พอลู่เจียวได้ฟังเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็มีสีหน้าย่ำแย่อย่างมาก “ภรรยาหันถงผู้นี้ไม่ยอมเลิกรา?”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียว กล่าวว่า “ตอนนี้นางไม่ใช่คนตระกูลหันแล้ว หันถงหย่านางแล้ว”
“หา” ลู่เจียวตกใจ ความเร็วนี่เร็วไปไหมนะ
“บิดามารดาสองฝ่ายต่างเห็นด้วย?”
แววตาเซี่ยอวิ๋นจิ่นหรี่ลง ไม่ได้คิดปิดบังลู่เจียว ค่อยๆ กล่าวว่า “เพื่อนบ้านรอบๆ ต่างมองเรื่องที่ตู้หลันจูลักลอบคบหากับลูกพี่ลูกน้องนางออกนานแล้ว มีแต่หันถงกับคนตระกูลหันที่ไม่รู้เรื่อง ดังนั้นข้าก็เลยคิดหาทางเปิดโปงเรื่องของพวกเขาสองคน”
“ยามนี้ไม่ว่าบิดามารดาหันถงหรือบิดามารดานางเองล้วนไร้วาจาจะกล่าว ดังนั้นตู้หลันจูจึงถูกหันถงหย่า หญิงผู้นั้นน่าจะสงสัยว่าเรื่องนี้เจ้าเป็นคนทำ ดังนั้นจึงให้คนมาจับตัวเจ้า”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเล่าจนสุดท้าย สีหน้าหล่อเหลาพลันเย็นเยียบขึ้นอีก เรื่องนี้เขาเป็นคนทำ ไม่เกี่ยวกับลู่เจียว
ลู่เจียวได้ฟังคำพูดเซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็คิดอยากด่าว่า สมน้ำหน้า แต่ตู้หลันจูบงการให้คนมาจับนาง นับว่าหายนะมาสู่ตัวนางโดยแท้
“ข้ามันช่างเคราะห์…”
ลู่เจียวกล่าวไม่ทันจบก็หันไปมองเซี่ยอวิ๋นจิ่น นี่นางนับว่ารับเคราะห์แทนเซี่ยอวิ๋นจิ่นไหมนะ แต่เซี่ยอวิ๋นจิ่นลงมือจัดการตู้หลันจูก็นับว่าทำเพื่อนาง
อารมณ์ลู่เจียวสับสนอย่างไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก สุดท้ายกล่าวเบาๆ ว่า “พวกเราออกไปกินอาหารเย็นกัน”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเดินตามนางออกมาติดๆ เดินไปกล่าวไปว่า “เจ้าวางใจ มือปราบจ้าวรับปากข้าแล้ว ย่อมต้องง้างปากเจ้าโจรนั่นให้ได้ ถึงตอนนั้นเจ้าโจรชั่วยอมปริปาก พวกเราก็จะจับตัวตู้หลันจูได้ รอให้นางถูกจับเข้าคุกก่อน วิธีจัดการนางยังมีอีกมาก”
สรุปก็คือ กล้าวางอุบายลู่เจียว เขาไม่ปล่อยนางไปแน่
ลู่เจียวไม่พูดอะไรมาก ได้แต่กระซิบเตือนว่า “เจ้าทำอะไรก็ระวังหน่อย อย่าได้ทำตัวเองเดือดร้อน อย่าลืมว่าเจ้ายังมีเจ้าหนูน้อยทั้งสี่”
ฝีเท้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นชะงักทันทีด้วยสัญชาตญาณ เขาหันไปมองลู่เจียว นี่นับว่าห่วงใยเขาไหม นี่ไม่เหมือนห่วงใยหรือ
ทั้งสองคนออกไปกินอาหารเย็นด้วยกัน เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่ได้มีท่าทางไร้ชีวิตชีวาเหมือนตอนกลางวันแล้ว ยามนี้อารมณ์คึกคักยิ่ง เด็กๆ นั่งอยู่ข้างเซี่ยอวิ๋นจิ่น เล่าให้เขาฟังเรื่องตอนบ่ายที่ลู่เจียวเล่าเรื่องการจัดการห้องต่างๆ ให้พวกเขาฟัง
“ท่านแม่ว่าอีกไม่นานพวกเราก็จะได้เรียนกันแล้ว”
ต้าเป่าแอบใฝ่เรียนเหมือนเซี่ยอวิ๋นจิ่น มีความสนใจในการเรียนอย่างมาก
เอ้อร์เป่าเองก็พยักหน้าเต็มแรง เขาคิดเล่นไม้ลื่น แต่ท่านแม่ว่าต้องรอให้สีทาไม้ลื่นแห้งก่อนจึงจะเล่นได้
ซานเป่ายิ้มตาหยีมองคนในห้องโถง เขารู้สึกว่าได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่และพี่น้องมีความสุขจริงๆ
ซื่อเป่ารู้สึกตื่นเต้น มองเซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ท่านแม่บอกว่านางจะสอนพวกเราคำนวณ ยังจะสอนพวกเราเล่นละคร”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็รีบหันไปมองลู่เจียวพลางถามว่า “ข้าสอนพวกเขาวาดภาพและเขียนหนังสือ เจ้าว่าอย่างไร”
ลู่เจียวไม่เห็นด้วยที่จะให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นสอนเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ จึงส่ายหน้าปฏิเสธ “เจ้าอย่าสอนดีกว่า ไว้รออีกสักพักให้ขาเจ้าหายดีจริงๆ ไม่เป็นไรแล้วดีกว่า ตอนนั้นเจ้าต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาประจำอำเภอแล้ว ยังต้องช่วยงานนายอำเภอหูบริหารจัดการอำเภอชิงเหอ ถึงตอนนั้นย่อมต้องยุ่งมาก ไหนเลยจะยังมีเวลามาสอนเจ้าแฝดสี่นี่”
“ข้าคิดไว้แล้ว ว่าจะเชิญอาจารย์อีกสองคน อาจารย์ทั้งสองคนนี้ไม่ควรโบราณคร่ำครึเกินไป ต้องมีความคิดปรับเปลี่ยนได้ดี ยอมรับสิ่งใหม่ได้ การสอนเจ้าแฝดสี่บ้านเราตอนนี้เน้นการเล่นเป็นหลัก การเรียนเป็นรอง อาจารย์อย่าได้คิดแค่จะสอนตำรา คนเช่นนี้พวกเราไม่ต้องการ”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นได้ฟังคำพูดลู่เจียว คิดแล้วก็เห็นด้วย ตนเองไม่มีเวลาจริงๆ ตอนนี้ต้องสอนนักเรียนทบทวนตำรา ยังต้องเป็นที่ปรึกษาหลังม่านให้นายอำเภอหู เหลือเวลาน้อยมาก ไม่มีทางแบ่งมาสอนเจ้าแฝดสี่ได้
“ได้ งั้นพรุ่งนี้ข้าจะเริ่มหาคน ไว้หาคนที่เหมาะสมได้ก็จะเชิญมา”
ลู่เจียวรีบพยักหน้าเห็นด้วย นางไม่คุ้นเคยกับอำเภอชิงเหอ เรื่องนี้ก็มอบให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นไปจัดการย่อมไม่มีผิดพลาด
ทั้งครอบครัวกินอาหารเย็นเสร็จก็เข้านอนเร็วหน่อย ครั้งนี้ลู่เจียวเอ่ยปากพาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปนอนด้วย ทำให้เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ดีใจมาก ท่านแม่ไม่เคยเอ่ยปากพาพวกเขาไปนอนด้วยกันเลย
ลู่เจียวเห็นว่าตอนกลางวันซานเป่าถูกโจรจับตัวไป เป็นห่วงว่าเขาจะฝันร้ายกลางดึก นางนอนข้างกายเขาน่าจะดีกว่า
ดังคาด ซานเป่านอนติดกับนางก็หลับสนิทตลอดทั้งคืน ไม่ได้ฝันร้ายอะไร
ในที่สุดลู่เจียวก็วางใจลงได้แล้ว
นางนอนหลับได้ไม่นานก็ได้ยินบ้านตระกูลซูข้างบ้านเหมือนเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงทะเลาะกันดังไม่หยุด เหมือนมีเสียงพูดไปกรีดร้องผสมอยู่ด้วย
ลู่เจียวนึกถึงสวีเหนียงจื่อ ไม่รู้ว่าใช่สวีเหนียงจื่อทำอะไรลงไปไหม
เดิมลู่เจียวคิดว่าเสียงนี้ดังครู่หนึ่งก็จะเงียบไปเอง ไม่คิดว่าเสียงเคลื่อนไหวยิ่งดังขึ้น แม้แต่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ข้างกายลู่เจียวก็ยังถูกกวนจนตื่น เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ขยี้ตาสะลึมสะลือพิงตัวลู่เจียวไว้ พลางงึมงำว่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้น”
“ทะเลาะกันหรือ”
ลู่เจียวลูบศีรษะพวกเขาปลอบใจกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เดี๋ยวก็เงียบแล้ว”
นางเพิ่งกล่าวจบ เฝิงจือก็เดินเข้าประตูมาอย่างรีบร้อน รายงานว่า “เหนียงจื่อ คุณชายกับพ่อบ้านลู่มา”
สีหน้าลู่เจียวแปรเปลี่ยน เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยมาทำไมกัน
นางมองเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ กล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “แม่ออกไปดูหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น จะรีบกลับมา พี่เฝิงจือจะอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้า”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่ทันได้รับรู้ ลู่เจียวก็ลงจากเตียงหยิบเสื้อผ้าไปห้องอาบน้ำข้างๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะหันหลังเดินออกไป
ณ เรือนบุปผาด้านนอก เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยเห็นนางมาถึงก็รีบหันไปมอง
ลู่กุ้ยร้อนใจกล่าวว่า “พี่เจียว สวีเหนียงจื่อข้างบ้านผูกคอตายแล้ว”
สีหน้าลู่เจียวพลันย่ำแย่ทันที สวีเหนียงจื่อผูกคอตายแล้ว? ไม่ใช่ว่านางควรจัดการน้องสะใภ้ตัวร้ายน่าสะอิดสะเอียนนั่นหรือ ทำไมตนเองถึงผูกคอตายแล้ว
ลู่เจียวกำลังคิดอยู่ ลู่กุ้ยรีบกล่าวว่า“บุตรสาวนางวิ่งมาคุกเข่าอยู่นอกประตูบ้านเรา ขอให้พี่ไปช่วยท่านแม่นาง นางบอกว่านางได้ยินเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เล่าว่าวิชาการแพทย์พี่เจียวร้ายกาจมาก ดังนั้นจึงคิดมาขอเชิญพี่เจียวไปช่วยท่านแม่นางสักหน่อย”
ลู่เจียวรีบหันหลังวิ่งออกไป ความเร็วนั้นเหนือคำบรรยาย
หากว่าสวีเหนียงจื่อผูกคอตายจริง เรื่องนี้เกรงว่านางเองก็มีส่วน หากไม่ใช่นางพูดจาเหล่านั้นกับสวีเหนียงจื่อ นางก็คงไม่คิดไม่จัดการแม่สามีและน้องสะใภ้ตนเอง เช่นนั้นตอนนี้ไม่แน่นางก็อาจจะไม่ผูกคอตาย?
เพียงแต่ว่า ลู่เจียวไม่เคยคิดเลยว่าสวีเหนียงจื่อจะผูกคอตาย เรื่องเช่นไรกันที่ทำให้นางสิ้นหวังจนถึงขั้นผูกคอตาย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นด้านหลังมองลู่เจียววิ่งออกไป เขาเกรงว่าลู่เจียวจะถูกคนบ้านตระกูลซูรังแก ก็รีบตามไป
ลู่กุ้ยเองก็กลัวพี่สาวตนเองกับพี่เขยจะเกิดเรื่อง ก็รีบตามไปเช่นกัน
ทุกคนเพิ่งออกจากบ้านตระกูลเซี่ย มือปราบจ้าวข้างบ้านก็พาหลูเหนียงจื่อออกมาพอดี ล้วนเป็นเพื่อนบ้าน บ้านตระกูลซูเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ เพื่อนบ้านย่อมต้องไปตรวจสอบสักหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นับประสาอันใดกับมือปราบจ้าวยังเป็นมือปราบอำเภอชิงเหอ
นอกประตูบ้านตระกูลเซี่ย ซูจิ่นซิ่วบุตรสาวสวีเหนียงจื่อเห็นลู่เจียวก็คุกเข่าลงขอร้องทันที
“ท่านน้าลู่ ท่านโปรดช่วยท่านแม่ข้าด้วยๆ ช่วยนางด้วย”