ลู่เจียวกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าคนนั้นคือสหายเจ้า เจ้าถึงกับยอมรับคนเช่นนั้นเป็นสหาย”
ทำไมเขารู้สึกว่านางรับทุกคนได้หมดยกเว้นเขา
ลู่เจียวรับคำอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “ใช่ เขาคือสหายข้า วันหน้าพูดจาสุภาพกับเขาหน่อย”
สีหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเหมือนถูกกระทบกระเทือนความรู้สึกอย่างรุนแรง ลู่เจียวไม่คิดสนใจเขาอีก หันหลังคิดเดินออกไป แต่เดินไปได้สองก้าว ก็เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่หน้าประตูห้องมองพวกเขาอย่างตกใจ
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นลู่เจียวมองมา ดวงตาก็อดแดงขึ้นอย่างไม่อาจระงับได้ พากันกล่าวอึกอัก “ท่านแม่ พวกท่านทะเลาะกันหรือ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ยินก็หันไปมอง เห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เริ่มเบะปากร้องไห้กันขึ้นมาแล้ว
ทั้งสองคนพลันไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร สบตากันไปมา สุดท้ายก็เป็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยก่อนว่า “พ่อไม่ได้ทะเลาะกับท่านแม่ ก็แค่หารือกันเรื่องหนึ่งจนเสียงดังไปหน่อยเท่านั้น”
ลู่เจียวเองก็รับคำ “ใช่ เพราะความเห็นไม่ตรงกัน ดังนั้นเสียงเลยดังไปสักหน่อย นั่นไม่ใช่การทะเลาะกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาจ้องมองพวกเขาทั้งสองคน
“จริงหรือ”
เจ้าแฝดสี่สงสัยมาก ไม่ค่อยเชื่อวาจานี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่เจียวเดินไปย่อตัวลงดึงพวกเขามาปลอบใจ
“จริงนะ พวกเราสองคนไม่ได้ทะเลาะกันเลย”
ทั้งสองคนกล่าวจบก็สบตากันและกัน จากนั้นก็ยิ้มทีหนึ่ง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นพวกเขาเช่นนี้ก็เชื่อมากขึ้นหน่อย
ต้าเป่ายื่นมือไปดึงมือเซี่ยอวิ๋นจิ่นไว้ กล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าทะเลาะกับท่านแม่ ผู้ชายต้องยอมให้ผู้หญิงถึงจะถูก”
ก่อนหน้านี้ท่านแม่สอนพวกเขาว่า เด็กผู้ชายต้องยอมให้เด็กผู้หญิง ท่านพ่อควรต้องยอมให้ท่านแม่ถึงจะถูก
ต้าเป่ากล่าวจบ เอ้อร์เป่าก็กล่าวต่อ “ท่านพ่อ ดูท่านสิ กล่าววาจาดีไม่เป็น ยังกล่าวเอาใจท่านแม่ไม่เป็น ตอนนี้ถึงกับยังทะเลาะกับท่านแม่อีก”
ฮือ ฮือ มิน่าท่านแม่ไม่อยากอยู่ต่อ เขาเองก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว
ซานเป่าจ้องมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ท่านแม่สวยขนาดนี้ ระวังคนอื่นแย่งไปนะ”
คำพูดซานเป่าทำเอาเซี่ยอวิ๋นจิ่นอึ้งไปทันที หันไปมองลู่เจียว หรือว่าพูดจาดีมีผล
ซื่อเป่าข้างๆ ยื่นมือไปกอดคอลู่เจียวไว้ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “หากท่านทำท่านแม่โมโหหนีไป ข้าก็จะตามท่านแม่ไปด้วย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่รู้ควรกล่าวอันใดดี นี่แค่ไม่นานเท่าไรเอง ใจของพวกลูกทั้งสี่ก็เอนเอียงไปทางลู่เจียวแล้ว
ในใจเซี่ยอวิ๋นจิ่นแอบเฝื่อนขม แต่ก็ฝืนยิ้มกล่าวว่า “วันหน้าพ่อจะไม่ทะเลาะกับท่านแม่แล้ว”
ต้าเป่ารีบกล่าวว่า “งั้นท่านกล่าวขอโทษท่านแม่ ท่านแม่บอกว่าทำผิดก็ต้องแก้ไข จึงจะเป็นเด็กดี”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครั้งนี้ฉลาดขึ้นมาก รีบหันไปมองลู่เจียวกล่าวว่า “ขอโทษ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ดีจริงๆ ไม่ควรเสียงดังใส่เจ้า”
ลู่เจียวจะกล่าวอะไรได้ พวกเด็กๆ จ้องมองอยู่ ได้แต่ยิ้มตอบเขา “ไม่เป็นไร วันหน้าอย่าทำเช่นนี้อีกก็พอ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นผู้ใหญ่สองคนปรองดองกัน ยังกล่าวขอโทษกัน เรื่องนี้ก็ถือว่าผ่านไป
เด็กๆ ยิ้มดีใจกล่าวว่า “อืม นี่สิถึงจะถูกต้อง พวกเราไปกินข้าวกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ สองคนดึงผู้ใหญ่คนหนึ่งออกไปกินข้าวที่ห้องอาหาร
ยายเฒ่าชิวยิ้มอย่างพอใจอยู่นอกประตู เฝิงจือข้างๆ ก็ชูนิ้วโป้งชมยายเฒ่าชิวฉลาด
ยายเฒ่าชิวให้นางไปตามคุณชายน้อยทั้งสี่มา ผู้ใหญ่ทะเลาะกัน เด็กๆ มา ย่อมดีกันได้ง่าย
ตกค่ำตอนทั้งครอบครัวนั่งอาหารเย็นกัน เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวถึงเรื่องเลี้ยงแขกวันพรุ่งนี้
“ไม่ใช่ว่าเจ้าจะปรับปรุงเรือนด้านหน้าหรือ ข้าคิดว่าพรุ่งนี้เลี้ยงแขกแล้ว เจ้าก็ลงมือปรับปรุงเรือนด้านหน้าได้เลย”
ลู่เจียวพยักหน้า “ได้ เชิญทั้งหมดกี่คน”
“สหายร่วมชั้นเรียนห้าหกคน คนที่อยู่ไกลไม่ได้เชิญ เดิมคิดเชิญอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์ด้วย แต่คิดดูแล้วก็ไว้ก่อน วันหน้าค่อยว่ากัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นคนนิสัยเย็นชา ระหว่างที่เรียนในสำนักศึกษา ไม่ค่อยชอบคบหากับคนอื่น คบหาได้แท้จริงคนเดียวก็คือหันถง
พวกที่พอมีสายสัมพันธ์ดีหน่อยก็คือพวกนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนเหมือนเขาไม่กี่คน ไม่ได้คบหาคนอื่นมากนัก
ครั้งนี้ที่เขาเลี้ยงแขก ประการแรกคือเลี้ยงเนื่องในโอกาสย้ายบ้าน ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขาตังใจจะหาคนที่แอบมุ่งร้ายเขา
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยกล่าวว่า “ได้ ข้ารู้แล้ว พรุ่งนี้จะจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยังกล่าวอีกว่าจะมีพวกแขกฝ่ายหญิงที่เป็นภรรยาและลูกของสหายเขามาด้วย ดังนั้นถึงตอนนั้นขอให้ลู่เจียวช่วยต้อนรับ
ลู่เจียวยิ้มอย่างไม่คิดอะไรกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะต้อนรับแขกให้ดี”
บนโต๊ะอาหาร ลู่กุ้ยได้ยินลู่เจียวว่าจะปรับปรุงเรือนด้านหน้า ก็ถามอย่างแปลกใจ “พี่เจียว เรือนด้านหน้าก็ดีนี่ พี่อยู่ดีๆ จะปรับปรุงเรือนด้านหน้าทำไม”
ลู่เจียวยิ้มมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ “ข้าตัดสินใจจะปรับปรุงเรือนด้านหน้าให้เหมาะกับเป็นที่เรียนและที่เล่นที่เหมาะสมกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ถึงตอนนั้นมีสนามเด็กเล่น และยังมีพื้นที่เรียนรู้ สรุปคือมีครบทุกอย่างที่ควรมี”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พอได้ฟังก็ตื่นเต้นมาก มองลู่เจียวอย่างตื้นตันใจ “ท่านแม่ปรับปรุงเพื่อพวกเราหรือ”
ลู่เจียวพยักหน้า “ใช่แล้ว ถึงตอนนั้นก็ตั้งใจเรียนสิ่งที่ควรเรียน รู้ไหม”
เรื่องคัมภีร์ห้าตำราหกของขงจื่อนั้น ลู่เจียวไม่ร้อนใจ ตอนนี้พวกเขาแค่สี่ขวบ ให้เรียนสิ่งอื่นก่อน ไว้ให้พวกเขาตามเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปเมืองหลวง ค่อยเรียนรู้ก็ยังทัน
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ยินว่าลู่เจียวปรับปรุงเรือนด้านหน้าเพื่อพวกเขา แม้ว่ายังไม่ได้เห็นของพวกนั้น ก็ดีใจมากแล้ว เพราะฟังดูแล้วน่าจะสุดยอดมาก
ต้าเป่าดีใจที่สุด เพราะเขาเป็นคนชอบเรียน ดังนั้นจึงดีใจมากเป็นพิเศษ
บนโต๊ะอาหาร เซี่ยอวิ๋นจิ่นแค่ฟังลู่เจียวเล่าคร่าวๆ ก็พอรู้แล้ว นี่น่าจะเป็นรูปแบบของสถานที่เดิมที่ลู่เจียวจากมา เขาแค่ฟังก็รู้ว่าเหมาะกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่มาก ดังนั้นเขาไม่คิดห้าม เพียงแต่ถามอย่างห่วงใยว่า “สิ่งที่เจ้าคิดขึ้นมานั้นดีมาก เพียงแต่ต้องการคนมาสอนพวกเขาไหม”
ลู่เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คิดว่าต้องการคนสอนจริง ไม่อาจหวังพึ่งนางแค่คนเดียว วันหน้านางยังต้องทำกิจการตนเองอีก
หอยาเป่าเหอทางนั้นทุกวันที่ห้าและสิบก็จะต้องไปนั่งประจำ ยังมีโรงผลิตสามโรงอีก ก็ต้องเริ่มถามไถ่ความคืบหน้าแล้ว สรุปเรื่องราวมากมาย ดังนั้นย่อมต้องจ้างคนมา
“ต้องจ้างคนมาสอนพวกเขา แต่คนผู้นี้ ข้าต้องคิดดีๆ ก่อนว่าเลือกคนเช่นไรดี”
“ได้ ถึงตอนนั้นบอกข้าสักคำ”
ทั้งครอบครัวกินกันเสร็จอย่างรวดเร็ว ลู่เจียวพาเฝิงจือไปอาบน้ำให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เตรียมให้พวกเขาเข้านอน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยรู้งานเดินไปพักผ่อนที่เรือนด้านหน้าเอง เขาต้องการที่สงบใจทบทวนตำราจริงๆ
เรือนนอนตะวันตกด้านหลัง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ยินว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปพักผ่อนที่ห้องในเรือนด้านหน้าก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร เพราะลู่เจียวบอกพวกเขาว่า “อย่าเอาแต่ดื้อรั้นจะให้ท่านพ่อเจ้ามานอนเรือนด้านหลัง ท่านพ่อต้องเข้าสอบเซียงซื่อปีหน้า ต้องทุ่มเทใจทั้งหมดกับการเรียน และยังต้องหาเวลาสอนถงเซิงอีก ทบทวนให้นักเรียนพวกนั้นจะยุ่งมาก”
ซื่อเป่ารีบกล่าวว่า “งั้นท่านพ่อไม่ต้องสอนคนพวกนั้นไม่ได้หรือ”