าพวกม่อเป่ยมีกลิ่นอายไม่ธรรมดา ไม่ใช่พวกกระจอกไร้ฝีมือ
นายผู้เฒ่าตระกูลเหลียงรู้เรื่องหนึ่งได้ทันที หอยาเป่าเหอเปิดในอำเภอชิงเหอยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้ เกรงว่าเบื้องหลังก็คนมีคนใหญ่คนโตไม่น้อยหนุนหลัง
นายผู้เฒ่าตระกูลเหลียงใบ้กินในทันที ท่อนนั้นของหลานชายขาด ส่งไปรักษาที่อื่น เขาว่าไม่อาจรักษาได้
ตอนนี้อย่างไรหอยาเป่าเหอก็รับรองว่ารักษาชีวิตไว้ได้
ฮูหยินเฒ่าข้างนายผู้เฒ่าตระกูลเหลียงดึงเขามาตวาดใส่เสียงดังว่า “รีบให้คนช่วยชีวิตจื่อเหวินไว้สิ”
นายผู้เฒ่าตระกูลเหลียง จึงได้มองไปยังจ้าวหลิงเฟิงแสดงท่าทีอ่อนลง
ตระกูลพวกเขาแม้ว่าร้ายกาจในอำเภอชิงเหอ ยังใช้บุตรสาวสานสัมพันธ์กับขุนนาง แต่เจอกับคนร้ายกาจแท้จริงแล้ว ก็ยังห่างไกลนัก
“ท่านจ้าว โทษข้าเองที่ร้อนใจไป รบกวนหอยาเป่าเหอท่านช่วยชีวิตหลานชายข้าก่อน”
จ้าวหลิงเฟิงสีหน้าไม่เป็นมิตร กล่าวว่า “ข้าไม่อาจรับรองว่าด้านล่างของหลานชายท่านจะใช้การได้ไหม รับรองได้แค่ชีวิต”
ยามนี้นายผู้เฒ่าไม่อาจเสียงแข็งอีกแล้ว กลายเป็นพวกโอนอ่อนกลัวเจอของแข็ง
“ได้ ขอเพียงหอยาเป่าเหอรักษาชีวิตเขาไว้ ข้ารับรองว่าไม่เอาเรื่องหอยาเป่าเหอ”
จ้าวหลิงเฟิงแค่นเสียงฮึเยียบเย็น “หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงหอยาเป่าเหอ ข้าก็ขี้เกียจจะลงมือรักษา”
กล่าวจบก็หันหลังพาลู่เจียวกับฉีเหล่ยเดินเข้าห้องตรวจไป
สีหน้าลู่เจียวเต็มไปด้วยความเสียดาย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ตามฉีเหล่ยเข้าห้องตรวจไป
เหลียงจื่อเหวินถูกส่งเข้ามาในห้องแล้ว ยามนี้นอนอยู่บนเตียงในห้อง หน้าตาเขียวปูดไปหมด ท่อนล่างเขาถูกคนถอดกางเกงออกแล้ว พอฉีเหล่ยเข้าไปก็หันไปมองลู่เจียวทันที ปรากฏพบว่าสีหน้าอาจารย์ตนปกติมาก กำลังมองผู้ป่วยตรงหน้า
ฉีเหล่ยเดินเข้าไปบังสายตาลู่เจียวไว้ด้วยสัญชาตญาณ
ลู่เจียวก็ไม่ได้กล่าวอะไรมาก รีบสั่งการให้ฉีเหล่ยผ่าตัดให้เหลียงจื่อเหวิน
ฉีเหล่ยผ่าตัดครั้งแรก มือสั่นไม่หยุด พยายามตั้งสติเต็มที่ ทำตามคำสั่งลู่เจียวจบกระบวนการด้วยมือที่สั่นเทา ลู่เจียวฉีดยาปฏิชีวนะให้เหลียงจื่อเหวินเข็มหนึ่ง
ปริมาณการให้ยาปฏิชีวนะนั่นมีกำหนดไว้ ครั้งนี้ลู่เจียวให้ยาปฏิชีวนะกับเหลียงจื่อเหวินปริมาณมาก
ให้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปจะเป็นพิษต่อตับไต ลู่เจียวต้องการให้สุขภาพเหลียงจื่อเหวินเสีย
ตามหลักการแล้ว คนเป็นหมอ ไม่ควรใช้วิชาการแพทย์ตนทำร้ายคนอื่น แต่คนเช่นเหลียงจื่อเหวินไม่รู้ว่าทำร้ายคนมามากมายเท่าไร นางถือว่าได้ลงทัณฑ์แทนสวรรค์ นับประสาอันใดกับนางไม่ได้เอาชีวิตเขา แน่นอนว่านางก็ไม่อาจเอาชีวิตเขาได้จริงๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้จากนี้ไปเขามีสุขภาพอ่อนแอป่วยออดแอด เดินทีหอบสามที ค่อยๆ ทรมานไปละกัน
ลู่เจียวฉีดยาปฏิชีวนะให้แล้วก็มองไปยังฉีเหล่ยกล่าวว่า “เอาละ ไม่เป็นไรแล้ว”
ฉีเหล่ยเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการฉีดยาปฏิชีวนะ ดังนั้นย่อมไม่คิดมาก และวันนี้เขาทำการผ่าตัด ครั้งแรก ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาก็เลยเชื่องช้าไปมาก ไม่ทันสังเกตเรื่องที่ลู่เจียวทำแม้แต่น้อย
ลู่เจียวฉีดยาปฏิชีวนะเสร็จ ก็ส่งยาปฏิชีวนะให้ฉีเหล่ย กล่าวว่า “พรุ่งนี้เช้าค่อยให้เขากิน”
“ขอรับ อาจารย์”
ลู่เจียวกล่าวจบก็เดินออกไป ฉีเหล่ยจัดการเรื่องต่อจากนั้นด้วยอาการมือไม้อ่อนไปหมด
ประตูเปิดออก คนตระกูลเหลียงด้านนอกรีบกรูกันเข้ามา “เป็นเช่นไรบ้าง เป็นเช่นไรบ้าง”
ลู่เจียวสีหน้านิ่งไร้ความรู้สึก กล่าวว่า “เย็บให้แล้ว วันหน้าเป็นเช่นไร รอเขาหายแล้วค่อยว่ากัน”
จ้าวหลิงเฟิงเข้ามากันลู่เจียวออก ส่งนางออกจากหอยาไป
ทั้งสองคนเดินไปคุยกันไป “เป็นไงบ้าง เขาไม่เป็นไรกระมัง”
ลู่เจียวสีหน้านิ่งเฉย กล่าวว่า “ต่อก็ต่อแล้ว ส่วนจะใช้การได้ไหม ข้าก็ไม่รู้แล้ว”
จ้าวหลิงเฟิงมองลู่เจียว แอบสะอึกในใจ สัญชาตญาณเขารู้สึกว่าหากลู่เจียวคิดช่วยเหลียงจื่อเหวินผู้นี้ นางย่อมช่วยได้ ตอนนี้ลู่เจียวท่าทีเช่นนี้ เกรงว่าไม่คิดช่วยเขา หากไม่อยากช่วยเขา เขาก็ไม่อาจหายได้
ดังนั้นเหลียงจื่อเหวินผู้นี้ล่วงเกินลู่เจียวแล้ว
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็สะดุ้ง วันหน้าตนเองอย่าได้ล่วงเกินหญิงผู้นี้เด็ดขาด ไม่แน่วันใดตนเองเกิดต้องการความช่วยเหลือจากนางขึ้นมาก็ได้
จ้าวหลิงเฟิงครุ่นคิดแล้วก็ควักตั๋วแลกเงินออกมาอย่างไม่อิดออด ส่งให้กับมือลู่เจียวด้วยตนเองทันที
“นี่คือเงินห้าพันตำลึงเป็นค่าต่อแขนให้ผู้ป่วย”
ลู่เจียวยิ้มมองจ้าวหลิงเฟิง “ท่านจ้าว เกรงใจไปแล้ว ข้ารู้สึกเกรงใจจริง”
จ้าวหลิงเฟิงมองนางเก็บตั๋วแลกเงินเงียบๆ แอบคิด เจ้าเกรงใจ ก็อย่ารับสิ เจ้ารับแล้วยังบอกเกรงใจ
ผู้หญิงล้วนเสแสร้งเช่นนี้
แต่เขาไม่ได้แสดงออกแม้แต่น้อย ส่งลู่เจียวออกจากหอยาไป
หน้าประตูไม่ไกลนัก เซี่ยอวิ๋นจิ่นบนรถม้าเห็นจ้าวหลิงเฟิงสีหน้ายิ้มแย้มส่งลู่เจียวออกมา และลู่เจียวเองก็มีสีหน้าเบิกบาน
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นรอยยิ้มนี้แล้ว ก็รู้สึกเสียดแทงนัยน์ตามาก อารมณ์ก็เลยไม่ดีนัก แต่พอลู่เจียวขึ้นรถม้ามา สีหน้าเขาก็เป็นปกติ ถามลู่เจียวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “การผ่าตัดประสบผลสำเร็จดีไหม”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย สั่งให้หลินต้าออกรถกลับบ้าน
ในรถม้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองลู่เจียว กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าเหมือนดีใจมาก แอบทำอะไรเหลียงจื่อเหวินหรือเปล่า”
ลู่เจียวพยักหน้า ยิ้มเบิกบานใจมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “นอกจากนี้ยังได้ตั๋วเงินห้าพันตำลึงเงิน ก่อนหน้านี้ข้าไม่ใช่ว่าต่อแขนให้คนเขาหรือ จ้าวหลิงเฟิงมอบให้ข้า”
พอนางกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็อารมณ์ดี ลู่เจียวดีใจเพราะได้ตั๋วเงินห้าพันตำลึงเงิน ไม่ใช่เพราะจ้าวหลิงเฟิง
คิดถึงว่าจ้าวหลิงเฟิงเอาแต่มอบเงินให้ลู่เจียว ดังนั้นลู่เจียวจึงมีสีหน้ายิ้มแย้มกับเขาก็สมเหตุสมผลอยู่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี มองลู่เจียวกล่าวอย่างใส่ใจว่า “เมื่อวานเจ้าเหนื่อยมาทั้งวัน ดึกดื่นยังต้องตื่นมาอีก พรุ่งนี้เช้าตื่นสายหน่อย นอนต่ออีกสักครู่”
เขากล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้ลู่เจียวอารมณ์ยิ่งดี นางยิ้มตาหยีพยักหน้า “อืม พรุ่งนี้ไม่ต้องตรวจ นอนมากหน่อยได้”
ทั้งสองคนคุยกันไปเรื่อยๆ นั่งรถม้ากลับบ้านตระกูลเซี่ย
ลู่เจียวเดิมตัดสินใจแล้วว่าเช้านี้จะตื่นสาย นอนได้สักครู่ก็ได้ยินหน้าประตูบ้านมีเสียงเอะอะดังแต่เช้า เสียงเอะอะโหวกเหวกดังแว่วมา และหน้าประตูเรือนด้านหลัง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็พากันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันแล้ว
“ด้านหน้ามีเรื่องทะเลาะกัน?”
“พวกเราไปดูกันเถอะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวจบก็คิดวิ่งไปด้านหน้า ยายเฒ่าชิวกับเฝิงจือรีบรั้งเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไว้ “อย่าไปด้านหน้า หากด้านหน้ามีเรื่องกันจริง คุณชายกับพ่อบ้านลู่ย่อมจัดการได้”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เม้มปากจ้องมองยายเฒ่าชิวกับเฝิงจือ ยังคงอยากจะไปอยู่
ในตอนนั้นเอง ลู่เจียวในห้องก็ตื่น ได้ยินเสียงด้านนอกก็เรียกขึ้น “เฝิงจือ”
พอทั้งสี่คนในห้องได้ยิน ท่านแม่ตื่นแล้ว พวกเขาหันหลังวิ่งไปเรือนนอนตะวันออก
“ท่านแม่ตื่นแล้วหรือ”
“เสียงทะเลาะกันด้านหน้าทำให้ท่านแม่ตื่นหรือ”
“พวกเราอยากไปดูด้านหน้า ผอผอ[1]กับพี่เฝิงจือ ไม่ยอมให้พวกเราไป”
“ท่านแม่ พี่เฝิงจือบอกว่าท่านเหนื่อยมาก ท่านไปนอนอีกสักครู่เถอะนะ”
ซื่อเป่าปีนขึ้นเตียงกอดคอลู่เจียว คิดนอนเป็นเพื่อนลู่เจียวต่ออีกสักครู่ เขาไม่ได้นอนกับท่านแม่หลายวันแล้ว จะให้นอนต่ออีกหน่อยก็นอนได้
[1] คำเรียกหญิงมีอายุ