมัดกำราบคือร่างผอมแห้งที่อยู่บนแท่นมรรคนั้น หรือว่า… เขาก็คือ ‘เทพ’
หากเป็นเช่นนี้ แล้วเก่ออวี้ผูเล่าเป็นใครกัน
หลินสวินและอาหูเดาไม่ออก แต่กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าการคงอยู่ของเก่ออวี้ผู ต้องมีไว้เพื่อเฝ้าดูและกำราบการกระทำชั่วร้ายของร่างผอมแห้งนี้แน่
ก็เหมือนผู้คุมนรกแห่งหนึ่ง!
ร่างผอมแห้งส่งเสียงหัวเราะประหลาดขึ้นมา “ลองดูซากศพที่เต็มพื้นนี่สิ ใครไม่ตายเพราะคีรีดวงกมลของพวกเจ้าบ้าง หากไม่ใช่ว่าพวกเจ้ากำราบข้าอยู่ที่นี่ คนพวกนี้มีหรือจะถูกข้าสังหาร”
อะไรนะ
นัยน์ตาหลินสวินหดรัด ประโยคเดียวทำให้ใจเขาสั่นสะท้าน ชี้ชัดได้ในชั่วพริบตาว่าเก่ออวี้ผูคนนี้ต้องเป็นคนของคีรีดวงกมลอย่างแน่นอน!
ในขณะเดียวกันอาหูก็มองหลินสวินวูบหนึ่ง เห็นชัดว่านางก็เดาออกแล้ว
“ไม่พูดรึ เช่นนั้นข้าจะฆ่าเหยื่อตัวหนึ่งไปสังเวยก่อน!”
เมื่อไม่มีคนตอบนานเข้า ร่างผอมแห้งบนแท่นมรรคคล้ายโกรธแค้นยิ่งนัก เขาพลันหยัดร่างขึ้น สายตาลอดผ่านเส้นผมยุ่งเหยิงราวต้นหญ้าจับจ้องมาทางหลินสวินทันที
วู้ม!
โซ่เส้นหนึ่งที่เสียบแขนขวาของร่างผอมแห้งไว้พลันพุ่งออกมา แหวกอากาศพุ่งมาทางหลินสวินอย่างรวดเร็ว ความแปลกประหลาดและน่ากลัวของกลิ่นอายบรรลุถึงขั้นปาฏิหาริย์
หลินสวินเพิ่งคิดจะหลบหลีก เงาร่างหนึ่งก็พุ่งออกมาก่อนแล้ว
เขาพลันสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง โซ่นั้นก็ถูกกระเทือนจนเกิดเสียงดังครืดคราดย้อนกลับไปทันที เสียบเข้าไปในร่างผอมแห้งอย่างหนักหน่วงใหม่อีกครั้ง
เสียงอึดอัดเจ็บปวดดังขึ้นแผ่วๆ ร่างผอมแห้งกลับหัวเราะลั่นขึ้นมา เหมือนตื่นเต้นหาใดเปรียบ “เก่ออวี้ผู ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว! ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆๆ…”
เสียงหัวเราะดั่งฟ้าผ่า ดังกระหึ่มอยู่ในโลกที่มืดมิดนี้
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินและอาหูก็เห็นเงาร่างที่ปรากฏตัวกะทันหันนั้นอย่างชัดเจน
นี่คือชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ศีรษะสวมหมวกไม้ไผ่ สวมเสื้อฟางกันฝนเหมือนคนตัดฟืน กลิ่นอายทั่วร่างเรียบง่ายตรงไปตรงมา ปกติธรรมดา
แต่ยามเขายืนอยู่ตรงนั้น กลับมีกลิ่นอายแน่วนิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าไม่อาจสั่นคลอน สูงตระหง่านโดดเด่นเหลือประมาณ!
“ข่งตู๋เทียน เคราะห์มาเยือนเจ้าแล้ว”
ชายตัดฟืนวัยกลางคนกล่าว น้ำเสียงลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง
‘หรือว่า… หรือว่าเขาจะเป็น…’
อาหูเหมือนเดาอะไรออก นัยน์ตาเผยแววตื่นตระหนก
‘ใครรึ’
หลินสวินสื่อจิตถามอย่างอดไม่ได้
อาหูสูดหายใจลึก สื่อจิตกล่าว ‘ข้าสงสัยว่า… คนที่ถูกกำราบนั่นมีโอกาสสูงที่จะเป็นบรรพชนของ ‘เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่ง’… ผู้ที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งที่สุดในหมู่เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ ‘จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน’!’
ข่งตู๋เทียน
จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียน!
หลินสวินก็อดใจสั่นไม่ได้ ร่างผอมแห้งที่ถูกกำราบบนแท่นมรรคนั้น จะเป็นตัวตนที่น่ากลัวเหลือคณานั้นจริงหรือ
น้ำเสียงของอาหูเจือความตระหนกที่ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้ ‘ตามคำเล่าลือ ในเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ จักรพรรดิอสูรมารตู๋เทียนคือยอดบุคคลคนเดียวที่สำเร็จเป็น ‘บรรพจารย์มรรค’ ในระดับจักรพรรดิ เผ่าจักรพรรดิตระกูลข่งก็เรียกบรรพชนของพวกเขาว่า ‘บรรพจารย์มรรคตู๋เทียน’ มาตลอด แต่เป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ต่างคนต่างพูด…’
บรรพจารย์มรรค!
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีอย่างสมบูรณ์ ต่อให้เป็นแค่คำเล่าลือก็สามารถทำให้ผู้คนใจสั่นระรัว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเหล่าเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์!
“เคราะห์มาเยือนข้ารึ”
บนแท่นมรรค ร่างผอมแห้งนั้นหัวเราะลั่นราววิกลจริต “เก่ออวี้ผูเอ๋ยเก่ออวี้ผู เจ้าสมกับเป็นคนที่โง่เขลาที่สุดในหมู่ผู้สืบทอดทั้งหมดของคีรีดวงกมล ไม่พูดถึงเรื่องตาไร้แวว ยังหัวรั้นด้วย หรือเจ้าไม่รู้ว่าต้นกำเนิดมหามรรคของเจ้าใกล้จะหมดลง ใกล้สลายกลายเป็นธุลีอย่างสมบูรณ์”
กล่าวถึงตอนท้ายเสียงเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ข้าสังหารเหยื่อไปเท่าไหร่เพื่อล่อให้เจ้าลงมือแล้วค่อยกำจัดเจ้า แต่คนไร้หัวใจอย่างเจ้ากลับทนได้ ไม่เคยปรากฏตัวมาตลอด ทำให้ข้าเองก็จนปัญญา”
“ปีนั้นข้าถึงขั้นสู้จนพลังดั้งเดิมเสียหายหนัก ฆ่าเจ้าหนูระดับจักรพรรดิคนหนึ่งทั้งเป็น แต่ยังไม่อาจทำให้เจ้าปรากฏตัว”
“แต่ตอนนี้เจ้ากลับทำให้ข้ามึนงง ทำไมเจ้าถึงทนไม่ได้เล่า ด้วยรู้ตัวว่าใกล้หมดอายุขัย จึงอยากดิ้นรนในช่วงสุดท้ายก่อนตายรึ ฮ่าๆๆๆ”
ร่างผอมแห้งหัวเราะลั่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้
เขาถูกกำราบมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด อยู่ในความมืดไร้แสงตะวัน ถูกทรมานทั้งเป็นอย่างเหลือคณา แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะทำให้เขาเห็นความหวังที่จะเจอแสงตะวันอีกครั้ง!
ถึงตอนนี้หลินสวินและอาหูจึงเข้าใจ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มายังแดนผนึกแท่นสักการะในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไม่ได้ถูกยอดเขากักเทพสวรรค์สังหาร หากแต่ตายในมือของร่างผอมแห้งนี้!
“พูดจบแล้วรึ”
เผชิญหน้ากับการยั่วยุของร่างผอมแห้ง เก่ออวี้ผูเงียบมาตลอด ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนภูเขาสูงไร้เสียง ต่อให้ตอนนี้จะเอ่ยปากก็ดูลุ่มลึกเป็นอย่างยิ่ง
แต่การตอบสนองที่ไม่แยแสนี้ของเขากลับทำให้ร่างผอมแห้งนั้นอัดอั้นใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกเหมือนต่อยอากาศ อึดอัดไปทั้งตัว
เขาคำรามอย่างอดไม่ได้ “เก่ออวี้ผู เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าเจ้าจะตายแล้ว! ขอแค่เจ้าตาย ข้าก็จะมีโอกาสรอดออกไปได้ ถึงตอนนั้นผู้สืบทอดแห่งคีรีดวงกมลของพวกเจ้าต้องตายกันหมด!”
“ไม่มีทาง”
คำตอบของเก่ออวี้ผูยังคงสั้นกระชับได้ใจความ เพียงสามคำ แต่กลับนิ่งสงบเหมือนไม่มีคลื่นความรู้สึก
นี่ทำให้ร่างผอมแห้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ไม่มีทางรึ เก่ออวี้ผู เจ้าช่างเป็นท่อนไม้บื้อที่โง่ถึงขีดสุดจริงๆ”
ตูม!
จากนั้นเงาร่างเขาพลันยืนขึ้นบนแท่นมรรค โซ่ทั้งตัวเกิดเสียงดังครืดคราด แต่ก็ไม่อาจกำราบเขาให้นั่งลงได้อีก
ขณะเดียวกันอานุภาพน่ากลัวไร้ขอบเขตแผ่ออกมาจากร่างผอมแห้งของเขา ราวกับเทพองค์หนึ่งที่ถูกขังมาชั่วนิรันดร์ตื่นขึ้นมาในยามนี้
ท่าทางเขาดูวิกลจริต ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่กลับมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ต่างจากสภาพอดสูที่ถูกขังเหมือนนักโทษก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
แค่มองจากไกลๆ หลินสวินและอาหูก็รู้สึกหวาดกลัว จิตวิญญาณและสภาวะจิตเหมือนจะแตกออกจากกัน มีความรู้สึกว่าหายใจไม่ออกเหมือนใกล้ตาย
ในตอนนี้เองชายตัดฟืนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างพวกเขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
แค่ก้าวเดียวก็ทำให้หลินสวินและอาหูเหมือนถูกดึงกลับมาจากประตูนรก แรงสั่นสะเทือนที่กายใจได้รับถูกสลายอย่างสมบูรณ์
“ตาย!”
บนแท่นมรรค ร่างผอมแห้งตะคอกลั่น ทั่วร่างแผ่อานุภาพที่สามารถกำราบปวงสวรรค์ ทำให้ตะวันจันทราดาราล้วนสั่นสะเทือนออกมา
ขณะเดียวกันชายตัดฟืนวัยกลางคนสูดหายใจลึก เปลี่ยนไปเช่นกัน!
เขาเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน พุ่งทะลวงเมฆ ยันเปิดแผ่นฟ้า ลอยเหนือห้วงอากาศ ยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด สูงตระหง่านโดดเด่นเทียมฟ้า
พริบตานี้หลินสวินและอาหูล้วนมองไม่เห็นอะไรแล้ว จิตรับรู้และความรู้สึกทั้งหมดเหมือนถูกสลัดทิ้ง
ได้ยินแค่เสียงหนึ่งในความรางเลือน “มหามรรคเคลื่อนคล้อย ทั่วหล้าบนล่าง ไม่มีสิ่งใดรอดพ้น”
‘ไหมแส้หางม้า’ ที่ถูกเก็บไว้ในร่างหลินสวินพลันพุ่งวาบ หายไปจากร่างหลินสวินทันใด
เคลื่อนคล้อย!
แส้หางม้า!
ไม่นานเสียงหวีดร้องด้วยโทสะของร่างผอมแห้งก็ดังขึ้น “แส้หางม้ามหามรรคถูกทำลายไปนานแล้ว ทำไมพลังต้นกำเนิดของมันยังอยู่บนโลกอีก!?”
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไหร่ ราวกับชั่วขณะและเหมือนล่วงเลยเนิ่นนาน หลินสวินที่กายใจตกอยู่ในความว่างเปล่าได้ยินเสียงหนึ่งอีกครั้ง
“ข่งตู๋เทียน ปีนั้นอาจารย์ของข้าเห็นแก่เจ้าที่บรรลุมรรคอย่างยากลำบาก จึงกำราบเจ้าไว้ที่นี่ ให้เจ้าทบทวนตัวเอง และเท่ากับเป็นการให้ทางรอดกับเจ้า”
“น่าเสียดาย สุดท้ายสันดานเจ้าก็แก้ยาก ความป่าเถื่อนไม่ถดถอย…”
นี่คือเสียงของชายตัดฟืนวัยกลางคน ยังคงลุ่มลึกเหมือนเดิม
แต่ต่อมาหลินสวินกลับชะงัก
ด้วยเสียงของชายตัดฟืนวัยกลางคนดังขึ้นในก้นบึ้งจิตใจเขา ‘ศิษย์น้องเล็ก ขอยืมเจดีย์ไร้สิ้นสุดมาใช้สักครั้ง’
………
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท