แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นวูบไหว มุมปากกระตุกลึกเล็กน้อย รู้ตัวเร็วอย่างนี้เลย แต่ครั้งนี้เขาพอใจมาก มือเจียวเจียวแม้ว่าฝีมือการผ่าตัดร้ายกาจมาก แต่ทั้งนุ่มทั้งนิ่ม ยังมีเนื้อหนัง ลูบแล้วรู้สึกสบายมือมาก
เซี่ยอวิ๋นจิ่นครุ่นคิดแล้วใจก็เต้นแรงยิ่งขึ้น แต่ก็พยายามรักษาความนิ่งสงบบนใบหน้าไว้
ลู่เจียวเห็นว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นปล่อยมือรวดเร็ว สีหน้าปกติดูไม่คิดอะไร เหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เมื่อครู่ทั้งสองจูงมือกัน
หากนางหยิบยกมาพูด ก็เหมือนจะจงใจมากไป
ลู่เจียวคิดเช่นนี้แล้วก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้ ก็ทำเหมือนไม่มีเรื่องเมื่อครู่ ทั้งสองคนพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขึ้นรถม้า
ในรถม้า เจ้าหนูน้อยทั้งสี่แก้มพอง สีหน้าโมโห ลู่เจียวยิ้มปลอบพวกเขา
“เอาละ อย่าได้โมโห ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เป็นไรแล้วหรือ ท่านพ่อเจ้าปกป้องแม่ไว้นะ”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็แววตาเป็นประกาย หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่นพร้อมกันทันที
ต้าเป่าสีหน้าพอใจ มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นชมเชยว่า “ท่านพ่อทำเช่นนี้ถูกต้องแล้ว ตบมือ”
เอ้อร์เป่าก็พยักหน้ารับ “ในที่สุดท่านพ่อก็รู้จักปกป้องท่านแม่แล้ว วันหน้าพวกเราก็วางใจแล้ว”
ซานเป่ากับซื่อเป่ายื่นมือไปคว้ามือเซี่ยอวิ๋นจิ่น “ท่านพ่อ วันหน้าท่านต้องปกป้องท่านแม่ต่อไป”
“หากมีคนรังแกท่านแม่ ท่านก็จะลงมือ?”
ซื่อเป่าเพิ่งคิดว่าลงมือให้ตาย พลันคิดถึงว่าท่านแม่ไม่ชอบลงมือให้ตาย รีบมองลู่เจียวแก้คำว่า “หากมีคนรังแกท่านแม่ ท่านพ่อก็จัดการสั่งสอนเขาให้หนักๆ”
ลู่เจียวมองหนูน้อยทั้งสี่ที่เป็นห่วงนาง ในใจก็ตื้นตันอย่างไม่อาจบรรยาย จิตใจก็ยิ่งอ่อนยวบ
นางยื่นมือไปลูบศีรษะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่คิดจะพูดว่าแม่ไม่ต้องการคนปกป้อง แม่เป็นผู้ใหญ่ สามารถปกป้องตนเองได้
ไม่คิดว่าเซี่ยอวิ๋นจิ่นแย่งพูดขึ้นก่อน “พ่อรับปากพวกเจ้า วันหน้าต้องปกป้องท่านแม่พวกเจ้าให้ดี ไม่ให้คนมารังแกท่านแม่พวกเจ้า”
ซื่อเป่ารีบกล่าวว่า “ท่านพ่อก็ห้ามรังแกท่านแม่ หากท่านรังแกท่านแม่ ข้าก็จะช่วยท่านแม่”
เจ้าหนูน้อยกล่าวจบก็ชูหมัดตนเองอวด แสดงให้เห็นว่าตนเองพูดจริง
เจ้าหนูที่เหลืออีกสามคน ได้แต่มองเซี่ยอวิ๋นจิ่น รอเซี่ยอวิ๋นจิ่นแสดงท่าที
เซี่ยอวิ๋นจิ่นจะกล่าวอะไรได้ แทบอยากจะร้องไห้ กล่าวว่า “ข้าไม่รังแกท่านแม่พวกเจ้า ข้ามีแต่ปกป้องนาง”
ลู่เจียวมองหนึ่งผู้ใหญ่สี่เด็กตรงหน้าที่กำลังหารือเรื่องปกป้องคุ้มครองนางกันอย่างจริงจัง
ในใจนางพลันรู้สึกยากตัดใจอย่างมาก แอบรู้สึกไม่อยากไปจากพวกเขา อยากจะอยู่ข้างกายพวกเขาไปเงียบๆ อย่างนี้ตลอดไป
พอลู่เจียวคิดเช่นนี้ขึ้นมา ก็รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่อาจปล่อยเอาไว้ได้ รีบมองไปยังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เปลี่ยนบทสนทนาทันที
“วันนี้พวกเจ้าอยู่ห้องเสี้ยวเสี้ยว กินอะไรกันบ้าง”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่คิดเรื่องอื่นทันที หันไปมองลู่เจียว กล่าวอย่างมีความสุขว่า “กินผลไม้ กินขนม ยังมีอาหารอร่อยๆ อีกด้วย”
“เสี้ยวเสี้ยวเป็นคนดีมาก แต่นางเอาแต่ให้พวกเราเรียกนางว่าพี่”
เอ้อร์เป่าไม่ค่อยพอใจเรื่องนี้เท่าไร
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “เสี้ยวเสี้ยวโตกว่าพวกเจ้าหนึ่งขวบ พวกเจ้าเรียกนางว่าพี่ก็ควรอยู่ อีกอย่างท่านแม่รับท่านแม่นางเป็นพี่สาวแล้ว วันหน้าท่านแม่นางก็คือท่านน้าพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยิ่งควรเรียกเสี้ยวเสี้ยวว่าพี่”
พอลู่เจียวกล่าว เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ไม่คัดค้าน รับคำกล่าวว่า “ได้เลย งั้นครั้งหน้าพวกเราเจอนางก็จะเรียกนางว่าพี่ละกัน”
ลู่เจียวเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กับเสี้ยวเสี้ยวเข้ากันได้ดีมาก อดถามละเอียดไม่ได้ว่า “เสี้ยวเสี้ยวเป็นคนดีจริงหรือ”
ครั้งนี้ต้าเป่าออกมาตอบ “อืม นางดีมาก เอาแต่ดูแลพวกเรา เอาของเล่นนางออกมาให้พวกเราเล่น”
ของเล่นเสี้ยวเสี้ยวไม่เหมือนของเล่นพวกเขาแม้แต่น้อย ล้วนเป็นของแปลกมาก เช่นตุ๊กตาดินปั้น ยังมีน้ำตาลปั้นรูปคน มีตุ๊กตาล้มลุก อะไรพวกนี้ พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน เล่นกันจนเบิกบานใจมาก
ต่อมาเสี้ยวเสี้ยวเห็นพวกเขาชอบ ยังบอกว่ามอบให้พวกเขาคนละชิ้น แต่พวกเขาไม่เอา เพราะท่านพ่อกับท่านแม่เคยบอกว่า วิญญูชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ของพวกนั้นเสี้ยวเสี้ยวเองก็ชอบมาก ดังนั้นพวกเราเล่นก็พอ
“ท่านแม่ ท่านไม่รู้ว่า เด็กที่ไปเป็นแขกด้วยกันกับพวกเรา ถึงกับจะเอาของเล่นของพี่เสี้ยวเสี้ยว พี่เสี้ยวเสี้ยวไม่ให้นาง นางยังร้องไห้เลย น่ารังเกียจจริง”
เอ้อร์เป่ากล่าวจบ ซานเป่ากับซื่อเป่าพยักหน้าเต็มแรงเห็นด้วย พากันวิพากษ์เด็กๆ ที่มาในวันนี้ใครค่อนข้างดี ใครค่อนข้างไม่ดี พูดกันจนออกเหตุออกผล
ลู่เจียวอมยิ้มมองพวกเขา คิดถึงว่าพวกเขาเข้ากับเสี้ยวเสี้ยวบุตรสาวหลี่อวี้เหยาได้ดีมาก นางก็วางใจ
นางรับหลี่อวี้เหยาเป็นพี่สาว วันหน้าสองตระกูลย่อมต้องไปมาหาสู่กัน เด็กเล่นด้วยกันได้ก็จะดีมาก
ลู่เจียวคิดถึงหลี่อวี้เหยา ก็คิดถึงตู้หลันจูภรรยาหันถง ตู้หลันจูเห็นชัดว่าไม่ชอบนาง
ยามนี้ลู่เจียวโชคดีมาก โชคดีที่ตนเองหย่ากับเซี่ยอวิ๋นจิ่นแล้ว ไม่งั้นสองตระกูลคงยากจะคบหากันยาวนานต่อไป
ในรถม้า เซี่ยอวิ๋นจิ่นมองสีหน้าลู่เจียวเหมือนไม่ดีนัก ก็ถามอย่างห่วงใยกล่าวว่า “ทำไมหรือ มีอะไรในใจ”
ลู่เจียวรีบส่ายหน้า ไม่อยากพูดเรื่องตู้หลันจูกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น เรื่องเช่นนี้จะทำให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นลำบากใจ ดังนั้นไม่พูดดีกว่า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้เห็นสีหน้าลู่เจียว ในใจก็แอบหม่นหมองลงเล็กน้อยแต่ก็ปล่อยวางลงได้รวดเร็ว ด้วยความสัมพันธ์พวกเขาตอนนี้ ลู่เจียวไม่ยอมพูดความในใจกับเขามากนักก็เป็นเรื่องธรรมดา ช้าเร็วสักวันหนึ่งเขาจะทำให้นางยอมรับเขา จากนั้นมีอะไรก็จะบอกเขาทุกเรื่อง
ทั้งครอบครัวกลับถึงบ้านตระกูลเซี่ย เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เล่นมาค่อนวันก็เหนื่อยมากแล้ว ลู่เจียวกับเฝิงจือพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปเรือนด้านหลัง อาบน้ำง่ายๆ ให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ เปลี่ยนชุดนอนให้พวกเขาไปนอนกลางวัน
ลู่เจียวยังไงก็จะให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่นอนกลางวันเพราะคิดเพื่อสุขภาพพวกเขา เด็กต้องกินมากนอนมากจึงจะตัวสูงอ้วนท้วนสุขภาพดี
ลู่เจียวกล่อมเจ้าหนูน้อยทั้งสี่นอนกลางวันแล้ว นางเองก็เหนื่อยอยู่บ้าง หันหลังเดินไปยังเรือนนอนตะวันออกเตรียมจะนอนสักครู่
เพียงแต่พอนางเพิ่งเอนตัวนอนได้ครู่หนึ่ง ลู่กุ้ยถึงกับวิ่งมาเรียกนางไปเรือนด้านหน้า
“หันถงพาภรรยาเขามาขอโทษพี่กับพี่เขย ให้ข้ามาตามพี่ไปหน่อย”
ความจริงลู่เจียวไม่ค่อยอยากไป ตู้หลันจูนิสัยเหิมเกริมเช่นนั้น แม้หันถงบังคับนางมาขอโทษแล้วจะมีประโยชน์อะไร ก็ไม่ใช่ขอโทษด้วยความจริงใจ วันนี้มาขอโทษ กลับไปก็ปากพล่อยเหมือนเดิมอีก
แต่ลู่เจียวคิดถึงว่าหันถงช่วยเหลือพวกนาง เกียรตินี้ก็ควรมอบให้ นางได้แต่ลุกพาเฝิงจือไปเรือนด้านหน้า
เรือนด้านหน้า หันถงกำลังยิ้มคุยกับเซี่ยอวิ๋นจิ่นอยู่
“อวิ๋นจิ่น เจ้าก็อภัยให้นางสักครั้งเถอะนะ นางเป็นคนโง่ ไม่จำเป็นต้องคิดมากกับคนโง่เช่นนี้”
ตู้หลันจูสีหน้าดำคล้ำมองสามีตน ในใจแอบก่นด่า แท้จริงใครโง่กันแน่
ก็แค่ซิ่วไฉ ควรค่าแก่การเอาใจหรือไง ช่างลดสถานะตนเองเสียจริง
นางดูแคลนชายเช่นนี้
ตู้หลันจูครุ่นคิดอย่างแค้นใจ จากนั้นก็เงยหน้ามองเซี่ยอวิ๋นจิ่น แม้ว่าหน้าตาดีพอใช้ได้ แต่ท่าทางยโสสูงส่งไปหน่อยไป ก็แค่ซิ่วไฉกระจอกคนหนึ่ง คิดว่าตนเองคือบุคคลสำคัญยิ่งใหญ่หรือไง
ตู้หลันจูแอบก่นด่าในใจ ไม่ได้พูดออกมา
ที่นางโมโหจริงๆ ก็คือลู่เจียว ตั้งแต่สามีนางได้พบหญิงผู้นี้ก็เอาแต่พูดถึงนางไม่หยุด ว่านางนี่ไม่ดี นั่นไม่ดี สอนลูกไม่เป็น วันๆ รู้จักแต่เดินเล่นแต่งตัว ยังว่าลู่เจียวอบรมลูกๆ นางจนรู้ความอย่างนั้นอย่างนี้ มีมารยาทอย่างนั้นอย่างนี้