ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “อาจารย์เฉินมีบุญคุณศิษย์อาจารย์กับเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าช่วยชีวิตอาจารย์เฉิน ความจริงเจ้าไม่ติดค้างอะไรตระกูลเฉินแล้ว”
ลู่เจียวกล่าวจบสำทับอีกประโยคว่า “อาการป่วยเขา หากไม่ใช่ข้า ย่อมไม่อาจรอด”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็แอบมองนางลึกซึ้ง กล่าวว่า “งั้นข้าก็ติดค้างเจ้าแล้ว”
ลู่เจียวรีบยิ้มกล่าวว่า “ไม่เป็นไร วันหน้าหากข้าต้องการ ก็ย่อมไปทวงกับเจ้าเอง”
ท่านนี้เป็นถึงว่าที่ใต้เท้าโส่วฝู่เชียวนะ วันหน้าหากนางประสบเหตุอะไร ย่อมต้องไปทวงกับเขาแน่นอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินนาง ในใจก็แอบสลดลง แต่เพราะรอยยิ้มนางทำให้ในใจอ่อนลง ยามนี้เขารู้สึกเพียงแค่ในใจรู้สึกเต็มตื้น
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่รู้ว่าระหว่างท่านพ่อท่านแม่แอบคลื่นลมขัดกัน เห็นพวกเขาคุยกันยิ้มแย้มอ่อนโยนมาก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ยิ้มกว้างอย่างเบิกบานใจมาก
รถม้าแล่นมาถึงหมู่บ้านชีหลี่ตรงไปตระกูลเฉิน
ก่อนหน้านี้อาจารย์เฉินเกิดเรื่อง ส่งไปรักษาที่ตระกูลเซี่ยจนรอดชีวิตมาได้ ภายในสามเดือนนี้ต้องพักรักษาตัวดีๆ ดังนั้นตอนนี้ส่วนใหญ่เขาก็จะพักอยู่บ้าน สำหรับสำนักศึกษาตระกูลเฉิน เขาให้ลูกชายคนเล็กไปสอนแทน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวมากันทั้งครอบครัว อาจารย์เฉินกับอาจารย์แม่และเฉินมู่อู่ดีใจมาก
แต่ภรรยาเฉินมู่อู่เหมือนแอบไม่พอใจ เอาแต่ทำหน้าตึงใส่ เหมือนพวกเขาติดค้างเงินบ้านพวกเขาอย่างนั้นแหละ
เฉินมู่อู่จ้องใส่นาง ภรรยาเขาไม่ได้เรื่องเลย ไม่เพียงแต่หน้าตึง ยังเอาแต่พล่ามไม่หยุด
“เลี้ยงสุนัขยังดีกว่าเลี้ยงคน กินฟรีดื่มฟรีเลี้ยงดูกันมาตั้งนาน กลับให้คนอื่นได้ไป น้องอิงแสนน่าสงสารของข้า ตายไปตาไม่หลับจริงๆ”
ครอบครัวตระกูลเฉินสีหน้าดำทะมึนไปหมด เฉินมู่อู่อดตวาดใส่ไม่ได้ว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน”
ภรรยาเขายืดอกถลึงตาใส่เฉินมู่อู่กล่าวว่า “ข้าพูดผิดหรือ หากไม่ใช่เขา น้องอิงจะตายหรือ”
เฉินมู่อู่โมโหถลึงตาจ้องมองนาง “พูดจาไม่เป็นก็ไม่ต้องพูด ยังไม่รีบออกไปอีก”
เขากล่าวจบก็ไม่สนใจภรรยาตนเองอีก มองไปยังพวกเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวกล่าวว่า “ภรรยาข้าไม่รู้ความ ขอพี่อวิ๋นจิ่นกับพี่สะใภ้โปรดอภัย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วคิดจะพูดถึงเรื่องราวในปีนั้น ลู่เจียวกลับเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ตามหลักแล้วข้าไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยกับน้องสะใภ้ แต่อวิ๋นจิ่นตอนนี้เป็นซิ่วไฉ วันหน้าจะสอบเคอจวี่ น้องสะใภ้พูดออกไป ไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงเขา วันหน้าย่อมส่งผลต่ออนาคตขุนนางเขา ดังนั้นข้าขอกล่าวกับน้องสะใภ้สักหน่อย”
“ประการแรก ข้าขอบอกให้กระจ่างเรื่องหนึ่งก่อน ในปีนั้นอวิ๋นจิ่นมาเรียนที่สำนักศึกษาตระกูลเฉินก็เพราะท่านปู่อวิ๋นจิ่นฝากฝัง อาจารย์เฉินจึงได้ไปหาท่านพ่อท่านแม่อวิ๋นจิ่นบอกว่าเขามีพรสวรรค์ในการเรียนหนังสือสูง และท่านปู่เขายังจ่ายค่าเล่าเรียน ส่วนสองปีต่อมา ตระกูลเฉินไม่รับค่าเล่าเรียน ก็เป็นเพราะตระกูลเฉินเห็นค่าในตัวเขา คิดลงทุนกับเขา แม้ว่าสำหรับเขาแล้วก็ถือเป็นบุญคุณ แต่ไม่มากพอจะกล่าวหาว่าเขาเป็นหมาป่าไม่รู้คุณ”
“ต่อมาอวิ๋นจิ่นคิดตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งลูกสาวท่านอาจารย์เป็นภรรยา แม้ว่าสุดท้ายไม่ได้แต่ง แต่จิตใจนับว่าประสงค์ดี หันมามองตระกูลเฉิน สี่ปีมานี้ไม่ได้เยี่ยมเยือน ก็เพราะโทษอวิ๋นจิ่นเรื่องลูกสาว ขอกล่าวสุดท้ายอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้าช่วยชีวิตอาจารย์เฉินไว้ นี่ก็พอจะตอบแทนบุญคุณทั้งหมดแล้ว”
“ข้ากล่าวเช่นนี้ก็เพราะอาการป่วยอาจารย์เฉิน หากไม่ใช่ข้าลงมือช่วย โลกนี้ไม่มีคนช่วยได้แล้ว ดังนั้นหากคิดให้ลึก ก็น่าจะเป็นตระกูลเฉินติดค้างพวกเรา”
ลู่เจียวกล่าวจบก็ไม่พูดอีก ห้องโถงตระกูลเฉินพลันเงียบกริบ
เฉินมู่อู่และภรรยาเขาสีหน้าตกใจ มองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียว จากนั้นก็มองไปยังท่านพ่อท่านแม่ตน
พวกเขาคิดมาตลอดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาเรียนในสำนักศึกษาตระกูลเฉินได้เพราะความดีความชอบท่านพ่อเขา หากไม่ใช่ท่านพ่อเขาไปบอกท่านพ่อท่านแม่ของเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่าเขาเรียนหนังสือได้ เรียนหนังสือดี ท่านพ่อท่านแม่เขาย่อมไม่ให้เขามาเรียน
แต่ตอนนี้ภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับว่า เซี่ยอวิ๋นจิ่นมาเรียนหนังสือได้ไม่เกี่ยวกับท่านพ่อเขา เป็นท่านปู่เขาไปขอท่านพ่อเขามาคุยถึงที่บ้าน
ลองคิดดู คนเขาจ่ายเงิน ขอท่านพ่อเขาไปหาถึงที่บ้าน ท่านพ่อย่อมยอมไป มีนักเรียนเพิ่มอีกคนก็มีค่าเล่าเรียนเพิ่มอีกส่วน ไม่ว่าอาจารย์คนไหนก็ย่อมยอมทำเช่นนี้
แต่นี่ไม่เหมือนกับที่พวกเขาเคยรู้มา
สีหน้าภรรยาเฉินมู่อู่ย่ำแย่ส่งเสียงขึ้นว่า “พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล เห็นชัดๆ ว่าทั้งหมดเป็นท่านพ่อ?”
สีหน้าอาจารย์เฉินกับอาจารย์แม่ยามนี้ย่ำแย่อย่างมาก ทั้งสองคนคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นจะรู้ความจริงแล้ว
ความจริงเมื่อก่อนพวกเขาไม่ได้คิดละโมบความชอบนี้ ต่อมาเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่เคยรู้ความจริงเลย พวกเขาก็เลยลำเลิกบุญคุณตามไปด้วย เพียงแต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งถึงกับถูกคนฉีกหน้าเช่นนี้
อาจารย์เฉินรู้สึกเพียงแค่เลือดในสมองตีขึ้นหัว สีหน้าย่ำแย่อย่างมาก พูดจาไม่ออกอยู่เป็นนาน
อาจารย์แม่ตกใจรีบลูบหน้าอกให้เขา นางหันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวด้วยสายตาขอร้อง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบพาลู่เจียวลุกขึ้นกล่าวว่า “ท่านอาจารย์สุขภาพไม่ดี พักผ่อนมากๆ ข้าพาภรรยาข้ากับลูกๆ กลับก่อน วันหน้ามีเวลาค่อยมาเยี่ยมอาจารย์กับอาจารย์แม่”
อาจารย์แม่รีบพยักหน้า “อวิ๋นจิ่นช่างมีน้ำใจ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก้าวออกจากห้องโถงบ้านตระกูลเฉิน ภรรยาเฉินมู่อู่ยังส่งเสียงตะโกนตามมา “พวกเจ้าหยุดนะ พูดให้กระจ่างก่อนค่อยไป เห็นๆ ว่าพ่อสามีข้าช่วยเหลือเจ้า เจ้าถึงกับกล่าวเช่นนี้ เจ้ามันคนเนร?”
ภรรยาเฉินมู่อู่กล่าวไม่ทันจบ อาจารย์เฉินก็ตวาดอย่างเดือดดาล “หุบปาก”
ภรรยาเฉินมู่อู่หยุดทันที หันไปมองอาจารย์เฉิน
เฉินมู่อู่เห็นสีหน้าอาจารย์เฉินไม่ค่อยดี ก็ถลึงตาใส่ภรรยา แต่เขาเองก็อดถามไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ที่พี่สะใภ้พูดมาจริงหรือ”
อาจารย์เฉินสีหน้าอึมครึม อาจารย์แม่รีบกล่าวว่า “เอาละ อย่าถามท่านพ่อเจ้าเลย สุขภาพท่านพ่อเจ้าไม่ดี ต้องพักผ่อนแล้ว”
อาจารย์แม่เอ่ยปาก เฉินมู่อู่ก็เข้าใจได้ว่าที่ภรรยาเซี่ยอวิ๋นจิ่นพูดมานั้นไม่ผิด ในปีนั้นเซี่ยอวิ๋นจิ่นมาเข้าเรียนหนังสือได้ ไม่ได้เพราะท่านพ่อเขา แต่ท่านปู่เขาไปเชิญท่านพ่อมาพูดที่บ้านอวิ๋นจิ๋น เช่นนั้น คนเขาไม่ได้ติดค้างอะไรตระกูลเฉิน แม้ว่าต่อมายกเว้นค่าเล่าเรียนเขา นั้นก็เพราะมีจุดมุ่งหมาย ไม่นับว่าเป็นบุญคุณ เป็นเพียงแค่การลงทุน กลับกันครอบครัวพวกเขาหลายปีมานี้ เอาแต่ลำเลิกบุญคุณให้คนเขาแต่งน้องสาวเขาเป็นภรรยา สุดท้ายเพราะการตายของน้องสาวเขา ยังเอาไปโทษลงหัวเขาอีก
เฉินมู่อู่ยิ่งคิดก็ยิ่งไร้วาจาจะกล่าว แต่ภรรยาเขากลับเอาแต่โวยวาย “ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องพูดกันให้กระจ่าง เห็นชัดๆ ว่าท่านพ่อช่วยเขา หากไม่มีท่านพ่อจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ”
เฉินมู่อู่ถลึงตาจ้องใส่ภรรยาตนเองตวาดว่า “หุบปาก ล้วนเพราะปากเจ้าไร้หูรูดก่อเรื่องพวกนี้ขึ้นมา หากไม่งั้นวันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเสียหน้ากันเช่นนี้”
หากไม่ใช่ภรรยาเขาพูดออกมา บางทีเซี่ยอวิ๋นจิ่นคงไม่พูดเรื่องนี้ สองครอบครัวก็ไม่มีเรื่องกันถึงขั้นทำลายบรรยากาศเช่นนี้
เฉินมู่อู่มองสตรีข้างกายก็รู้สึกตนเองตาบอด ในตอนนั้นทำไมจึงได้แต่งนางตัวโง่เง่านี่มาได้ ถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจความหมายของท่านพ่อท่านแม่อีก