ในห้องโถง ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น ยิ้มกล่าวว่า “วางใจ วันหน้ามีเรื่องอะไรอีก ข้าจะบอกเจ้า ”
สำหรับความสามารถของว่าที่ใต้เท้าโส่วฝู่ อย่างไรนางก็เชื่อมั่น หารือกับเขาย่อมไม่ผิดพลาด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังก็โล่งอก ถามลู่เจียวว่า “เจ้าร่วมมือกับจ้าวหลิงเฟิงได้ส่วนแบ่งเท่าไร”
“สามส่วน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวเบาๆ ว่า “น้อยไป”
ลู่เจียวถอนหายใจกล่าวว่า “น้อยไปก็ทำไงได้ หากไม่ร่วมมือกับจ้าวหลิงเฟิง ข้าปกป้องของพวกนั้นไม่ได้ ได้สามส่วนก็ไม่เลวแล้ว”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้จ้าวหลิงเฟิงมาจากเมืองหลวง สถานะน่าจะไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่น่าจะสูงมาก
“ด้วยสถานะเขาปกป้องของที่เจ้าผลิตออกมา? หากเขาสถานะสูงส่ง ตอนนี้น่าจะไม่มาปรากฏตัวที่หมู่บ้านชีหลี่เช่นนี้กระมัง”
“เขาเป็นคุณชายสามจวนหย่งหนิงโหวที่ไม่ได้ถือกำเนิดจากภรรยาเอก แต่เบื้องหลังเขาน่าจะมีใครสักคน ข้าได้สามส่วน ก็เพื่อให้เขาเอาไปแบ่งผลประโยชน์ให้คนอื่น เช่นนี้จึงจะหาคนมาปกป้องคุ้มครองร้านให้มั่นคงได้”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นคิดถึงคนที่เขาได้พบครั้งก่อน
คนผู้นี้แค่ดูก็รู้ว่าสถานะไม่ธรรมดา น่าจะเป็นชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวง คนให้การสนับสนุนจ้าวหลิงเฟิงคงไม่ได้ใช่คนผู้นั้นกระมัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วก็มองลู่เจียวกล่าวว่า “วันหน้ามีเรื่องเช่นนี้อีก เจ้ามาหารือกับข้าได้ ข้าไม่ให้ร้ายเจ้าหรอก”
เขากล่าวจบก็จัดเสื้อผ้าลุกเดินออกไปอย่างสง่างาม ลู่เจียวอดเม้มปากหัวเราะเบาๆ ตามหลังไปไม่ได้
เช่นนี้ดีมาก ไม่อาจเป็นสามีภรรยา เป็นเพื่อนกันก็ได้ มีว่าที่โส่วฝู่เป็นสหายก็ไม่เลวอย่างมาก
วันหน้านางก็นับว่ามีคนใหญ่คนโตเป็นที่พึ่งพิงแล้ว รอให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้เป็นขุนนาง นางทำอะไรก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น
ลู่เจียวยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ กลางคืนยังฝันดี เอาแต่ยิ้มจนฟ้าสาง
วันรุ่งขึ้นพอฟ้าสาง ลู่กุ้ยก็ให้หลินต้าพาเขาไปส่งหมู่บ้านซิ่งฮวารับลู่อัน
ลู่เจียวตื่นนอน เขาก็ไปแล้ว ลู่เจียวคิดถึงว่าวันนี้ทั้งครอบครัวจะไปกินข้าวที่ร้านปาเป่าเจิน ตอนนี้หลินต้าไปส่งลู่กุ้ยที่หมู่บ้านซิ่งฮวา ที่บ้านไม่มีรถม้า ทำอย่างไรดี
ลู่เจียวครุ่นคิดมองไปยังเซี่ยอวิ๋นจิ่น เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวนุ่มนวลว่า “ข้าให้หลินตงไปเช่ารถม้ามาแล้ว”
“เยี่ยม”
หลังอาหารเช้าผ่านไป ลู่เจียวพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเรือนด้านหน้าดูช่างไม้ทำไม้ลื่น ไม้ลื่นทำออกมาแล้ว แต่ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยยังไม่สมบูรณ์ งานจากนี้ก็คือหน้าไม้ซึ่งใช้เวลามากที่สุด ไม้ลื่นหลายจุดก็ต้องขัด ลู่เจียวมองอยู่ครู่หนึ่งก็เสนอความเห็นสองสามแห่ง
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ลูบไปลูบมา พากันดีใจอย่างมาก
ลู่เจียวพาเฝิงจือไปเรือนด้านหน้า ดูเรือนปีกซ้ายขวาและห้องที่ติดกับประตูหน้ารอบหนึ่ง นอกจากห้องปีกตะวันออกที่ลู่กุ้ยอยู่ ห้องอื่นๆ จัดให้เป็นห้องเรียนรู้ของเจ้าหนูน้อยทั้งสี่
พื้นที่ภาษาต้องสร้างชั้นหนังสือ จัดวางหนังสือสักหน่อย ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่อ่านหนังสือเองได้ และก็จะได้อ่านเสียงดังๆ ให้คนอื่นฟังได้
พื้นที่คณิตศาสตร์ นอกจากชั้นหนังสือ ยังมีตัวเลขอารบิกและหนังสือเกี่ยวกับการคำนวณอีกจำนวนหนึ่งที่นางเขียนด้วยตนเอง วางไว้ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เรียนรู้
พื้นที่ศิลปะก็ต้องซื้อสีต่างๆ กับพู่กัน ยังต้องเตรียมกระดาษและหนังสือเกี่ยวกับภาพ
ลู่เจียวจัดไป ก็ให้เฝิงจือจดไป
ใช่แล้ว เฝิงจือรู้หนังสือ ไม่ใช่ว่ารู้หมดทุกอักษร แต่ก็รู้ไม่น้อย ลู่เจียวสั่งการส่วนใหญ่นางจดได้หมด
ทั้งสองคนเดินไปแต่ละห้องรอบหนึ่ง ในมือเฝิงจือก็จดเอาไว้ถึงห้าหน้ากระดาษเต็มๆ ล้วนเป็นของที่จะซื้อ ยังเป็นของที่ต้องการไว้ให้ช่างไม้ทำให้
ลู่เจียวจัดการเสร็จก็สายแล้ว ยามนี้เซี่ยอวิ๋นจิ่นพาหลินตงกลับมาแล้ว
“พวกเราควรไปร้านปาเป่าเจินกันได้แล้ว”
ลู่เจียวพยักหน้า พาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็กลับห้องไปเปลียนเป็นเสื้อผ้าทำจากผ้าแพรต่วน
คนหน้าตาดีเย็นชาสวมชุดผ้าแพรต่วนก็ยิ่งเปล่งรัศมีสูงศักดิ์
ลู่เจียวกับเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เห็นแล้วก็พากันชื่นชม
ตั้งแต่ลู่เจียวแน่ใจความคิดเซี่ยอวิ๋นจิ่น เห็นเขาเป็นเพื่อนแล้ว ดังนั้นพูดจาก็ไพเราะน่าฟังอย่างมาก
แม้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรู้ว่านางพูดไปอย่างนั้น แต่ในใจก็ยังคงดีใจมาก
“ขอบคุณ”
ลู่เจียวมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นอีกสองสามที อุทานทอดถอนใจวว่า “พูดตามตรงนะ ข้ามักรู้สึกว่าเจ้าน่าจะมีชาติกำเนิดจวนขุนนางชนชั้นสูงอะไรพวกนั้น ไม่ควรเกิดในตระกูลชนบทเลย”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหัวเราะดังขึ้นมา ใบหน้าเย็นชาที่เป็นปกติพลันมีกระแสระรื่นใจขึ้นอย่างมากมาย
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าก็คือคนชนบทธรรมดาๆ”
เขากล่าวจบก็ไม่พูดเรื่องนี้ต่อ มองลู่เจียวกล่าวว่า “วันนี้งานเลี้ยงคารวะอาจารย์ ข้าได้ถือวิสาสะเชิญอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังแห่งสำนักศึกษาอำเภอชิงเหอมาเป็นพยานในงานให้เจ้า เจ้าไม่ตำหนิข้าที่มากเรื่องกระมัง”
ลู่เจียวพอได้ฟังก็รู้ว่าเขาหวังดี จะตำหนิเขาได้อย่างไร รีบส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ตำหนิเจ้า ข้าต้องขอบคุณเจ้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เกียรตินาง เชิญอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังแห่งสำนักศึกษาอำเภอชิงเหอมาไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้ว่าพ่อค้ามีเงิน แต่ไม่ใช่ผู้มีความรู้สูงส่งและได้รับความเคารพ ดังนั้นอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังยอมมาเป็นพยานในงานให้นาง นับว่าเป็นการเพิ่มเกียรติยศให้นางมากจริงๆ
“งั้น พวกเราไปกันเถอะ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ดีใจมาก จูงมือท่านพ่อท่านแม่ตนไปอย่างเบิกบานใจ นั่งรถม้าที่เช่ามาไปร้านปาเป่าเจินร้านอาหารที่มีชื่อเสียงในอำเภอชิงเหอรับประทานอาหาร
รถม้าพวกเขาเพิ่งถึงร้านปาเป่าเจิน อาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังก็นั่งรถม้ามากันแล้ว รถม้าสองคันมาจอดที่หน้าประตูร้านพร้อมกันพอดี
ฉีเหล่ยกำลังรอต้อนรับพวกเขาอยู่ที่หน้าประตู ลู่เจียวแนะนำอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังให้เขารู้จัก เขารีบเชิญอาจารย์ใหญ่หลูกับอาจารย์หวังเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที
ทุกคนเข้าไปในร้านปาเป่าเจิน ไปยังห้องรับรองส่วนตัวอย่างครึกครื้น
เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ได้มากินอาหารในร้านอาหาร แต่ไม่รู้สึกหวาดกลัวสักนิด ยังพูดจาอย่างมีชีวิตชีวากับอาจารย์ใหญ่หลู
“ระยะนี้พวกเจ้าสี่คนได้เรียนหนังสือไหม”
อาจารย์ใหญ่หลูถามเจ้าหนูน้อยทั้งสี่อย่างสนใจ เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ส่ายหน้า
“ระยะนี้ไม่ได้เรียน ที่บ้านปรับปรุงเรือนด้านหน้าอยู่ ท่านแม่ว่าพวกเรายังเล็ก ยังไม่ต้องเรียนสี่คัมภีร์ห้าตำราตอนนี้ ให้เรียนอย่างอื่นก่อน”
“ท่านแม่เราจะสอนพวกเราหลายอย่างเลย อย่างเช่นการคำนวณ การเกษตรและงานศิลปะ”
“ยังเรียนงานฝีมือ ดนตรีและแสดงละครตามบทบาทด้วย…”
ซานเป่าไม่พูด แต่ซื่อเป่าพูดต่ออย่างตื่นเต้น กล่าวว่า “ท่านลุงอาจารย์ใหญ่ ท่านรู้ไหมอะไรเรียกว่าแสดงละครตามบทบาท ก็คือนิทานที่ท่านแม่เล่า พวกเราก็แสดงเป็นตัวละครในนั้น ท่านรู้ไหม นิทานที่ท่านแม่เราเล่าสนุกมาก เช่นหนูตอบแทนบุญคุณ ม้าน้อยข้ามแม่น้ำ แมลงปอสามขา มากมายๆ”
อาจารย์ใหญ่หลูได้ฟังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็หันไปมองลู่เจียวอย่างตกใจ
“ลู่เหนียงจื่อมีความรู้มากจริง”
ลู่เจียวคิดแล้วก็ยิ้มรับคำ กล่าวว่า “ก็แค่หลอกล่อพวกเขาให้เข้านอน แต่งไปอย่างนั้น”
นางจะพูดอะไรได้ อย่างไรก็คงไม่อาจบอกอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ว่า นางมาจากอีกกี่ปีข้างหน้า ยุคสมัยพวกนางมีนิทานเด็กเช่นนี้มากมาย
ทุกคนเข้าไปในห้องส่วนตัวกันอย่างเบิกบานใจ