พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นพูด จ้าวหลิงเฟิงก็รู้ว่าไม่เหมือนก่อน เจ้าหมอนี่ตอนนี้นิ่งสงบกว่าเมื่อก่อนมาก ตอนนี้ตนคงจะแหย่อีกฝ่ายให้โมโหไม่ได้แล้ว
จ้าวหลิงเฟิงมองลู่เจียว ยิ้มกล่าวว่า “เซี่ยซิ่วไฉเกรงใจแล้ว”
ทั้งสองคนกำลังกล่าววาจาสุภาพกันไปมา
นอกประตูหอยาเป่าเหอก็มีเสียงรถม้าวิ่งมาอย่างรีบร้อน หลังรถม้ายังมีคนขี่ม้าหลายตัววิ่งตามหลังมา
พอรถม้าหยุดลง คนที่ขี่ม้าตามาก็โดดลงมาพุ่งเข้ามาในหอยาเป่าเหอทันที
“จ้าวหลิงเฟิง”
คนที่มาตะโกนเรียกจ้าวหลิงเฟิง จ้าวหลิงเฟิงหันไปมองก็พบว่าคนที่เรียกเขาเป็นม่อเป่ย
จ้าวหลิงเฟิงอดอึ้งไปไม่ได้ คนผู้นี้ไม่ใช่ติดตามอยู่ข้างกายคุณชายห้าหรือ ทำไมมาหอยาเป่าเหอ
จ้าวหลิงเฟิงนำคนเดินเข้าไปหาทันที “เจ้ามาได้อย่างไร”
ม่อเป่ยกล่าวอย่างร้อนใจ “ไว้ข้าค่อยเล่ารายละเอียดให้เจ้าฟัง เจ้ารีบเชิญลู่เหนียงจื่อมาเร็ว ผ่าตัดให้ขุนพลหวัง”
จ้าวหลิงเฟิงย่อมรู้ว่าขุนพลหวังเป็นใคร พอได้ฟังม่อเป่ยก็รู้ว่าขุนพลหวังได้รับบาดเจ็บ รีบรับคำกล่าวว่า “ลู่เหนียงจื่ออยู่ในร้าน เจ้ารีบให้คนแบกขุนพลหวังลงจากรถม้า”
“ตกลง”
ม่อเป่ยรับคำเดินออกไป พอคิดถึงนิสัยลู่เจียว อ้าปากก็คิดกล่าวว่า ขอเพียงรักษาแขนของขุนพลหวังหาย นางต้องการเงินเท่าไรไม่ว่ากัน
แต่จ้าวหลิงเฟิงเดินไปแล้ว ม่อเป่ยไม่กล้าเสียเวลาต่อ แขนขุนพลหวังข้างหนึ่งถูกคนตัดขาด เหลือเพียงหนังที่ยังติดอยู่ ตอนนี้เพราะเสียเลือดมากไป จึงสลบไป ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดไหม
ขุนพลหวังเป็นคนที่นายท่านกว่าจะดึงมาเป็นพวกได้ก็ไม่ง่าย หากจบชีวิตไปเช่นนี้ ความพยายามทั้งหมดของนายท่านก็คงสูญเปล่า
กลับกันหากครั้งนี้พวกเขารักษาแขนให้ขุนพลหวังหายได้ เช่นนั้นเขาย่อมยอมรับใช้นายท่าน
ม่อเป่ยสั่งให้แบกขุนพลหวังเข้ามาในหอยาเป่าเหอ จ้าวหลิงเฟิงเดินไปถึงข้างกายลู่เจียว กระซิบว่า “ม่อเป่ยพาผู้ป่วยหนักมา ต้องการให้เจ้ารักษา”
จ้าวหลิงเฟิงกล่าวจบ พลันคิดถึงว่าลู่เจียวไม่อยากให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้เรื่องนางผ่าตัดเป็น ดังนั้นเขาเงยหน้ามองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ้มมองเขาก่อนจะกล่าวว่า “ผู้ป่วยต้องการให้ลู่เจียวผ่าตัดหรือ หากผ่าตัดเกิดเหตุเหนือความคาดหมาย คงไม่ต้องให้ลู่เจียวรับผิดชอบกระมัง”
จ้าวหลิงเฟิงได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น หันไปมองลู่เจียวด้วยสัญชาตญาณ เซี่ยซิ่วไฉรู้เรื่องลู่เจียวผ่าตัดเป็น
ลู่เจียวไม่ได้สนใจสายตาจ้าวหลิงเฟิง ลุกขึ้นยืนทันที
ยามนี้ม่อเป่ยให้ลูกน้องสองคนแบกขุนพลหวังที่หมดสติเข้ามาแล้ว
ลู่เจียวลุกขึ้นจะเดินเข้าไป เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังเรียกนางไว้พลางกำชับว่า “ลู่เจียว เจ้าอย่าได้เหน็ดเหนื่อยเกินไป”
ลู่เจียวได้ฟังเขาก็คิดถึงขาเขา พยักหน้าเล็กน้อย กำชับเสียงอ่อนโยนว่า “ขาเจ้ายังไม่หาย กลับบ้านไปก่อนเถอะ”
นางกล่าวจบก็ชี้ให้ลูกน้องม่อเป่ยแบกคนไปในห้องตรวจของหอยาเป่าเหอ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังก้มหน้ามองขาตนเองด้วยสัญชาตญาณทันที จากนั้นก็ในสมองเขาก็เหมือนกับกระจ่างขึ้นมา ราวกับเปิดเส้นชีพจร คิดได้หลายเรื่อง เช่นลู่เจียวดีกับเถียนซื่อ เช่นลู่เจียวดีกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เช่นลู่เจียวดีกับลู่กุ้ย
บรรดาคนที่ได้รับการยอมรับจากลู่เจียวล้วนดีกับลู่เจียวมาก เพราะคนเขาดีกับนาง ดังนั้นนางจึงยิ่งดีตอบ
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นพลันสว่างวาบขึ้นมา ในใจก็เต้นแรงอย่างมาก
เขาเหมือนคลำเจอประตูเปิดใจลู่เจียวแล้ว นางชอบไม้อ่อนไม่ชอบไม้แข็ง เจ้ายิ่งแข็งใส่นาง นางก็ยิ่งไม่สนใจเจ้า เกิดทำนางโมโหเขาอาจจะหันมาจัดการเจ้าด้วย กลับกันหากเจ้าดีกับนาง นางก็จะปฏิเสธไม่ลง ดังนั้นที่นางไม่ยอมรับเขา ความจริงก็มีสาเหตุ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นลองคิดกลับกัน ครุ่นคิดถึงการกระทำและคำพูดตนกับลู่เจียว มิน่านางไม่ยอมรับเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นค่อยๆ หัวเราะขึ้นมาเบาๆ กุมมือแน่น เขาตัดสินใจลองดูว่าการคาดเดานี้ของเขาถูกหรือไม่
ลู่เจียวไม่รู้ว่าความคิดเซี่ยอวิ๋นจิ่น ยามนี้นางกำลังตรวจอาการคนป่วยอยู่ในห้องตรวจ
ผู้ป่วยสูญเสียเลือดมากไป อุณหภูมิร่างกายลด ชีพจรอ่อน ลมหายใจนาทีหนึ่งไม่ถึงสิบหก ความดันเลือดต่ำจนไม่พอ
สภาพผู้ป่วยตอนนี้วิกฤตมาก ลู่เจียวมองไปยังม่อเป่ยกับจ้าวหลิงเฟิงในห้องในทันที กล่าวเสียงเข้มว่า
“พวกเจ้ารีบออกไป ฉีเหล่ยอยู่ต่อก็พอ”
ม่อเป่ยร้อนใจถามว่า “เขาจะไม่เป็นไรใช่ไหม”
ลู่เจียวค้อนใส่เขาทีหนึ่ง “ผู้ป่วยวิกฤตมาก ข้าได้แต่พยายามให้ดีที่สุด ออกไป”
จ้าวหลิงเฟิงลากม่อเป่ยออกไป ในห้อง ลู่เจียวเห็นไม่มีคนแล้วก็รีบสั่งฉีเหล่ย “ไปเทน้ำมาแก้วหนึ่ง”
ความจริงนางเพียงแต่คิดให้ฉีเหล่ยหลบไปสักครู่หนึ่ง
ฉีเหล่ยรับคำไปเทน้ำ ลู่เจียวหยดน้ำพุจิตวิญญาณในมือใส่ปากผู้ป่วยก่อน พอหยดลงไปหลายหยด การหายใจของผู้ป่วยก็ยาวขึ้น สีหน้าที่อิดโรยก็กลับคืนมาเล็กน้อย
ลู่เจียวก็โล่งอก ฉีเหล่ยเทน้ำมา ลู่เจียวมองผู้ป่วยบนเตียงแล้วก็กล่าวว่า “เอาละ ดูท่าทางแล้ว เกรงว่าเขาจะดื่มน้ำไม่ได้ ให้เขาอมโสมแผ่นเอาไว้ละกัน”
กล่าวจบนางหยิบโสมสองแผ่นส่งให้ฉีเหล่ย
ฉีเหล่ยรีบรับมา ยัดแผ่นโสมใส่ปากผู้ป่วย
ลู่เจียวเอ่ยน้ำเสียงเข้มว่า “รีบทำการผ่าตัดเถอะ”
ฉีเหล่ยมองดูแล้วก็เห็นที่แขนเหลือแค่แผ่นหนังที่คิดกันอยู่ อดเป็นห่วงไม่ได้ เอ่ยว่า “แขนเขาต่อแล้วจะใช้การได้ไหม”
หากใช้การไม่ได้ เกรงว่าขุนพลหวังคงอยู่ไม่สู้ตาย เป็นขุนพลทหาร มือพิการ ชีวิตนี้เกรงว่าไม่สู้ตายไปเสียดีกว่า นับประสาอันใดกับขุนพลหวังตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเลื่อนตำแหน่ง
ลู่เจียวจ้องใส่ฉีเหล่ย ตอนนี้ยังมีอารมณ์มาคิดเรื่องนี้อีก
“รักษาชีวิตไว้ก่อนเถอะ”
การผ่าตัดต่อแขน แม้ว่าการผ่าตัดประสบความสำเร็จ แต่แขนส่วนใหญ่ก็ยากจะกลับคืนสู่สภาพดังเดิม แต่ผู้ใดให้คนผู้นี้ได้มาพบกับลู่เจียวเล่า ในตัวลู่เจียวมีน้ำพุจิตวิญญาณ น้ำพุจิตวิญญาณทำให้เส้นประสาทในร่างกายฟื้นคืนได้ ก็เหมือนที่นางผ่าตัดขาของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ขาเขาไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะลู่เจียวได้ใช้น้ำพุจิตวิญญาณ
หากเป็นคนอื่นมาทำ แขนนี้ก็คงไม่อาจฟื้นคืนสภาพเดิมได้
แต่ตอนนี้ลู่เจียวไม่อยากให้การรับรอง ในฐานะหมอ ยามไม่แน่ใจ ก็ไม่อาจให้การรับรองใดๆ กับผู้ป่วย
ในห้อง การผ่าตัดเปิดฉากขึ้นทันที
ม่อเป่ยข้างนอกกระซิบกับจ้าวหลิงเฟิงว่า “หญิงผู้นี้ถึงกับไม่ได้อ้าปากก็เรียกเงินทองดังสิงโต หาได้ยากจริง”
จ้าวหลิงเฟิงไม่เห็นด้วย มองม่อเป่ย “ลู่เหนียงจื่อเป็นคนดีมาก เจ้าอย่าได้เอาแต่มองนางไม่ดี”
ม่อเป่ยแค่นเสียง ‘ฮึ’ เยียบเย็นกล่าวว่า “เป็นข้ามองนางไม่ดีหรือไง เจ้าว่ามา ดึงธนูให้นายท่านที ถึงกับเอาเป็นพันๆ ตำลึงเงิน ยังไม่เรียกละโมบหรือ ผู้หญิงเกิดมาก็ละโมบเงินทองและเกียรติยศชื่อเสียงจอมปลอม”
จ้าวหลิงเฟิงปวดหัว กล่าวว่า “นางไม่ใช่คนเช่นนั้น นางเป็นคนดี เจ้าไม่เข้าใจนาง รอไว้เข้าใจก็จะรู้เอง”