จ้าวหลิงเฟิงเพิ่งกล่าวจบ ม่อเป่ยก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าคงไม่ได้ต้องตาต้องใจหญิงผู้นี้กระมัง นางไม่ใช่มีสามีแล้วหรือ เช่นนี้ไม่ค่อยดีนัก”
จ้าวหลิงเฟิงทนไม่ไหวอีกต่อไป ถลึงตาใส่ม่อเป่ย ทำไมแต่ละคนจึงเอาแต่คิดว่าเขาต้องตาต้องใจลู่เหนียงจื่อเข้าแล้ว
เขาเดิมไม่ได้คิด ปรากฏถูกพวกเขาแต่ละคนพูดจนภายหลังเขาก็อดเอาแต่มองลู่เหนียงจื่อไม่ได้ พูดตามตรง หากนางไม่มีสามี เขาคิดแต่งนางเป็นภรรยาเอกจริงๆ แต่คนเขามีสามีแล้ว
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน นางเป็นคนดีจริง เจ้าเห็นแค่นางเอาเงิน ทำไมไม่เห็นตอนนางไม่รับเงิน เจ้ารู้ไหมนางรักษาให้คนจนด้วย แดงเดียวก็ไม่รับ?”
ครั้งนี้ทำม่อเป่ยตกใจ “นางถึงกับมีความดีเช่นนี้ด้วย”
ม่อเป่ยเพิ่งกล่าวจบ จ้าวหลิงเฟิงไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงเย็นเยียบด้านหลังดังขึ้น
“พวกเจ้ากำลังพูดถึงใคร”
จ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยหันขวับไปพร้อมกัน เห็นสีหน้าเย็นเยียบของเซี่ยอวิ๋นจิ่นมองพวกเขาสองคนอยู่
ทั้งสองคนก็แอบกินปูนร้อนท้องขึ้นมาพร้อมกัน ไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเอ่ยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ผู้ชายสองคนทำตัวเหมือนสตรีปากมาก ภรรยาข้าอยู่ข้างในช่วยพวกเจ้ารักษาผู้ป่วย พวกเจ้าล่ะ มาอยู่ด้านนอกนินทาว่าร้าย ข้าสงสัยจริงว่านางจำเป็นต้องอยู่หอยาเป่าเหอต่อไปไหม”
พอเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าว จ้าวหลิงเฟิงก็อดเอ่ยอธิบายไม่ได้ “เซี่ยซิ่วไฉ พวกเราไม่ได้ว่าลู่เหนียงจื่อไม่ดี ก็แค่…”
จ้าวหลิงเฟิงไม่รู้ว่าควรจะรับลูกต่อจากที่ม่อเป่ยกล่าวอย่างไร ม่อเป่ยว่า “เจ้ารู้เรื่องที่นางดึงธนูให้นายท่านแล้วก็เก็บเงินห้าพันตำลึงไหม นี่ไม่เรียกว่าละโมบเงินทอง เจ้าว่าใต้หล้ามีหมอที่ไหนรักษาผู้ป่วยโดนธนูหัวแฉกยิงทีก็เอาห้าพันตำลึงเงินไหม”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นอดคิดถึงคนที่ตนได้พบก่อนหน้านี้ไม่ได้ ท่าทางเหมือนสูงศักดิ์ ยังเป็นความสูงศักดิ์ที่แผ่ออกมาจากภายใน ไม่ใช่ธรรมดา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้พบคนผู้นั้นก่อนหน้านี้แล้ว จึงรู้ว่าสูงศักดิ์
เดิมเพราะเรื่องเฉินอิง ทำให้เขาโกรธแค้นคนผู้นั้น
ตอนนี้แม้ว่ายังคงโกรธแค้นชายผู้นั้น แต่อารมณ์ก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนเก่าแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองม่อเป่ย กล่าวน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ห้าพันตำลึงเรียกว่ามากหรือ หากข้ารู้เรื่องนี้ อย่างน้อยต้องหมื่นตำลึง ไม่งั้นไม่ให้นางดึงธนูนั่นเด็ดขาด”
ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นจ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยพากันอึ้งแทน
เดิมคิดว่าลู่เหนียงจื่อเหี้ยมแล้ว ตอนนี้จึงได้รู้เซี่ยซิ่วไฉผู้นี้เหี้ยมยิ่งกว่าภรรยาเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นส่งสายตาตักเตือนไปยังจ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ย กล่าวว่า “วันหน้าข้าไม่อยากได้ยินพวกเจ้าสองคนแอบนินทาภรรยาข้าลับหลัง นางนิสัยเช่นไร เป็นคนเช่นไร ล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าสองคน นางเป็นภรรยาข้า ขอเพียงข้าเข้าใจนางเป็นคนเช่นไรก็พอแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวจบก็เดินไปช่วยผู้จัดการหลี่ดูแลผู้ป่วย
ม่อเป่ยด้านหลังอดงึมงำไม่ได้ “ที่แท้ครอบครัวนี้เห็นแก่เงินทั้งครอบครัว อ้าปากทีไม่ห้าพันก็หมื่นตำลึง น่ากลัวจริง”
จ้าวหลิงเฟิงถลึงตาใส่ม่อเป่ยอย่างดุดัน กล่าวเตือนว่า “วันหน้าอย่าได้ว่าลู่เหนียงจื่ออีก นางเป็นคนเช่นไร เกี่ยวอะไรกับเจ้า คนเขายอมช่วยเจ้าก็ไม่เลวแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะคนเขาสมีความสามารถจริง แน่จริงครั้งหน้าก็อย่าพามาให้รักษา”
ม่อเป่ยหุบปากทันที แม้ว่าเขาว่าหญิงผู้นั้นจะละโมบ แต่ส่วนลึกก็ยังเชื่อวิชาการแพทย์นาง นายเขาก็เชื่อ
ดังนั้นจึงได้ให้เขาม้าเร็วนำคนขุนพลหวังที่แขนขาดส่งมาที่นี่ในวินาทีแรก
ม่อเป่ยคิดแล้วก็รู้สึกว่าตนเองอย่าพูดดีกว่า หากนางได้ยิน วันหน้าเขาพาคนมาอีก แล้วไม่รักษาให้ จะทำเช่นไร
“ข้ารู้แล้ว”
การผ่าตัดต่อแขนขาดของลู่เจียวใช้เวลาสองชั่วยาม ครั้งนี้ฉีเหล่ยทำได้ไม่เลว แม้ว่าแอบอยากเป็นลมและคลื้นไส้นัก แต่อย่างไรก็ยืนหยัดได้จนจบ และยังให้ความร่วมมือได้ไม่เลวอย่างมาก
การผ่าตัดจบลง ลู่เจียวใช้ไม้ไผ่ตรึงแขนที่ต่อใหม่ให้แน่นกับที่ จากนั้นก็ฉีดยาปฏิชีวนะให้ผู้ป่วย
คิดถึงยาปฏิชีวนะ ลู่เจียวก็แอบเงียบงันลง ในห้วงอากาศนางเหลือยาปฏิชีวนะไม่มากแล้ว หากไม่อาจผลิตยาปฏิชีวนะได้ วันหน้าผ่าตัดก็คงยุ่งยาก ติดเชื้อหลังผ่าตัด ส่งผลเสียต่อผู้ป่วยอย่างมาก
ในห้อง ลู่เจียวเงียบงัน ฉีเหล่ยคิดว่าผ่าตัดล้มเหลว อดเอ่ยถามไม่ได้ “อาจารย์ ผ่าตัดล้มเหลวหรือ”
ลู่เจียวส่ายหน้า “เปล่า ผ่าตัดสำเร็จ ข้าแค่คิดถึงยาปฏิชีวนะใกล้หมดแล้ว วันหน้าจะผ่าตัดอีกก็จะยุ่งยาก”
ฉีเหล่ยรีบถามว่า “ก่อนหน้านี้แร่ที่ท่านว่ามันคืออะไร”
“แร่เจี่ยเหยียน”
“แร่เจี่ยเหยียนมีลักษณะเด่นเช่นไร พวกเราขอให้คนช่วยพวกเราหาได้”
ลู่เจียวคิดแล้วก็จำได้ว่า หนังสือที่เคยอ่านมาเมื่อก่อนบันทึกว่าแร่เจี่ยเหยียนมีอยู่ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือหรือไม่ก็ตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศเรา หากมีพื้นที่กว้างใหญ่ ไม่แน่อาจหาแร่เจี่ยเหยียนพบ
“แร่เจี่ยเหยียนความจริงก็คือบ่อเกลือ บ่อเกลือแห้ง ตะวันตกเฉียงเหนือหรือไม่ก็ตะวันตกเฉียงใต้น่าจะหาได้”
พอนางกล่าว ดวงตาฉีเหล่ยส่องประกายวาบ มองลู่เจียวกล่าวว่า “ข้าจะบอกหลิงเฟิง ให้เขาส่งคนไปหา หากหาแร่เจี่ยเหยียนเจอ พวกเราก็จะผลิตยาปฏิชีวนะที่ท่านว่าได้ เช่นนี้วันหน้าผู้ป่วยก็จะสะดวกขึ้นมาก ”
ลู่เจียวพยักหน้าไม่พูดอีก หันหลังเดินไปตรวจสภาพหลังผ่าตัดของผู้ป่วย
อุณหภูมิร่างกาย การเต้นของชีพจร การหายใจ ความดันเลือดของเขาตอนนี้กลับคืนสู่ปกติแล้ว
ลู่เจียวโล่งอกมองฉีเหล่ยกล่าวว่า “เอาละ การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ ไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตแล้ว”
กล่าวจบนางก็หันหลังเดินออกไป เดินไปก็ถอดหน้ากากและถุงมือไปด้วย
แม้ว่าฉีเหล่ยติดตามผ่าตัดกับลู่เจียวมาไม่กี่ครั้ง แต่ลู่เจียวสอนเขาเรื่องการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดแล้ว
จ้าวหลิงเฟิงกับม่อเป่ยเห็นลู่เจียวออกมา ก็รีบถามว่า “เป็นไงบ้าง การผ่าตัดประสบผลสำเร็จไหม แขนเขาจะมีปัญหาไหม”
ลู่เจียวมองทั้งสองคนแวบหนึ่ง กล่าวว่า “การผ่าตัดประสบผลสำเร็จดีมาก ส่วนแขนจะใช้การฟื้นคืนสภาพดังเดิมได้หรือไม่ ก็ต้องค่อยๆ ดูกันต่อไป หากบำรุงรักษาได้ดี ไม่แน่อาจฟื้นคืนได้ไม่เลว แต่ถ้าหากบำรุงรักษาไม่ดี ก็อาจฟื้นคืนสภาพเดิมไม่ได้เช่นกัน
คำพูดลู่เจียวนับว่าได้เป็นการตอบรับรองแล้ว ทั้งสองคนดีใจอย่างมาก แม้แต่ม่อเป่ยก็ลืมถือสาเรื่องลู่เจียวคิดเงินห้าพันตำลึงเงิน ยิ้มดีใจกล่าวว่า “งั้นก็ดีๆ”
แขนที่ขาดเช่นนั้นลู่เหนียงจื่อยังต่อได้อีก ประเด็นคือฟังคำพูดนางแล้ว แขนนี้หากดูแลรักษาดีๆ วันหน้าก็ไม่ต่างจากของเดิม
ม่อเป่ยตะลึงกับวิชาการแพทย์ของลู่เจียวอีกครั้ง พร้อมกับรับรู้ได้เรื่องหนึ่งว่าคนแปลกประหลาดส่วนใหญ่มักมีนิสัยแปลกประหลาด ลู่เหนียงจื่อวิชาการแพทย์ร้ายกาจ น่านับได้ว่าเป็นหมอเทวดา ย่อมมีต้นทุนให้หยิ่งยโสได้
ยามนี้ไม่ต้องให้ลู่เจียวเอ่ย ม่อเป่ยก็มองไปยังจ้าวหลิงเฟิงกล่าวว่า “อย่าลืมมอบห้าพันตำลึงเงินให้ลู่เหนียงจื่อ”
จ้าวหลิงเฟิงมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่ายังรังเกียจคนเขาอยู่หรือ บอกว่าละโมบเงินห้าพันตำลึงอะไรนั่นไม่ใช่หรือไร