ลู่เจียวยิ้มลูบหัวซื่อเป่ากล่าวว่า “ท่านพ่อสอนก็เพื่อหาเงิน คนเขาจ่ายเงิน ค่าใช้จ่ายจำเป็นสำหรับของกินและของใช้ครอบครัวพวกเราไม่น้อย ท่านพ่อเจ้าย่อมต้องหาเงิน”
ลู่เจียวคิดสร้างระบบความคิดให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ว่า ผู้ชายต้องหาเงิน
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้ฟังคำพูดนาง ก็คิดจริงจังขึ้นมาจริงๆ “ท่านแม่ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง”
ผู้ชายต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัว อย่างไรก็คงไม่อาจให้ท่านแม่หาเงินเลี้ยงครอบครัว
ตอนนี้ขาท่านพ่อหายดีแล้ว วันหน้าก็ควรเป็นท่านพ่อหาเงินเลี้ยงครอบครัวแล้ว
วันรุ่งขึ้นฟ้าเพิ่งสาง ลู่เจียวก็ตื่นนอนมาจัดการงานเลี้ยงวันนี้ ตั้งแต่น้ำชา สุรายันอาหาร ยังมีของหวานหลังอาหาร ต้องเขียนรายการด้วยตนเองให้ลู่กุ้ยไปซื้อ
อีกอย่างลู่เจียวพาเฝิงจือกับยายเฒ่าชิวไปทำขนมเปี๊ยะมีไส้ นางตั้งใจจะทำขนมเปี๊ยะแจกให้เพื่อนบ้านรอบๆ วันหน้าทุกคนย่อมต้องพบหน้ากัน ยังไงสานสัมพันธ์อันดีไว้ดีกว่า
แต่เวลากระชั้นชิด ดังนั้นได้แต่ทำไส้ไข่แดงและไส้งา
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตื่นนอน ลู่เจียวก็ทำขนมเสร็จสามหม้อแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มองขนมเปี๊ยะบนโต๊ะอหาร ตกใจส่งเสียงร้องขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านทำขนมเยอะแยะเลย”
เฝิงจือยิ้มรับคำ กล่าวว่า “เหนียงจื่อจะมอบให้คนอื่น ดังนั้นจึงทำเยอะขนาดนี้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่วิ่งไปตรงหน้าลู่เจียว ถามว่า “ท่านแม่จะมอบให้ผู้ใด”
“เพื่อนบ้าน ไว้อีกสักครู่พวกเจ้านำไปมอบให้พวกเขากับแม่ดีไหม”
นางต้องพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปพบคนให้มากหน่อย เช่นนี้พวกลูกทั้งสี่จึงจะใจกล้า ไม่กลัวคนแปลกหน้า
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ย่อมตอบรับ ยิ้มตาหยีกล่าวว่า “ขอรับ ท่านแม่”
ลู่เจียวมองไปยังเฝิงจือกับยายเฒ่าชิวกล่าวว่า “เตรียมอาหารเช้าได้แล้ว”
สองคนรับคำกล่าวว่า “เจ้าค่ะ เหนียงจื่อ”
ตอนเช้าเตรียมนมแพะ ไข่ไก่ โจ๊ก ยังมีซาลาเปาและขนมเปี๊ยะ อีกอย่างก็คือแตงกวาคลุกซอสเปรี้ยวกับไชเท้าเปรี้ยวหวาน
ฮวาเสิ่นยังบอกว่านางทำผักดองเป็น ลู่เจียวจึงให้นางหาเวลาทำสักหน่อย
ทุกคนเพิ่งเตรียมอาหารเช้าตั้งโต๊ะเสร็จ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยก็เข้ามา ทั้งสองคนตกใจที่ลู่เจียวกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตื่นกันแต่เช้า
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่วิ่งไปกล่าวกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ทำขมนเปี๊ยะตั้งเยอะ บอกว่าเอาไว้ให้เพื่อนบ้าน พวกเราจะไปมอบขนมกับท่านแม่”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียว ตอนนี้เขานับวันก็ยิ่งรู้สึกว่าลู่เจียวมีวิธีการสอนลูกที่เขาทำไม่ได้ นางช่างดีอะไรเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็ลูบหัวเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ กล่าวว่า “ต้องมีมารยาท และเชื่อฟังท่านแม่นะ”
“ทราบแล้วขอรับ”
ทั้งครอบครัวนั่งลงกินอาหารเช้า ลู่เจียวเอารายการส่งให้ลู่กุ้ย กล่าวว่า “ไปซื้อของตามนี้ ให้หลินต้าไปส่งเจ้า ให้เขาช่วยเจ้าถือ ไม่เข้าใจอะไรก็ถามหลินต้า”
แม้ว่าหลินต้าเป็นคนขับรถ แต่เขาเคยเป็นคนรับใช้ในจวนขุนนาง ย่อมรู้งานคล่องแคล่วกว่าเจ้าปัญญาอ่อนลู่กุ้ยนี่มาก
ดังนั้นลู่เจียวให้ลู่กุ้ยไปซื้อก็เพื่อฝึกฝนเขา ในเมื่อมีใจคิดติดตามนาง ย่อมต้องอบรมเขาให้ดีสักหน่อย
“ได้เลย พี่เจียว”
ดีที่ลู่กุ้ยเป็นคนรับฟังมาก คนเราไม่กลัวโง่ กลัวแค่ไม่รับฟัง
หลังอาหารเช้าผ่านไป ลู่เจียวเตรียมพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเยี่ยมคารวะเพื่อนบ้าน
ไม่คิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นถึงกับตามพวกนางไปด้วย “ทั้งครอบครัว จริงใจสักหน่อย”
ลู่เจียวถามอย่างห่วงใยกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องทบทวนตำราหรือ”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้มาเสียเวลาอะไรตรงนี้หรอก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นจูงลูกสองคนเดินออกไป ลู่เจียวได้แต่จูงอีกสองคนตามออกไป
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่มีความสุขมาก พวกเขาชอบให้ท่านพ่อกับท่านแม่สองคนพาพวกเขาไปด้วยกัน
ทั้งครอบครัวไปด้วยกัน เฝิงจือถือตะกร้า ในตะกร้ามีขนมเปี๊ยะใส่ไส้และยังมีลูกอมอีกหลายถุง
ลู่เจียวตัดสินใจให้ขนมเปี๊ยะใส่ไส้และลูกอมครอบครัวละหนึ่งห่อ
ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเพื่อนบ้านเป็นคนอย่างไร ไปรู้จักกันไว้ก่อน
เพื่อนบ้านทางตะวันออกของบ้านลู่เจียวเป็นมือปราบประจำที่ว่าการอำเภอชิงเหอ แซ่จ้าว คนเรียกกันว่ามือปราบจ้าว ในจวนมีภรรยาแซ่หลู คนเรียกกันว่าหลูเหนียงจื่อ ที่บ้านมีลูกสี่คน คนโตเป็นถงเซิงแล้ว กำลังเรียนอยู่ในสำนักศึกษาอำเภอ ต้นตระกูลพวกเขาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้บุตรชายคนโตได้ใกล้สำนักศึกษา
หลูเหนียงจื่อนิสัยอ่อนโยน จะยิ้มก่อน ไม่ค่อยพูด ดูแล้วก็เป็นคนที่คบหาง่าย เพียงแต่บุตรสาวคนโตพวกเขาเหมือนไม่ค่อยรู้ธรรมเนียม พอเห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นก็เอาแต่จ้องมองไม่วางตา
ลู่เจียวเห็นแล้วก็ไร้คำพูด มองหญิงสาวผู้นี้ก่อนมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น สบถพึมพำคำหนึ่งว่า ตัวหายนะ
แม้ว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นไม่ได้ยินคำพูดลู่เจียว แต่ดูสีหน้านางก็เข้าใจ สีหน้าพลันเย็นเยียบราวกับน้ำแข็ง มองไปยังบุตรสาวคนโตตระกูลจ้าวด้วยสีหน้าดุดัน
ลู่เจียวรีบพาเขากลับ มาคารวะเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านครั้งแรกอย่าได้มีเรื่องไม่พอใจกัน
ทั้งครอบครัวเดินออกจากบ้านตระกูลจ้าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียวพลางบ่นพึมพำ “ข้าก็ไม่ได้สนใจนางเสียหน่อย”
ลู่เจียวจึงเอ่ยชมออกไปอย่างนั้นคำหนึ่ง “อืม ไม่เลว”
แม้ว่านางแค่ชมออกไปอย่างนั้น แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกดีใจมากเป็นพิเศษ แอบตัดสินใจว่าวันหน้าต้องรักษาระยะห่างจากสตรีอื่น ไม่สิ เมื่อก่อนเขาก็รักษาระยะห่างกับสตรีอื่นอยู่แล้ว งั้นวันหน้าต้องรักษาระยะยิ่งห่าง ลู่เจียวจึงจะเบิกบานใจเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
ลู่เจียวไม่รู้ความคิดเซี่ยอวิ๋นจิ่น พาทั้งครอบครัวไปยังทางตะวันออกอีกบ้าน
ข้างบ้านตระกูลจ้าวแซ่หลิว ตระกูลหลิวมีคนไม่มาก มีแต่ตาเฒ่ากับยายเฒ่าสองคน และยังมีหลานชายที่ดูเหมือนป่วยอีกคน หลานชายหน้าตาหล่อเหลาเฉลียวฉลาด เพียงแต่สีหน้าซีดขาวไปสักหน่อย หน้าตาเหมือนคนป่วยออดแอด เห็นชัดว่าเพิ่งเดือนแปด ก็สวมเสื้อผ้าหนามากแล้ว
สองเฒ่าแซ่หลิวเป็นคนดีมาก หลานชายก็ดี เห็นอยู่ว่าป่วย แต่พอเห็นว่าที่บ้านมีแขกมาก็ยังออกมาต้อนรับ
แต่พอเขาออกมาก็จำเซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ ส่งเสียงร้องดีใจขึ้นมา
“ที่แท้พี่อวิ๋นจิ่นย้ายมาอยู่ตรอกกุ้ยฮวา ข้า…”
กล่าวไม่ทันจบก็หอบเสียก่อน เขาหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อว่า
“ข้าเลื่อมใสพี่อวิ๋นจิ่นมาตลอด วันหน้าหากมีการเรียนที่ไม่เข้าใจ ไปขอคำแนะนำจากพี่อวิ๋นจิ่นได้ไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นจำคนตรงหน้านี้ได้ ก็คือหลิวจื่อเหยียน นักเรียนในสำนักศึกษา
หลิวจื่อเหยียนเป็นซิ่วไฉ แต่เพราะสุขภาพเขาไม่ดีอย่างมาก ไม่ทันเคลื่อนไหวไปไหนก็ป่วย ขอกลับมาพักที่บ้าน สภาพเขาเช่นนี้ยังสอบย่วนซื่อผ่านได้เป็นซิ่วไฉของอำเภอชิงเหอ
เพียงแต่สุขภาพเขาเช่นนี้จะร่วมสอบเซียงซื่อปีหน้าได้ไหม เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่าหลิวจื่อเหยียนสุขภาพย่ำแย่อย่างมาก
แต่เขาไม่ได้พูดออกมาตรงนั้น เพียงยิ้มอย่างสุภาพ กล่าวว่า “วันหน้าพวกเราถกประเด็นกันได้ มาพยายามเพื่อการสอบเซียงซื่อปีหน้ากัน”
หลิวจื่อเหยียนมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “พี่อวิ๋นจิ่นย่อมต้องผ่านการสอบเซียงซื่อและย่อมได้เป็นเจี่ยหยวนแห่งหนิงโจวเราแน่นอน ส่วนข้าคงไม่ได้แล้ว จะผ่านหรือไม่ยังเป็นปัญหา”
เขากล่าวจบก้มหน้าสีหน้าหม่นลง ราวกับมะเขือม่วงถูกน้ำค้างแข็งตกใส่
สองผู้เฒ่าในห้องโถงตระกูลหลิวรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที รีบปลอบใจเขา “เจ้าต้องสอบได้แน่ ต้องสอบได้แน่”
ลู่เจียวมองสภาพหลิวจื่อเหยียน ครุ่นคิดอย่างสงสัยถึงสุขภาพเช่นนี้สามารถสอบเซียงซื่อผ่าน? อย่าว่าแต่การสอบเซียงซื่อว่าผ่านหรือไม่ แต่คงได้ทรมานตนเองจนสิ้นลมไปก่อนแล้ว
แต่เพิ่งมาเยี่ยมคารวะครั้งแรก นางจึงไม่พูดอะไรทั้งนั้น
ทั้งครอบครัวมาเยี่ยมคารวะครอบครัวตระกูลหลิวแล้ว ก็ไม่ได้ไปทางตะวันออกต่อ แต่ไปบ้านเพื่อนบ้านทางตะวันตกต่อ