ลู่เจียวกล่าวจบ ต้าเป่าก็ถามอย่างสนใจ “ท่านแม่ ตอนนี้พวกเราเรียนอะไร”
เอ้อร์เป่าหัวเราะลั่นกล่าวว่า “ท่านแม่ ข้าไม่อยากเรียนหนังสือ ข้าจะฝึกยุทธ์”
ลู่เจียวรีบมองเขาด้วยสายตาดุทันที กล่าวว่า “ไม่เรียนหนังสือเป็นได้แค่พลหทาร ไม่อาจเป็นแม่ทัพ แม่ทัพไม่เพียงแต่นำทัพออกรบได้ แต่ยังต้องวางกลยุทธ์ศึก แต่ละอย่างในนี้ไม่อาจไม่เรียนรู้ เจ้าไม่เรียน วันหน้าก็เป็นได้แค่พลทหารคอยจูงม้าให้แม่ทัพ”
พอลู่เจียวกล่าว เอ้อร์เป่าก็ตกใจอึ้งไป เขาไม่เรียนหนังสือถึงกับเป็นได้แค่พลทหารคอยจูงม้าให้แม่ทัพหรือ ไม่เอานะ
“ท่านแม่ ข้าจะเป็นแม่ทัพ ข้าไม่เป็นพลทหารคอยจูงม้าให้แม่ทัพ”
“งั้นก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ”
ลู่เจียวกล่าวจบมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พวกเจ้าสี่คนมีบางคนชอบเรียนหนังสือ อย่างเช่นต้าเป่า มีบางคนไม่ชอบเรียนหนังสือ อย่างเช่นเอ้อร์เป่า แต่ไม่ว่าชอบหรือไม่ แม่ก็หวังให้พวกเจ้าตั้งใจเรียน ทุกคนอย่างน้อยก็ต้องสอบซิ่วไฉได้ จากนั้นค่อยคิดเรียนสิ่งที่ตนเองต้องการ”
“ตำแหน่งซิ่วไฉแม้ไม่นับว่าร้ายกาจ แต่ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน พบขุนนางไม่ต้องคำนับ เจ้าไปที่ทำการ ขุนนางยังต้องให้เกียรติสามส่วน ซานเป่าว่าอยากเรียนการแพทย์ สถานะหมอไม่สูง ดังนั้นเจ้ายิ่งควรสอบตำแหน่งซิ่วไฉให้ได้ ซื่อเป่าว่าจะเป็นพ่อค้าหาเงิน สถานะก็ยิ่งต่ำต้อย เจ้าก็ยิ่งต้องสอบเคอจวี่ หากเจ้าสอบเคอจวี่ได้ก็ยิ่งดี”
“จวี่เหรินไปที่ไหนก็มีแต่คนให้เกียรติ แน่นอนว่าแล้วแต่ความยินยอมของเจ้า แม่ไม่บังคับเจ้า แต่พวกเจ้าสี่คนทุกคนอย่างน้อยก็ต้องสอบได้ซิ่วไฉ”
ลู่เจียวกล่าวจบมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ผ่อนน้ำเสียงลงถามว่า “บอกแม่ เจ้าทำได้ไหม”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สบตากัน สุดท้ายก็พยักหน้าเต็มแรง “ท่านแม่ พวกเรารู้แล้ว พวกเราต้องพยายามเรียนหนังสือ คว้าตำแหน่งซิ่วไฉมาให้ได้เหมือนท่านพ่อ”
ลู่เจียวพยักหน้าอย่างพอใจ “อืม เช่นนี้สิถูกต้อง เดี๋ยวแม่จะไปดูการปรับปรุงเรือนด้านหน้าให้พวกเจ้า”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่พลันหันไปสนใจเรื่องอื่น ถามขึ้นทันทีว่า “ท่านแม่ ท่านจะสอนอะไรพวกเรา”
“หลายอย่าง ภาษา คณิตศาสตร์ เกษตรศาสตร์ งานศิลปะ งานฝีมือ ดนตรี การแสดงละคร งานไม้ การอ่าน”
ลู่เจียวชั่วครู่เดียวก็กล่าวออกมาได้มากมายขนาดนี้ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที แย่งกันถามว่า “ท่านแม่อะไรคือคณิตศาสตร์”
“คณิตศาสตร์ก็คือคณิตศาสตร์”
ลู่เจียวจะสอนเลขอารบิกให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ ยุคสมัยนี้แม้แต่วิธีการคำนวณก็ยังใช้แท่งไม้นับ ใช้ไม้ไผ่ทำเป็นท่อนเล็กๆ ใช้ท่อนไม้เล็กวางขัดสลับกันแสดงตัวเลข ย่อมคำนวณได้ยุ่งยากมาก
“ท่านแม่ อะไรคือเกษตรศาสตร์”
“เกษตรศาสตร์ก็คือการปลูกข้าวเจ้าและข้าวสาลีอะไรพวกนี้ สอนพวกเจ้าสังเกตข้าวเจ้าและข้าวสาลีว่าจะเพาะปลูกแตกหน่ออย่างไร”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “ท่านแม่ อะไรคือศิลปะ”
“ศิลปะก็คือวาดภาพ ออกแบบอะไรพวกนี้”
“งั้นอะไรคือการแสดง”
“การแสดงก็คือท่านแม่เขียนนิทาน พวกเราก็แสดงเป็นตัวละครคนหรือสัตว์ในนิทาน จากนั้นก็แสดงเป็นเรื่องราวในนิทาน”
พอพูด เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ดวงตาเปล่งประกาย “ท่านแม่ อันนี้ข้าจะแสดง ข้าจะแสดง”
ลู่เจียวเห็นว่าสายแล้วก็เร่งพวกเขา “เอาละ รีบกินอาหารเช้า กินเสร็จ แม่จะไปด้านหน้าคุยเรื่องปรับปรุงบ้านกับพวกท่านลุงช่าง”
“ขอรับท่านแม่”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กินอาหารเช้าอย่างเบิกบาน ลืมถามเรื่องเซี่ยอวิ๋นจิ่นไปแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกินข้าวเช้าเสร็จ ก็พาหลินตงไปยังบ้านเช่าให้คำชี้แนะบรรดานักเรียนทบทวนสี่คัมภีร์ห้าตำรา
ตอนทั้งสองคนเดินผ่านตระกูลซูข้างบ้าน ก็เห็นประตูตระกูลซูพลันเปิดออก มีคนหนึ่งยกน้ำเดินออกมา หญิงผู้หนึ่งพบว่าหน้าประตูมีคนอยู่ก็ชะงักไป จากนั้นก็ยิ้มหวานมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น
“โอ๊ะ นี่ไม่ใช่คุณชายเซี่ยข้างบ้านหรือ คุณชายเซี่ยไปสำนักศึกษาหรือ”
กล่าวจบก็ส่งสายตาหวานให้ยกใหญ่
เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองสตรีอ่อนหวานอรชรตรงหน้าอย่างเย็นชา ก้าวเดินจากไปทันที ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
หลินตงเองก็ทำตามคุณชาย หน้าบึ้งไร้ความรู้สึกเดินตามไป
สตรีด้านหลังตกใจอึ้งไป คิดไม่ถึงว่าบรรจงแต่งตัวมาแต่เช้า แต่กลับได้รับผลเช่นนี้ พลันทำหน้าไม่ถูก อ้าปากได้ก็ด่าไม่หยุด
“เป็นดังท่อนไม้เสียจริง หน้าตาดีแล้วไง เหมือนพวกปัญญาอ่อน ไหนว่าเป็นซิ่วไฉ ข้าว่าเป็นพวกคงแก่เรียนเซ่อซ่ามากกว่า”
กล่าวจบก็สาดน้ำในกะละมังทิ้งลงพื้นถนนเต็มแรง ก่อนจะหันหลังเข้าบ้านปิดประตูอย่างฮึดฮัด
หลินตงด้านหลังเซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปถลึงตาใส่บ้านตระกูลซูอย่างโมโห “คุณชาย ท่านดู นางถึงกับด่าคนอื่น”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นสีหน้าเย็นเยียบ หันไปมองหลินตงกล่าวว่า “คนเช่นนี้ วันหน้าไม่ต้องสนใจ ทำเป็นมองไม่เห็น”
แต่ดีที่สุดอย่าได้ตกอยู่ในกำมือเขา
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิด แล้วก็พาหลินตงเดินไปยังบ้านเช่า พอทั้งสองคนเพิ่งเดินถึงหน้าประตูบ้านเช่า ในตรอกก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาไม่ช้าไม่เร็ว ม่านรถม้าปลิวเปิดขึ้นพอดี มีหญิงผู้หนึ่งกำลังมองออกมาด้วยแววตาเป็นประกายชื่นชม แต่ก็กลายเป็นเย็นเยียบอย่างรวดเร็ว เอ่ยขึ้นเหมือนไม่ได้ใส่ใจนัก
“โอ๊ะ นี่คือคุณชายตระกูลใด รูปงามแท้”
หญิงในรถม้ากล่าวจบ หญิงผู้หนึ่งก็ยื่นหน้าออกมามอง เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่นหน้าประตูพอดี
ชุดยาวผ้าธรรมดาดูสามัญเรียบง่าย มวยผมปักปิ่นไม้ ใบหน้าหล่อเหลากระจ่างราวกับรูปแกะสลักประณีตงาม ใบหน้าเย็นชา ท่วงท่าสูงสง่าเย็นเยียบ วางตัวห่างไกลจากผู้คน
คนเช่นนี้ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม้และอิฐชิงจวนก็ราวกับคนในภาพวาด
หญิงบนรถม้ามองอย่างตกตะลึง ค่อยๆ กล่าวพึมพำว่า “คนผู้นี้เป็นใครกัน ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน”
หญิงข้างนางก็ยิ้มเล็กน้อย ค่อยๆ กล่าวว่า “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ จะยากเกินฝีมือชิงอินหรือ”
สวี่ชิงอิน บุตรสาวไท่เว่ย[1]อำเภอชิงเหอ แม้เป็นบุตรสาวที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากภรรยาเอก แต่ก็เติบโตมาอย่างตามใจ
ในจวนเซี่ยนเว่ยที่ใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้มีนางเป็นลูกคนเดียว คนทั้งจวนล้วนเอาอกเอาใจนาง แม้แต่สวี่เซี่ยนเว่ยเองก็ตามใจ ดังนั้นจึงทำให้นางกลายเป็นคนมีนิสัยเอาแต่ใจ
ในรถม้า สวี่ชิงอินได้ฟังคำเสิ่นซิ่ว ก็ยิ้มพอใจกล่าวว่า “นั่นสิ”
นางกล่าวจบก็คิดถึงอะไรขึ้นมาได้ กล่าวว่า “วันนี้พวกเรามาหาจ้าวเหอฮวา จ้าวเหอฮวาย่อมต้องรู้ว่าผู้ชายคนนั้นคือใคร”
แววตาเสิ่นซิ่วมีเลศนัย พยักหน้ารับ “แน่นอน”
รถม้ามาถึงบ้านจ้าวเหอฮวา น่าเสียดายจ้าวเหอฮวาไม่อยู่บ้าน ไปบ้านตระกูลเซี่ยข้างบ้าน
ตระกูลเซี่ย ลู่เจียวกำลังคุยกับจ้าวเหอฮวา
“เจ้ามีธุระ?”
จ้าวเหอฮวาเหลือบมองซ้ายทีขวาที ไม่เห็นเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็รู้สึกผิดหวัง ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ก็แค่มาเยี่ยมเยือนบ้านพวกเจ้า”
กล่าวจบก็หันมองไปรอบๆ บ้าน เห็นว่ามีคนกำลังถอนดอกไม้ต้นไม้อยู่ในสวนดอกไม้ จ้าวเหอฮวาเดินเข้าไปถามอย่างตกใจว่า “พวกเจ้าทำอะไรน่ะ อยู่ดีๆ ถอนดอกไม้ต้นไม้ทิ้งทำไมกัน”
[1] ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด