Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1761 สังหารทูตเทพพยากรณ์ ฆ่าผู้หลุดพ้น

ตอนที่ 1761 สังหารทูตเทพพยากรณ์ ฆ่าผู้หลุดพ้น
เริ่มตั้งแต่จวนอวี๋เหิง จนถึงตอนนี้พวกเนี่ยเจี้ยนเฉิน ถังซูห้าคนทยอยหยั่งถึงจุดเปลี่ยนสักการะจากส่วนลึกของจักรวาลนั่น ปีนขึ้นแท่นบูชาห้าสีอย่างราบรื่น จากอริยะเข้าสู่ระดับอริยบุคคล!
ห้าคนนี้ แต่ละคนต่างก็ทิ้งศิลามรรคสักการะที่ของตนเอาไว้บนฟ้าสูงเหนือแท่นสักการะ
เพียงแต่นอกจากศิลามรรคสักการะของจวนอวี๋เหิงที่สูงเจ็ดพันจั้งแล้ว ของสี่คนที่เหลือต่างอยู่ต่ำกว่าเจ็ดพันจั้ง
ไม่มีใครสามารถไปถึงเก้าพันจั้งได้
และไม่มีใครสามารถล้มสถิติความสูงของจวนอวี๋เหิงได้
แม้จะเป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งสี่คนนี้ที่กลายเป็นอริยบุคคลอย่างราบรื่นก็พึงพอใจเต็มอกแล้ว
เพราะอริยบุคคลไม่เพียงหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับมหาอริยะเท่านั้น ยังหมายถึงภายภาคหน้าจะสามารถปีนป่ายสูงระดับมกุฎราชันอริยะได้อีกด้วย!
ผู้แข็งแกร่งที่ยังไม่เคยสัมผัสถึงจุดเปลี่ยนสักการะ กับมีอารมณ์แตกต่างออกไป
แรกสุดตอนที่หลินสวินมาถึงแท่นสักการะ เมื่อรวมพวกซวีหลิงคุน เหวินฉิงเสวี่ยด้วย มีทั้งหมดเก้าคน
ต่อมา อาหู ถังซูมาถึงตามๆ กัน หลังจากตัดซวีหลิงคุนกับเหวินฉิงเสวี่ยทิ้ง ก็ยังเหลือเก้าคน
ตอนนี้มีห้าคนกลายเป็นอริยบุคคลแล้ว เหลือเพียงแต่หลินสวิน อาหู ฮว่าซิงหลี รวมถึงหญิงสาวชื่อฉีเซี่ยนอวี๋ที่ยังไม่หยั่งถึงจุดเปลี่ยนสักการะ
“เหอะๆ คนบางคนถึงพลังต่อสู้จะแข็งแกร่ง แต่กลับนิสัยเหี้ยมอำมหิต ไร้ขื่อไร้แป มิน่าจนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถสักการะเป็นอริยบุคคล!”
ชายหนุ่มชุดหลากสีทั่วเฉิงไห่เป็นผู้แข็งแกร่งคนที่ห้าที่สักการะเป็นอริยบุคคล ตอนที่เดินลงจากแท่นบูชาห้าสี เขากวาดมองหลินสวินกับอาหูด้วยสายตาเยียบเย็นปราดหนึ่ง เจือแววชิงชังที่คล้ายมีแต่ไม่มี
ก่อนหน้านี้หลินสวินไล่ตีเขาภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน สองฝ่ามือฟาดจนเขาหัวบวมแดงเหมือนหัวหมู นี่ทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าครั้งใหญ่
เวลานี้ทั่วเฉิงไห่ชิงสักการะเป็นอริยบุคคลได้ก่อน ยามเผชิญหน้ากับหลินสวินและอาหูอีกครั้ง ในใจจึงผุดไอสังหารขึ้นมารำไร
หลินสวินไม่ใส่ใจสิ่งนี้แม้แต่น้อย ไร้ซึ่งการตอบสนอง
อาหูกลับมุ่นคิ้ว ถูกปลุกให้ตื่นจากการหยั่งรู้ในชั้นลึก
ในใจนางความเดือดดาลทะลักล้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ใครถูกรบกวนในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางเบิกบานใจได้
“ทั่วเฉิงไห่”
แต่ไม่รอให้อาหูพูดอะไร ถังซูที่นั่งสมาธิอยู่ข้างกันจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้ากับข้าล้วนเป็นอริยบุคคลแล้ว อยากแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันหน่อยไหม”
ในน้ำเสียงเจือแววคึกอยากลอง
ทั่วเฉิงไห่หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รอยยิ้มแข็งทื่อกล่าวว่า “ช่างเถอะ เพิ่งเหยียบย่างขอบเขตนี้ ข้ายังต้องสงบจิตหยั่งรู้เสียหน่อย”
ถังซูร้องอ้อคราหนึ่งแล้วกล่าว “ก็ได้ หากเจ้าอยากลงมือ ข้าจะเป็นคู่ซ้อมให้คนแรก”
กล่าวจบนางก็หลับตาลงอีกครั้ง
แต่ในปากทั่วเฉิงไห่กลับขมเฝื่อน ในใจสบถด่ายกใหญ่ มีหรือเขาจะมองไม่ออก เห็นชัดว่าถังซูรู้ว่าตนอยากทำอะไร ดังนั้นจึงจงใจเอ่ยออกมา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ขอแค่ตนกล้าลงมือกับหลินสวิน ถังซูต้องใช้ข้ออ้าง ‘แลกเปลี่ยนเรียนรู้’ มาขัดขวางตั้งแต่จังหวะแรกแน่!
อาหูก็เดาข้อนี้ออกเช่นกัน จึงเกิดความประทับใจต่อถังซูอย่างอดไม่ได้
“เฮอะ!”
ทั่วเฉิงไห่ปรายตามองหลินสวินกับอาหูปราดหนึ่ง ก่อนหันตัวมาหยุดที่พื้นที่ว่างแห่งหนึ่ง เริ่มนั่งสมาธิ สงบจิตสัมผัสถึงประโยชน์ที่ตนได้รับจากการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้
อาหูมองข้ามเขาไปตรงๆ แล้วเหลือบมองหลินสวินที่อยู่ข้างกาย เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ถูกรบกวนใดๆ จึงวางใจลงไม่น้อย เริ่มหยั่งรู้อีกครั้ง
พร้อมกับเวลาเคลื่อนคล้อย บนเส้นทางสักการะ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มีใครสามารถไปถึงยอดเขาได้อีก ด้วยเหตุนี้ก็สามารถอนุมานได้ว่า หมายจะเฉียดใกล้แท่นสักการะนั้นยากเย็นปานใด!
ซวีหลิงคุน เหวินฉิงเสวี่ยคือคนโชคดี มีศักยภาพในการปีนขึ้นแท่นสักการะ แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็โชคไม่ดี ไม่สามารถสัมผัสถึงจุดเปลี่ยนสักการะ ชีวิตดับสิ้นลงตรงนี้
คนตาย ไฟมอด มรรคว่างเปล่า ยังเทียบผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยปีนขึ้นแท่นสักการะเหล่านั้นไม่ได้ อย่างน้อยการรอดชีวิต ภายหน้าก็ยังมีหวังที่จะเดินบนมรรคาได้ยาวไกลขึ้น!
เวลาหนึ่งเค่อต่อมา
ผู้หญิงที่ชื่อฉีเซี่ยนอวี๋ก็สัมผัสถึงจุดเปลี่ยนสักการะเสี้ยวหนึ่งแล้วเช่นกัน กลายเป็นอริยบุคคล ฝากศิลามรรคสักการะของตนเอาไว้
สองชั่วยามต่อมา
อาหูก็สัมผัสถึงจุดเปลี่ยนสักการะ ปีนขึ้นแท่นมรรคห้าสี
ยามนี้ทั่วเฉิงไห่ลืมตาขึ้นเงียบๆ พออาหูออกไป ข้างกายหลินสวินเท่ากับไม่มีใคร หากอาศัยจังหวะนี้โจมตีสังหารละก็…
เพิ่งคิดถึงตรงนี้ทันใดนั้นร่างกายของทั่วเฉิงไห่พลันเย็นวาบ สัมผัสได้ถึงสายตาของถังซูที่ไม่รู้มองเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เจือแววนึกสนุกเสี้ยวหนึ่ง
ในใจทั่วเฉิงไห่ฉุนเฉียว ยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าถังซูกำลังจับจ้องตน มุ่งมั่นว่าจะปกป้องหลินสวิน
สุดท้ายเขาก็ลอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ละทิ้งแผนการที่จะซุ่มโจมตีหลินสวิน
และในตอนนี้เอง การเปลี่ยนแปลงประหลาดหนึ่งพลันบังเกิดขึ้น…
เงาร่างเทาขุ่นที่เหมือนหมอกควันสายหนึ่งปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง มาถึงด้านหลังหลินสวินด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ
สวบ!
กลางฝ่ามือของเขา เหล็กหมาดแหลมอันหนึ่งแทงเข้าใส่หลินสวินหนักๆ
ขณะเดียวกันดอกบัวแปลกพิสดารสีดำดอกหนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของหลินสวิน ใจกลางเกสรหลั่งรินลำแสงเทพปิดครอบลงมา
ทั้งหมดนี้ล้วนเสร็จสิ้นในชั่วอึดใจ ไวอย่างไม่น่าเชื่อ
ต่อให้เป็นพวกถังซู จวนอวี๋เหิง เนี่ยเจี้ยนเฉิน ยามสังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ การซุ่มโจมตีครั้งนี้ก็ปะทุขึ้นเสร็จสรรพแล้ว
ทุกคนล้วนหนาวเยือกในใจ
ทั่วเฉิงไห่กลับตื่นเต้นจนเกือบส่งเสียงร้องออกมา สำหรับเขา การซุ่มโจมตีครั้งนี้ก็คือสวรรค์มาโปรดชัดๆ!
และในยามนี้อาหูปีนขึ้นแท่นมรรคห้าสี กำลังรับการเปลี่ยนแปลงและชำระล้างของพลังสักการะ ไม่ได้สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้แม้แต่น้อย
กล่าวอย่างไม่เกินจริง การโจมตีครั้งนี้ถูกจังหวะ ลงมือโหดเหี้ยมรุนแรง ใช้วิธีลอบสังหารขั้นสูงสุดชัดๆ
ไม่ว่าใครมองเห็น เกรงว่าต่างรู้สึกสะท้านสะเทือนและหวาดหวั่น!
หลินสวิน…
จะถึงคราวเคราะห์แล้ว!
ในช่วงคับขันอันตรายนี้ ในหัวทุกคนผุดความคิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
แต่ครู่ต่อมาก็เห็นหลินสวินที่แต่เดิมเหมือนรูปปั้นดินเหนียว ไม่ได้สัมผัสถึงอะไร บนร่างกายพลันปรากฏเหวใหญ่ขึ้นมา
ตูม!
พลังปราณกึกก้อง พุ่งทะยานขึ้นฟ้าแผ่ครอบผืนดิน
ปราณกระบี่เรืองรองที่น่าสะพรึงไร้เทียมทาน ทะยานออกมาจากตัวหลินสวินดุจดั่งมหาสมุทรคลั่ง
ปราณกระบี่ไท่เสวียน!
เขากระบี่อสูรปฐพีเจ็ดสิบสองลูก!
ชั่วอึดใจเท่านั้น ดอกบัวสีดำที่แผ่ครอบลงมาจากเหนือศีรษะถูกระเบิดกระจุยเป็นอย่างแรก กลายเป็นเถ้าธุลีสีดำคลุ้งฟ้าหายไป
ที่ตามมาติดๆ คือเหล็กหมาดแหลมซึ่งจู่โจมเข้ามาจากด้านหลังถูกสกัด โดนเขากระบี่หลายลูกขัดขวาง สุดท้ายก็ถูกซัดถอยออกไป
“หืม?”
“สมควรตาย!”
เสียงอุทานดังขึ้น ในลานปรากฏเงาร่างของซาหลิวชิงทูตเทพพยากรณ์สำนักโบราณจรัสเทพ และคูตู้ผู้หลุดพ้นแห่งแดนกษิติครรภ์
ทั้งคู่ล้วนเผยสีหน้าตกใจไม่อยากเชื่อ
พวกถังซู จวนอวี๋เหิงล้วนสีหน้าแปลกพิกล รู้สึกประหลาดใจ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ หลินสวินถึงกับสามารถตอบสนองทันเวลา นี่น่าตกใจเกินไปแล้ว!
รอยยิ้มบนใบหน้าทั่วเฉิงไห่พลันแข็งทื่อ สีหน้าเปลี่ยนไปมา ความดีใจเต็มอกถูกเพลิงโทสะที่อธิบายไม่ถูกเข้าแทนที่ ขนาดนี้แล้วยังฆ่าเจ้าหลินสวินไม่ตายอีกหรือ
นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึก หันตัวมองไปทางซาหลิวชิง คูตู้สองคน กล่าวด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุขว่า “อุบายแบบเดิมใช้มาสองครั้งแล้ว คงหมดมุกแล้วสิท่า แต่ว่าพวกเจ้าสองคนมาได้เวลาพอดี สมควรให้จบสิ้นกันได้แล้วจริงๆ”
ถูกซุ่มโจมตีกะทันหัน สภาวะจิตถูกขัดจังหวะยามสัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะเอาดื้อๆ แต่หลินสวินกลับสงบนิ่งไร้คลื่นลม มีความเยือกเย็นที่ชวนให้คนใจสะท้านอย่างหนึ่ง
โดยเฉพาะพวกซาหลิวชิงที่ถูกหลินสวินจับจ้อง ทั่วร่างล้วนอึดอัดไปชั่วขณะ
ครั้งนี้การลอบสังหารของพวกเขาที่มีต่อหลินสวินล้มเหลวอีกแล้ว ทำให้เงาร่างเปิดเผย และทำให้พวกเขาได้แต่ต้องเผชิญหน้ากับหลินสวินตรงๆ อีกครั้ง
ขนาดพวกเขายังรู้สึกอัดอั้นอย่างบอกไม่ถูก อย่าบอกนะว่าหลินสวินนี่เป็นดาวข่มของพวกเขา
สวบ!
หลินสวินลงมือแล้ว ยื่นนิ้วชี้ขวาออกไปกรีดวาดง่ายๆ กลางห้วงอากาศคราหนึ่ง
ปราณกระบี่สายหนึ่งพลันควบรวมปรากฏออกมา เบียดแน่นจักรวาล กรีดเส้นตัดขวาง คล้ายบรรจุนัยเร้นลับอัศจรรย์นับหมื่นไว้ภายในนั้น สะท้อนความรู้สึกเรียง่ายเหมือนหวนคืนสู่ธรรมชาติออกมา
คมประกายของมันไร้เทียมทาน ไม่อาจพันธนาการ
อานุภาพของมันไม่มีสอง ตัดเฉือนเทพผีง่ายดาย
กระบี่นี้ มีชื่อเรียกว่าไปไร้หวน!
“แย่แล้ว!”
ซาหลิวชิงขนลุกขนชัน วิญญาณแทบหลุดจากร่าง ในหัวสมอง สภาวะจิต จิตสำนึก ล้วนถูกอานุภาพของปราณกระบี่สายนี้ซัดสะเทือน เกิดความพรั่นพรึงใหญ่ยิ่งอย่างไม่อาจควบคุมได้
เขาแทบจะไม่ได้ลังเลใดๆ ทุ่มทุกสิ่ง ใช้วิชาปกป้องชีวิตก้นกรุของตนออกมา
ฮูม…
ร่างของเขากลายเป็นแสงเคลื่อนไหวสีเทาขุ่นเป็นสายๆ ความเร็วถึงขั้นชวนตะลึง พุ่งโฉบไปยังเส้นทางสักการะ
วิชารักษาชีวิตของนักฆ่าและนักลอบสังหาร แต่ไรมาไม่ได้มีไว้ฆ่าศัตรู แต่มีเพื่อหนีตายเท่านั้น!
น่าเสียดาย เขาไม่รู้สักนิดว่าหนึ่งกระบี่ที่ตกทอดจากจักรพรรดิสงครามอู๋ยางนี้น่ากลัวปานใด
หนึ่งกระบี่ทะยาน ฟ้าดินเปลี่ยนสี
หนึ่งกระบี่ตกลู่ แสงเคลื่อนไหวเป็นสายๆ ที่แปลงจากร่างซาหลิวชิงล้วนประหนึ่งมอดดับกลางสายลม อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
กระบี่เดียว สังหารซาหลิวชิง!
สิ่งที่ทำให้คนขนลุกคือ ที่ตรงนั้นไม่มีหยดเลือด ไม่มีศพ ทั้งตัวซาหลิวชิงเหมือนถูกลบหายสิ้นซาก
ในลานเงียบกริบ ไร้สรรพเสียง
ก่อนหน้านี้ตอนที่ต่อสู้กับซวีหลิงคุน เหวินฉิงเสวี่ย พวกเขาไม่เคยเห็นหลินสวินสำแดงปราณกระบี่น่าสะพรึงที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน
กลิ่นอายของกระบี่นั่น สามารถส่องสว่างหมื่นยุคได้ชัดๆ!
“ลาหัวโล้น ตาเจ้าแล้ว”
ในลานหลินสวินทอดสายตามองคูตู้ที่อยู่ไกลๆ
คูตู้สวมชุดภิกษุสีดำ กลางกระหม่อมประทับดอกบัวสีดำ แม้จะเห็นกับตาว่าซาหลิวชิงถูกฆ่าแล้ว แต่สีหน้าเขากลับราบเรียบดังเดิม
ผู้สืบทอดแดนกษิติครรภ์ เดิมก็ไม่กลัวตาย เสมือนไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคูตู้จะไม่หวาดกลัว ก็เหมือนยามนี้ ภายในใจของเขาเริ่มเกิดไอหนาวเหน็บเป็นระลอกๆ ขึ้นมาแล้ว
“หลินสวิน เจ้าถูกสำนักโบราณจรัสเทพและแดนกษิติครรภ์หมายหัวแล้ว เว้นแต่ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่เหยียบทางเดินโบราณฟ้าดารา หาไม่แม้ว่าตอนนี้เจ้าจะฝีมือโดดเด่นปานใด วันหน้าก็ต้องตายภายใต้ความมืดมิดอยู่ดี”
คูตู้เอ่ยเสียงเรียบ
ใต้เท้าของเขาภาพบัวดำสิบแปดภาพปรากฏ ดอกบัวที่อยู่ภายในแต่ละดอกล้วนมีเงามายามุนินทร์ดำนั่งอยู่
สวบ!
น้ำเสียงยังไม่ทันสิ้นสุด เงาร่างของคูตู้ถึงกับอันตรธานหายไปในอากาศ
วู้ม!
แต่ในขณะเดียวกัน หลินสวินพลันเรียกธนูวิญญาณไร้แก่นสารออกมา ง้างสายธนูเต็มเหนี่ยวโดยไม่ลังเล และยิงศรนภาครามออกไป
เบื้องบนเป็นนภาครามเบื้องล่างเป็นยมโลก!
บนเส้นทางสักการะที่ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง จู่ๆ ก็มีเสียงอู้อี้สายหนึ่งดังลอยมา
มีแสงเลือดพุ่งทะยาน หากเข้าไปดูใกล้ๆ ก็จะพบว่าคูตู้ถูกศรหนึ่งเสียบทะลุ ร่างระเบิดกระจุย เลือดเนื้อปลิวว่อนบนขั้นบันไดหินสีเขียวเก่าแก่
“ยังคิดหนีอีก… คิดจริงๆ หรือว่าจะหนีรอด…”
หลินสวินเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสารและศรนภาคราม กลางนัยน์ตาดำมีสัญลักษณ์อักษรธรรมเร้นลับวาบผ่านก่อนหายไป
คนอื่นอาจมองเงาร่างที่เผ่นหนีของคูตู้ไม่ออก แต่สำหรับหลินสวินที่ฝึกฝน ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ก็ไม่ใช่เรื่องยากสักนิด
ควรรู้ว่าคัมภีร์นี้ก็คือคัมภีร์สมบัติสูงสุดที่อริยะสงฆ์ตู้จี้ใช้ ‘คัมภีร์มหากษิติครรภ์’ เป็นรากฐานรังสรรค์ขึ้นมา!
——
Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท