วันรุ่งขึ้น ตระกูลหันส่งรถม้าสองคนมารับ หันถงไม่ได้ตามมาด้วย
เขารอรับครอบครัวเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่ที่บ้านในตรอกกุ้ยฮวา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวและลู่กุ้ยเอาของที่จะนำไปด้วยขึ้นรถม้าคันหน้า หมา แพะและกระต่ายน้อยสองตัว จูงขึ้นไปรถม้าคันหลัง ลู่กุ้ยเองก็นั่งคู่กับคนขับรถม้าคันหลัง
ทั้งครอบครัวกำลังนั่งรถม้าจากหมู่บ้านตระกูลเซี่ยไป เซี่ยเหล่าเกินกับคนในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยมาส่งพวกเขาอย่างยิ่งใหญ่
เซี่ยเหล่าเกินเห็นครอบครัวลูกชายจะจากไปแล้ว ในใจก็ถึงกับรู้สึกลนลาน แม้ว่าในใจเขา ลูกชายคนโตสำคัญที่หนึ่ง แต่ลูกชายคนที่สามสร้างหน้าตาให้เขามากที่สุด หากเขาไปแล้ว วันหน้าไม่กลับมา คนอื่นจะเคารพเขาเหมือนตอนนี้ไหม
เซี่ยเหล่าเกินอดวิ่งไล่ตามตะโกนไล่หลังรถม้าไปไม่ได้ว่า “เจ้าสาม หมู่บ้านตระกูลเซี่ยคือรากเหง้าเจ้า เจ้าอย่าลืมกลับมาเยี่ยมบ่อยๆ นะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังเสียงตะโกนเซี่ยเหล่าเกินก็สั่งรถม้าให้หยุด เขาเลิกม่านออกมามองไปยังเซี่ยเหล่าเกินด้านหลังรถม้า กล่าวนุ่มนวลว่า “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าข้าเป็นคนหมู่บ้านตระกูลเซี่ย ไม่ว่าไปที่ใดข้าก็ไม่ลืมหมู่บ้านตระกูลเซี่ย รอให้มีวันหยุด พวกเราก็จะกลับมา”
เซี่ยเหล่าเกินวางใจลงได้ในที่สุด ผู้ใหญ่บ้านเซี่ยฟู่กุ้ยด้านหลังได้ฟังคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็วางใจ
ลู่เจียวในรถม้าชะโงกตัวออกไปมองเซี่ยฟู่กุ้ยกล่าวว่า “ผู้ใหญ่บ้าน ข้าสอนเคล็ดลับการเลี้ยงปลิงให้พี่รองแล้ว หากเลี้ยงปลิงเกิดปัญหา ท่านก็ให้คนไปหาพวกเราได้ พวกเราไปอยู่ตรอกกุ้ยฮวาใกล้สำนักศึกษาในอำเภอชิงเหอ พวกท่านไปถึงที่นั่นก็สอบถามดูได้”
ลู่เจียวกล่าวจบก็คิดถึงบรรดาผู้ป่วยที่อยากให้นางรักษา กลัวผู้ใหญ่บ้านจะบอกที่อยู่นางไป นางไม่อยากให้มีคนมาให้ช่วยรักษาอาการป่วยเล็กน้อยอยู่เรื่อยๆ
ลู่เจียวมองผู้ใหญ่บ้านสำทับอีกประโยคว่า “ที่อยู่พวกเรา อย่าให้คนไม่เกี่ยวข้องได้รู้”
เซี่ยเหล่าเกินกับผู้ใหญ่บ้านเข้าใจความหมายในทันที ทั้งสองคนรีบพยักหน้า “เจ้าวางใจ พวกเราไม่พูดไป”
ลู่เจียวพยักหน้า ยิ้มกล่าวว่า “งั้นพวกเราไปละ รอให้อวิ๋นจิ่นหยุดก็จะกลับมาเยี่ยมพวกท่าน”
ผู้ใหญ่บ้านกับเซี่ยเหล่าเกินวางใจลงได้ในที่สุด ยิ้มกล่าวอำลากับพวกเขา “งั้นพวกเจ้าก็ไปดีนะ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองเซี่ยเหล่าเกินกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านพ่อ หากท่านมีเรื่องอะไรก็ให้คนไปบอกข้า”
เซี่ยเหล่าเกินได้ฟังก็พลันรู้สึกเหมือนได้รับการปลอบประโลมจิตใจ “พ่อรู้แล้ว เจ้าไปเรียนเถอะ”
ตอนนี้เขาเป็นบิดาซิ่วไฉก็ได้รับความเคารพเช่นนี้ วันหน้าหากเป็นบิดาขุนนาง ผู้ใดกล้าไม่ยกย่องเขา เซี่ยเหล่าเกินยิ้มโบกมือใบหน้าแย้มบาน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสั่งให้รถม้าออกจากหมู่บ้านตระกูลเซี่ย ชาวบ้านในหมู่บ้านโบกมือกันไม่หยุด คนไม่น้อยเสียใจจนน้ำตาร่วง
“ภรรยาอวิ๋นจิ่นไปเสียแล้ว วันหน้าอยากพบนางก็ยากแล้ว”
“นางเป็นภรรยาซิ่วไฉ จะทิ้งอยู่หมู่บ้านตระกูลเซี่ยได้ไง”
ทุกคนต่างพูดจากันไป ลู่เจียวก็นั่งรถม้าจากไปกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่บนรถม้าตื่นเต้นลูบซ้ายลูบขวา ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยนั่งรถเทียมวัวหลายรอบ แต่นั่งรถม้ากันครั้งแรก ตื่นเต้นอย่างมาก และรถม้ายังเร็วมากด้วย
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ส่งเสียงตื่นตกใจอยู่ตลอด “โอ้ เร็วมาก!”
“ร้ายกาจมาก”
ลู่เจียวยิ้มมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวว่า “ไว้บ้านพวกเราก็หารถม้ามาสักคัน เช่นนี้วันหน้าไปไหนก็สะดวก”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังก็แววตาเปล่งประกายวาบขึ้นมา จ้องมองลู่เจียวถามอย่างตื่นเต้นว่า “ก็คือต้องเลี้ยงม้าหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “ใช่ เลี้ยงม้า ให้ม้าลากรถ เช่นนี้วันหน้าพวกเจ้าอยากไปเที่ยวไหน ก็นั่งรถม้าไปได้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยิ้มตาหยี แต่ไม่นาน ต้าเป่าก็เอ่ยว่า “เลี้ยงม้าต้องใช้เงินมากใช่ไหม หากใช้เงินมากก็ไม่เลี้ยงดีกว่าไหม”
ลู่เจียวรู้สึกรักและเอ็นดูในความรู้ความของต้าเป่ามาก นางยื่นมือไปลูบหัวต้าเป่า กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล ท่านพ่อกับแม่พยายามหาเงินได้”
ลู่เจียวกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็รับคำ “ใช่ วันหน้าพ่อก็จะพยายามหาเงินเลี้ยงดูครอบครัว เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบ มองไปยังลู่เจียวข้างๆ กล่าวว่า “อีกสักครู่ รถม้าจะผ่านเข้าเมืองก่อน ข้าอยากลงไปบ้านท่านอาจารย์เยี่ยมอาจารย์กับอาจารย์แม่หน่อย”
“ได้”
ลู่เจียวไม่ปฏิเสธ นางรู้อาจารย์เฉินกับอาจารย์แม่สำหรับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้วมีบุญคุณดังขุนเขา เขาไปเยี่ยมอาจารย์กับอาจารย์แม่ก็ปกติมาก
ในรถม้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวตอบ ก็ค่อยๆ กล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าเอาแต่คิดว่าอาจารย์กับอาจารย์แม่มีบุญคุณกับข้าดังขุนเขา ราวกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิด แต่หลายวันก่อนข้าเพิ่งได้รู้เรื่องหนึ่ง”
ลู่เจียวรู้สึกสนใจเรื่องที่เขาจะเล่าขึ้นมา หันไปมองเขา “เรื่องอะไร”
“พี่รองบอกข้าว่า ความจริงในปีนั้นที่อาจารย์มาคุยกับท่านพ่อท่านแม่ว่าข้ามีพรสวรรค์ในการเรียนหนังสือมาก ไม่ใช่อาจารย์เห็นว่าข้าฉลาด แต่ท่านปู่ไปไหว้วานเขามา ท่านปู่ขอให้เขามาคุยกับท่านพ่อท่านแม่ว่าข้ามีพรสวรรค์ในการเรียนหนังสือมาก และเริ่มแรกท่านปู่ยังเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนด้วย สองปีต่อมา อาจารย์เฉินเห็นข้าฉลาดเฉลียว ก็เลยไม่เก็บค่าเล่าเรียนข้า”
ลู่เจียวตกใจมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“งั้นกล่าวเช่นนี้ตระกูลเฉินก็ไม่ได้มีบุญคุณกับเจ้ามากขนาดนั้นแล้วสิ ต่อมาเขาไม่เก็บค่าเล่าเรียนเจ้า ก็เพราะเห็นว่าเจ้าเรียนหนังสือได้ดี คิดจะลงทุนกับเจ้า แม้ว่าทำเช่นนี้ก็มีบุญคุณกับเจ้า แต่ก็ถูกลดทอนลงไปมาก เป็นแค่บุญคุณศิษย์อาจารย์เท่านั้น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นพยักหน้า หลายปีมานี้เขาเอาแต่คิดว่าตระกูลเฉินมีบุญคุณกับเขา จึงต้องแบกรับไว้มาก ติดค้างบุญคุณคนหนักหนาเช่นนี้ จะไม่ตอบแทนได้อย่างไร ต่อมาเพราะเขาต้องแทนบุญคุณนี้ จึงคิดแต่งกับเฉินอิงที่ถูกหย่ามาเป็นภรรยา
แต่ตอนนี้เขาจึงได้รู้ ที่เรียกว่าบุญคุณดังขุนเขานั่นลดทอนลงไปมาก
ไม่เพียงแต่ทำให้ในใจเขาไม่ได้รู้สึกหนักหน่วงมาก ยังไม่รู้สึกตำหนิตนเองถึงการจากไปของเฉินอิงอีก กลับกันเฉินอิงต่างหากที่ติดค้างเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเงยหน้าเงียบๆ มองซื่อเป่า จากนั้นก็หันกลับมามองลู่เจียว
ลู่เจียวชอบซื่อเป่ามาก ดังนั้นเขาจะไม่ให้นางรู้เรื่องราวในปีนั้นแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดกล่าวเบาๆ ว่า “เมื่อก่อนข้าเอาแต่ครุ่นคิดว่าชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณตระกูลเฉินอย่างไร ตอนนี้ได้รู้ความจริง ในใจก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย”
ลู่เจียวกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ในเมื่อท่านปู่เจ้าช่วยเจ้า ทำไมไม่เคยพูดล่ะ”
ตอนนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดกระจ่างแล้วว่าทำไมตอนนั้นท่านปู่เขาไม่พูด ประการแรก คิดขัดเกลานิสัยเขา ประการที่สอง ไม่อยากให้ท่านแม่เขารู้ หากท่านแม่เขารู้เรื่องนี้ ย่อมไม่ยอมให้เขาไปเรียนหนังสือ แม้แต่แตะต้องก็ย่อมไม่ให้เขาได้แตะต้องสักนิด
คิดถึงหร่วนซื่อ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็อดมีสีหน้าเย็นเยียบไม่ได้ แต่ก็กลับคืนสู่ปกติในเวลาอันรวดเร็ว ท่านแม่เขาถูกตระกูลเซี่ยหย่าแล้ว ก็นับว่าได้เอาคืนให้กับท่านปู่ท่านย่าแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดไปก็กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลไปว่า “ท่านปู่ข้าคงกลัวท่านแม่ข้ารู้เรื่องนี้ หากนางรู้ เกรงว่าแม้แต่หนังสือก็คงไม่ได้แตะต้อง จะให้ข้าไปเรียนหนังสือได้อย่างไร”
ลู่เจียวคิดถึงหร่วนซื่อก็ถอนหายใจ เห็นด้วยกับความคิดเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่นางก็คิดถึงตระกูลเฉินขึ้นมาได้ทันที ก่อนหน้านี้นางยังช่วยอาจารย์เฉิน หากคิดๆ แล้ว ความจริงซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไม่ติดค้างอะไรตระกูลเฉินแล้ว