สวบ!
พริบตาหลินสวินรู้สึกเพียงเงาร่างไหวโคลง ความรู้สึกแปลกพิเศษวูบหนึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ยังคงเป็นเส้นทางภูเขาสายนั้น แต่บนเส้นทางภูเขากลับปรากฏบันไดหินเก่าแก่ด่างพร้อยเป็นชั้นๆ เพิ่มขึ้นมา ทอดขึ้นไปด้านบนชั้นแล้วชั้นเล่า
ยืนอยู่บนนั้นไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง กลิ่นอายมหามรรคที่บริสุทธิ์เข้มข้นลอยเข้ามาปะทะหน้า กลายเป็นพลังบีบคั้นลึกลับอย่างหนึ่ง
พริบตาร่างของหลินสวินรัดเกร็ง ราวกับอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำหลากมหามรรคที่พลุ่งพล่าน พลังลึกลับระดับนั้นเล่นงานจิตวิญญาณ สภาวะจิต และปราณตรงๆ ไม่สามารถหลบหลีกได้เลยสักนิด
สวบ!
หลินสวินโคจรพลังปราณทั่วกาย คราวนี้จึงพอสลายพลังลึกลับนั้นได้
น่าสนใจ…
หลินสวินเผยแววแปลกไป
การขัดเกลบบนเส้นทางสักการะ หาใช่พลังง่ายๆ จะต่อต้านได้ ทั้งจิตวิญญาณ สภาวะจิต และปราณของตัวผู้ฝึกปราณเองล้วนต้องแข็งแกร่งมากพอถึงจะได้
กล่าวง่ายๆ คือ ในจิตวิญญาณ สภาวะจิต และปราณสามสิ่งนี้ เมื่อครั้นอย่างใดอย่างหนึ่งอ่อนแอเกินไป หรือปรากฏแววขาดแคลน ก็จะทบรับการขัดเกลาระดับนี้ไม่ไหวอย่างแน่นอน
ราวกับเพื่อจะพิสูจน์การคาดคะเนของตน หลินสวินก้าวขึ้นบันไดขึ้นไป
ดังคาด พร้อมกับการเดินขึ้นไปเรื่อยๆ พลังขัดเกลาบนบันไดหินก็พลอยแกร่งขึ้นตามด้วย
เริ่มแรกสุดเหมือนกระแสน้ำหลากพลุ่งพล่าน ค่อยๆ กลายเป็นทะเลลมพายุ เต็มไปด้วยพลังบีบคั้นอันน่าสะพรึง
จิตวิญญาณหากแบกรับไม่ไหว สติปัญญาก็เลือนราง
สภาวะจิตหากแบกรับไม่ไหว ก็จะเกิดภาพลวงตามากมาย เรียกอันตรายต่างๆ เข้ามา
ปราณหากแบกรับไม่ไหว พลังปราณก็จะปั่นป่วน ราวถูกมหามรรคทับร่าง…
หลินสวินย่างเท้าก้าวเดินไปพลาง สัมผัสรับรู้ไปพลาง
เขาเอามือไพล่หลัง ผมดำปลิวไสว ก้าวเดินบนขั้นบันไดหิน ดุจดั่งเดินทอดน่องในลาน
นี่คือเส้นทางสักการะ!
ตั้งแต่บรรพกาลเป็นต้นมา ไม่รู้มีบุคคลชั้นเลิศที่ครองอำนาจฝ่ายหนึ่ง ชื่อเสียงกึกก้องฟ้าดาราตั้งเท่าไหร่เคยก้าวเดินบนนี้ทิ้งคำกล่าวในตำนานที่ไม่รู้ทำให้คนตั้งเท่าไหร่รู้สึกเหิมฮึกคึกคะนอง
ทว่าคนที่สามารถผ่านการขัดเกลา ไปถึงหน้าแท่นสักการะบนยอดเขาได้ สุดท้ายก็เป็นพวกจำนวนน้อยนิดเท่าหยิบมือเท่านั้น
ผู้แข็งแกร่งส่วนใหญ่คนอื่นๆ ล้วนชะงักเท้าเงียบเชียบ ไร้วาสนาต่อศุภโชคสักการะ
และเพราะเหตุนี้ กาลเวลานับไม่ถ้วนสืบมา ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามที่เหยียบย่างเส้นทางสักการะ ล้วนไม่มีใครไม่รอบคอบ บุกฝ่าเต็มกำลัง
ทว่าสำหรับคนอื่นเป็นเส้นทางขัดเกลาที่เหมือนสัตว์ร้ายหายนะ เบื้องหน้าหลินสวินกลับเหมือนลมโชยโกรกผ่าน ระลอกคลื่นไม่อายกล้ำกราย
ย้อนไปยังต้นตอ ปราณ จิตวิญญาณ และสภาวะจิตของหลินสวินล้วนขัดเกลาจนมั่นคงทนทานหาใดเปรียบตั้งแต่แรกแล้ว ห่างไกลจากคนทั่วไปจะเทียบชั้นได้
ฉะนั้นการขัดเกลาบนเส้นทางสักการะ สำหรับเขาแล้ว ตรงข้ามกลับไม่ถึงขั้นมีอุปสรรคและความยากลำบากใดๆ
เขาย่างเท้าก้าวเนิบนาบ ก้าวขึ้นบันได จนกระทั่งมีเวลาว่างแวะชมทิวทัศน์ระหว่างเส้นทางนี้ ผ่อนคลายและสุขสบาย
ไม่ทันไร เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาหลินสวิน
นั่นเป็นทายาทเผ่านักรบเถาอู้คนหนึ่ง สวมชุดหรูหรา ยามก้าวย่างขึ้นบันได สีหน้าซีดขาว หน้าผากผุดพรายเหงื่อเย็น แววตาล่องลอย เห็นชัดว่าหมดแรงหาที่เปรียบไม่ได้
เหนื่อยไหม
หลินสวินสาวเท้าหนึ่งก้าว เดินขึ้นบันไดหิน มาหยุดข้างกายคนผู้นี้
ชายชุดคลุมหรูหราตอบโดยจิตใต้สำนึก เหนื่อย แม่งโคตรเหนื่อยจริงๆ
เพิ่งพูดจบ เขาก็รู้สึกเอะใจ ร่างกายพลันแข็งทื่อทันใด กล่าวตกใจว่า เป็นเจ้า หลินสวิน!?
หลินสวินระบายยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า ข้าไม่เหนื่อย
ชายชุดคลุมหรูหราตะลึงค้าง เบิกตากว้าง ราวกับประสบความอับอายใหญ่หลวง ส่งเสียงคำรามเดือดออกมา หนึ่งฝ่ามือตบไปทางหลินสวิน
หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง ปราณกระบี่วูบหนึ่งพุ่งโฉบ เสีบทะลุหัวคิ้วชายชุดคลุมหรูหราเสียงดังพรวด ร่างของเขาซวนเซหงายล้มลงกับพื้น
ไม่รู้จักเป็นตาย
หลินสวินส่ายหน้าเบาๆ เดินไปข้างหน้าต่อ
ใคร
เบื้องหน้า หญิงชุดสีชาดคนหนึ่งส่งเสียงตวาดเย็น หันหลังอย่างระวังตัว ตอนที่มองเห็นหลินสวินสาวเท้ามาเยือน ก็อดนัยน์ตาหดรัดไม่ได้
เจ้ากับข้ามีแค้นต่อกันหรือ
หลินสวินเดินขึ้นไปข้างหน้าพลางเอ่ยถาม
หญิงชุดสีชาดส่ายหน้าเป็นพัลวัน
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง และไม่สนใจอีกฝ่ายอีกต่อไป เดินผาดตัวอีกฝ่ายไป มุ่งหน้าเดินบนเส้นทางสักการะต่อ
จนกระทั่งเงาร่างหลินสวินหายไป หญิงชุดสีชาดจึงเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้าซับซ้อน
บนเส้นทางสักการะ น่าสะพรึงปานใด แต่เจ้าคนแซ่หลินนั่นกลับเหมือนเดินทอดน่องสบายใจเฉิบ เมื่อเทียบกันแล้ว ช่างโจมตีผู้คนเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ตูม!
ไม่ทันไร การต่อสู้ฉากหนึ่งก็ปะทุขึ้น
บนเส้นทางที่หลินสวินเดินไปข้างหน้า บังเอิญพบผู้สืบทอดเรือนมรรคยุทธจักรหลายคน คิดอยากมุ่งหน้าเดินต่อไป ต้องข้ามผ่านคู่ต่อสู้พวกนี้ไปให้ได้
และเมื่อมองเห็นศัตรูตัวฉกาจอย่างหลินสวินปรากฎตัว ผู้สืบทอดเรือนมรรคยุทธจักรเหล่านั้นไหนเลยจะเกรงใจ บุกโจมตีสุดกำลังโดยไม่ลังเล
ผลลัพธ์ไม่มีข้อยกเว้น ตอนที่หลินสวินออกไป บนบันไดหินแถบนั้น มีศพนอนระเนระนาดเพิ่มขึ้นมา เลือดสดไหลนอง
บนเส้นทางถัดมา หลินสวินประสบกับผู้ฝึกปราณมากมายที่กำลังเดินอย่างยากลำบากบนเส้นทางสักการะ
คนไม่น้อยในนั้นล้วนเป็นศัตรูแค้น ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่เชิงเขา ล้วนเคยเข้าร่วมวงล้อมโจมตีเล่นงานหลินสวินทั้งสิ้น
สำหรับคนเหล่านี้ หลินสวินไม่ได้เกรงใจเลยสักนิด บุกเข่นฆ่าขึ้นไป เรียกความตายและการนองเลือดตลอดทาง
ขณะเดียวกัน บนเส้นทางนี้ก็มีคนแปลกหน้าไม่น้อย เป็นพวกไร้แค้นไร้พยาบาท ยามเมื่อมองเห็นหลินสวินปรากฎตัว ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แต่ละคนล้วนเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
อย่างไรเสียหลินสวินในคำเล่าลือ เป็นถึงพวกเทพมารที่เข่นฆ่าไร้กลัวเกรง เหิมเกริมไม่กลัวใคร ใครบ้างจะไม่หวาดกลัว
แต่เหนือความคาดหมายของพวกเขา ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่ได้สนใจพวกเขาเลย เว้นแต่พบกับคนที่ขวางทางไม่ยอมถอย จึงจะลงมือต่อสู้
ดูเหมือนว่า เทพมารหลินนี่ก็หาใช่พวกบ้าต่อสู้กระหายเลือด
บางทีในสายตาเขา ไม่เห็นพวกเราเป็นสาระสำคัญอะไรเลยกระมัง…
เฮ้อ เหล่าวีรชนบนทางเดินโบราณฟ้าดารามากมายเท่าใด พวกที่มุ่งหน้ามาแหล่งสถานคุนหลุนยิ่งไม่ขาดแคลนคนในจำนวนนั้น แต่จนบัดนี้ยังไม่มีใครสักคนสามารถปราบอำนาจและบารมีของเจ้าหมอนี่ได้เลย ช่างชวนให้คนชอกช้ำใจนัก
ไม่ อย่าลืมสิพวกจวนอวี๋เหิง ซวีหลิงคุนล้วนยังไม่เคยลงมือกันเลย!
…
ตลอดทาง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำนองเดียวกันก็ดังลอยเข้าหูไม่หยุด
มีคนริษยา มีคนตั้งตนเป็นศัตรู มีคนร่ำไห้ฟูมฟายต่อหลินสวิน
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เคยกระทบต่อหลินสวิน
ถึงแม้ เขาจะเป็นผู้แข็งแกร่งกลุ่มสุดท้ายที่เหยียบย่างบนเส้นทางสักการะ แต่ตลอดเส้นทางนี้กลับไม่เคยถูกขัดขวางอะไร ความไวแม้จะไม่ถึงขั้นเร็วเกินไปนัก แต่กลับเหนือกว่าผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าอยู่เรื่อยๆ
หลินสวินก็ค่อยๆ เริ่มรับรู้ถึงแรงกดดันแล้วเช่นกัน
เส้นทางสักการะสายนี้ดุจดั่งเชื่อมสู่เวิ้งฟ้า เห็นชัดว่าทอดยาวอย่างยิ่ง ตลอดทางไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง พลังมหามรรคลึกลับคลุ้งตลบ เห็นชัดว่าหมองหม่นยิ่ง
รอบกายหลินสวินร้องระงม พลังปราณโคจร ปรากฏลักษณ์อัศจรรย์มหามรรคมากมาย กำลังกดต้านและสลายแรงบีบคั้นของพลังขัดเกลาที่เริ่มน่าสะพรึงขึ้นเรื่อยๆ นั่น
แต่ว่า ฝีก้าวของเขายังคงมั่นคง สบายๆ
ตลอดทางโจมตีสังหารศัตรูยี่สิบเก้าคน ล้วนมาจากสามเรือนมรรคใหญ่อย่างยุทธจักร ดึกดำบรรพ์ และจักรวาล รวมถึงขุมอำนาจเผ่านักรบอย่างเถาอู้ กิเลนโลหิต ผีสวรรค์ ฉงฉี และตะวันแดง…
หลินสวินไล่คำนวณเงียบๆ ในใจ
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาค่อนข้างแปลกใจคือ จนกระทั่งตอนนี้ เขายังไม่เคยเห็นอาหูเลย เห็นชัดว่าอีกฝ่ายก็มุ่งหน้ามาบนเส้นทางสักการะด้วยอานุภาพดุจผ่าลำไผ่อยู่เช่นกัน
หืม?
ทันใดนั้น หลินสวินตระหนักได้ว่า บนขั้นบันไดเบื้องหน้า ภิกษุที่หน้าตาราวเด็กหนุ่ม ท่าทางไร้เดียงสาคนหนึ่งทิ้งตัวนั่งลงบนบันไดหิน หอบหายใจถี่รัว
ภิกษุเด็กหนุ่มคนนี้ดูคล้ายซื่อๆ แต่แววตาปราดเปรื่อง เจือประกายแสงเฉลียวฉลาดมากเชาวน์ปัญญา ยามเมื่อมองเห็นหลินสวิน เขาอึ้งไปก่อนเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นก็ดีดตัวดังผึง ถอยหลบไปด้านข้าง ท่าทางเหมือนหนีงูแมงป่อง
หลินสวินไม่ได้รีบร้อนเดินไปข้างหน้า ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น กล่าวอย่างสนอกสนใจ เจ้ากับข้าไร้แค้นไร้พยาบาท เหตุใดต้องกลัวข้าขนาดนี้ด้วย
เขาจำได้รางๆ ว่าอีกฝ่ายมีฉายาธรรมว่าหลิงเคอจื่อ มาจากอารามเก่าแก่ยอดทักษิณ
ภิกษุเด็กหนุ่มอักอ่วน ไม่ค่อยกล้าสบสายตากับหลินสวิน กล่าวเสียงต่ำ สหายยุทธ์พลังวิชาสูงแกร่ง พลังต่อสู้โดดเด่นผู้แข็งแกร่งบนเส้นทางสักการะนี้เกรงว่าไม่มีใครไม่กริ่งเกรงสหายยุทธ์
หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ถูก
ภิกษุเด็กหนุ่มทั่วร่างสั่นเทิ้ม คล้ายถูกทำให้ตกใจ พูดติดๆ ขัดๆ โยม อาตมาไม่ได้พูดปดเด็ดขาด
หลินสวินอดหัวเราะไม่ได้ ชี้ไปที่ภิกษุเด็กหนุ่ม กล่าวว่า ตลอดเส้นทางนี้ ข้าก็พบเจอคนที่หวาดกลัวข้ามาไม่น้อย แต่เจ้าต่างออกไป เจ้าดูเหมือนหวาดกลัวข้าเป็นพิเศษ นี่เป็นเพราะเหตุใด
ภิกษุเด็กหนุ่มเหงื่อกาฬท่วมหัว ตัวสั่นงันงก พูดไม่ออก ในมือเลื่อนลูกประคำไม่หยุด ท่าทางตื่นกลัวอย่างที่สุด
หลินสวินเห็นเช่นนี้ ก็อดจนคำพูดไประลอกหนึ่งไม่ได้ หรือว่าตนเป็นมารฆ่าคนที่ชั่วช้าบาปหนาอย่างนั้นหรือ
เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นผู้บำเพ็ญธรรมที่ขี้ขลาดเช่นเจ้า
เขาส่ายหน้าเบาๆ ปียขึ้นไปด้านบนต่อ
ข้าไม่ได้ขี้ขลาดเสียหน่อย แต่มรรคาของ…ของเจ้าต่างหากที่น่าตกใจเกินไปแล้ว…
จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายไป ภิกษุที่ฉายาธรรมว่าหลิงเคอจื่อ ราวกับเด็กหนุ่มจึงถอนหายใจโล่งอก ตกใจจนวิญญาณเตลิดเพิ่งสงบลงมา
พรสวรรค์เขาอแลกพิสดาร เกิดมาพร้อมกับ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ สามารถสอดส่องสิ่งเร้นลับมหัศจรรย์ที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปจำนวนหนึ่งไม่สามารถสัมผัสได้ และสามารถมองเห็น ‘ลักษณ์’ ที่เร้นลับสุดหยั่งส่วนหนึ่งได้
ตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นหลินสวินที่แม่น้ำเซียนเหิน เขาก็มองเห็นลักษณ์น่าสะพรึงแห่ง ‘ฟ้าถล่มดินทลาย หมื่นชีวิตล่มสลาย’ แล้ว
จนกระทั่งเมื่อครู่เห็นหลินสวินเดินมาตัวคนเดียว ในสายตาหลิงเคอจื่อ ลักษณ์ประหลาดน่าสะพรึงบนตัวหลินสวินก็เปลี่ยนไปอีกแล้ว
ดุจดั่งมองเห็นเทพสังหารที่เดินลำพังกลางวัฏจักรว่างเปล่าคนหนึ่ง ด้านหลังของเขา โลกพังทลาย ดวงดาวร่วงโรย หมื่นชีวิตรกร้าง
มีเพียงเขา เดินโอนเอน กลายเป็นอมตะหนึ่งเดียวกลางสภาพทำลายล้าง!
ภาพน่าสะพรึงระดับนั้น ทำให้ ‘จิตพุทธะไร้มลทิน’ ของหลิงเคอจื่อยังพรั่นพรึง ล้นทะลักไอหนาวเหน็บไร้สิ้นสุดออกมา
ตั้งแต่ฝึกปราณจนบัดนี้ เขาก็เคยเห็นปีศาจแห่งยุคที่ชื่อเสียงสะท้านฟ้าดารามาไม่น้อย บนตัวปีศาจแห่งยุคเหล่านี้ ล้วนมีลักษณ์ที่ต่างกันออกไป
แต่ไม่เคยพบเจอผู้ฝึกปราณที่ ‘ลักษณ์’ น่ากลัวเท่าหลินสวินมาก่อน!
ฉะนั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่เผชิญหน้ากับการเอ่ยถามของหลินสวิน หลิงเคอจื่อก็อดระส่ำระสายไม่ได้
รอออกจากแหล่งสถานคุนหลุนครั้งนี้ หลังกลับไปถึงสำนัก ข้าจะต้องถามอาจารย์อาให้รู้เรื่อง เหตุใดบนโลกใบนี้ถึงกับยังมีพวกที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้อยู่อีก…
หลิงเคอจื่อสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ข่มระงับความหวาดสะพรึงภายในใจ ลังเลเนิ่นนาน คราวนี้จึงเริ่มสาวเท้าก้าวเดิน มุ่งหน้าไปบนเส้นทางภูเขา
เวลาหนึ่งก้านธูปต่อมา
หัวคิ้วหลินสวินค่อยๆ นิ่วขมวด สีหน้าฉายแววเคร่งขรึม
แรงกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!
เมื่อมองเส้นทางสักการะระยะไกลดูอีกที ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง ย้อนกลับไปไม่ได้เลยสักนิด
และในเวลานี้ เสียงการต่อสู้ดุเดือดระลอกหนึ่งก็ดังลอยมาแต่ไกล
ในใจหลินสวินเย็นวาบ สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง โคจรพลังทั้งหมดรอบกาย เร่งฝีเท้าขึ้น เดินมุ่งไปเบื้องหน้า
กลางไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง ภาพบนบันไดหินก็เริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
อาหู!
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ในที่สุดก็มองเห็น บนบันไดหินขั้นหนึ่งไม่ไกลนัก อาหูกำลังถูกชายหนุ่มคนหนึ่งกำราบ!
——